ปรมาจารย์ด้านอักษรของสำนักจี้เซี่ยทั้งสามคนนั้น พลันเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว เพื่อไปหยิบถ่านขึ้นมาวาดวงกลมลงไปบนชื่อ จากนั้นก็พับกระดาษลงด้วยความรวดเร็ว มีเพียงผู้อาวุโสเหยียนและคุณชายหยวนซีเท่านั้น ที่เกิดความลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ถึงค่อยก้มลงไปเขียน
ซีหลิงเทียนเหล่ยที่รอปรมาจารย์ด้านอักษรของสำนักจี้เซี่ยทั้งสามคนให้คะแนนแล้วนั้น เขาก็ค่อย ๆ วาดวงกลมลงไปอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พับกระดาษลงอย่างช้า ๆ และโยนมันลงไปในกระบอกไม้ไผ่ ท้ายที่สุดแล้วจึงเหลือเพียงเสด็จอาเก้าเพียงคนเดียวเท่านั้น
“เสด็จอาเก้าพ่ะย่ะค่ะ ถึงคราวของท่านแล้ว” ซีหลิงเทียนเหล่ยที่เห็นเสด็จอาเก้าไปขยับตัวมาเป็นเวลานาน อีกทั้งยังไม่คิดที่จะลงมือด้วยตนเองอีกด้วย
“วงกลมชื่อเฟิ่งชิงเฉินแทนเปิ่นหวางที” เสด็จอาเก้าพลันเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย เพื่อเป็นการกล่าวว่าเขาไม่ต้องการลงมือด้วยตนเอง
“ขอรับ” ขันทีที่อยู่ด้านหลังของเสด็จอาเก้าพลันก้าวเข้าไปด้านหน้า จากนั้นก็เขียนวงกลมที่มีชื่อของเฟิ่งชิงเฉินแทนเสด็จอาเก้า จากนั้นจึงพับกระดาษเพื่อนำไปใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่
คำตอบของเสด็จอาเก้านั้น พระองค์หาได้ตั้งใจปิดเป็นความลับไม่ ถึงจะพับกระดาษไปอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
“เสด็จอาเก้าทำเช่นนี้ เพื่อต้องการจะเปิดเผยความไม่ชอบธรรมของตนเองหรือ?” ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันเลิกคิ้วขึ้น การตัดสินใจของเสด็จอาเก้าคือสิ่งใดกันแน่ คงมิใช่ว่าต้องการกลั่นแกล้งซุูหว่านกระมัง?
เสด็จอาเก้าหาได้ชอบทำตัวน่าเบื่อเช่นนั้นไม่
“ไม่ชอบธรรม? เปิ่นหวางมีความไม่ชอบธรรมหรือ หากว่าเปิ่นหวางเลือกเฟิ่งชิงเฉิน นั่นหมายความว่าเปิ่นหวางไม่มีความชอบธรรมหรือ ความหมายขององค์รัชทายาทเหล่ยคือสิ่งใดกันแน่? หรือว่า ต้องเลือกชื่อของซูหว่านเท่านั้นหรือ ถึงจะเรียกว่าความชอบธรรม ถ้าเป็นเช่นนี้ก็มิต้องมีการประลองระหว่างซูหว่านกับเฟิ่งชิงเฉินเลยเถิด เพียงแค่นางบอกมาว่าตนเองไม่มีศัตรูบนโลกใบนี้ก็พอแล้ว” เสด็จอาเก้าพลันส่งความโกรธของเขาที่ได้รับมาจากเฟิ่งชิงเฉิน ไปลงที่ซีหลิงเทียนเหล่ยและซูหว่านในทันที
ถึงแม้ว่าซีหลิงเทียนเหล่ยสมควรจะได้รับสิ่งนี้ ทว่าซูหว่าน ก็สมควรที่จะได้รับเช่นกัน แต่นับว่านางโชคร้ายยิ่งนัก!
“” ซีหลิงเทียนเหล่ยที่ถูกเสด็จอาเก้าพูดใส่เช่นนั้น เขารู้ตัวดีว่าตนเองพูดออกไปผิดที่ผิดเวลา ใบหน้าของซีหลิงเทียนเหล่ยจึงเจือไปด้วยความอับอายเล็กน้อย พร้อมกล่าวออกมาตามตรงว่า “ไม่มีสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะเสด็จอาเก้า ความเมตตาที่เสด็จอาเก้ามีให้ต่อเฟิ่งชิงเฉินนั้น พวกเรารับรู้ได้เป็นอย่างดี การกระทำของเฟิ่งซิ่วนั้น ในสายตาของเสด็จอาเก้านับว่าเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร” พร้อมกับพรั่งพรูความไม่เป็นธรรมออกมา
“เปิ่นหวางเป็นคนที่ได้รักใคร ย่อมรักในตัวตนของเขาคนนั้น ทำไมหรือ? องค์รัชทายาทเหล่ยมีปัญหาหรือไม่?” เสด็จอาเก้าพลันเปิดอกยอมรับออกมาแต่โดยดี จนซีหลิงเทียนเหล่ยไม่รู้ว่าตนควรจะพูดสิ่งใดออกมา
เป็นเวลาพอดีกับที่ซูหว่านและเฟิ่งชิงเฉินก้าวขึ้นมาด้านหน้า เพื่อเปิดกระดาษของผู้ตัดสินทั้งเจ็ดออกมา หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนแรกที่เปิดกระดาษของเสด็จอาเก้าออกมา
“เฟิ่งชิงเฉิน” นางเรียกชื่อตัวเองด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เสด็จอาเก้ามิเคยลงมือกับสนามรบที่มิได้วางแผนมาก่อน ในเมื่อเสด็จอาเก้ายืนอยู่ข้างนางเช่นนี้ แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินจักต้องได้ชัยในการประลองครั้งนี้อย่างแน่นอน
ซูหว่านพลันยื่นมือออกมา เพื่อหยิบใบกระดาษในกระบอกไม้ไผ่ออกมาคลี่ดูเช่นกัน “ซูหว่าน”
เฟิ่งชิงเฉินแย้มยิ้ม เพื่อหยิบกระดาษใบที่สามออกมา พร้อมพูดออกมาด้วยท่าทีเฉยเมยว่า “ซูหว่าน”
“ซูหว่าน” สามใบติดกันแล้ว ที่เป็นชื่อของตนเอง ซูหว่านรู้สึกดีใจยิ่งนัก
หนึ่งต่อสามด้านในกระบอกไม้ไผ่ยังมีอีกสามแผ่น ขอเพียงแค่มีอีกใบหนึ่งที่เป็นชื่อของนาง เฟิ่งชิงเฉินก็แพ้แล้ว แต่ทว่า มิรู้ว่าเหตุใด เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
ไม่ว่าจะเป็นนางที่รู้สึกมากไปหรือไม่ นางไม่อาจปฏิเสธตนเองได้เลยว่า นางเชื่อใจในเสด็จอาเก้ามาเพียงใด ฉะนั้นแล้ว ยามที่นางคลี่กระดาษออกมานั้น เมื่อเห็นเป็นชื่อของตนเอง นางหาได้มีท่าทีตกใจไม่”เฟิ่งชิงเฉิน”
ซูหว่านที่หยิบกระดาษใบที่หกออกมานั้น นางได้แต่สวดมนตร์ขอร้องอ้อนวอนภายในใจ ว่าให้เป็นชื่อของตนเอง ต้องเป็นชื่อของตนเองเท่านั้น ขอเพียงแค่อีกชื่อเดียว นางก็จะชนะเสียที
ซูหว่านพลันเปิดกระดาษออกมาด้วยใจที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ทว่า ผลลัพธ์กลับทำให้นางรู้สึกเสียดายยิ่งนัก
“เฟิ่งชิงเฉิน!” สีหน้าที่ไม่พอใจของซูหว่านพลันแสดงออกมา รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าไม่มีอีกแล้ว แต่นางมิอาจทำสิ่งใดได้ กระดาษที่อยู่ในมือของนางคือชื่อของเฟิ่งชิงเฉิน
สามต่อสาม กระดาษที่อยู่ในกระบอกไม้ไผ่ใบสุดท้าย ย่อมเป็นตัวตัดสินระหว่างซูหว่านและเฟิ่งชิงเฉินว่า ผู้ใดจะแพ้หรือชนะในครานี้ แต่ทว่า การเปิดกระดาษพลันหมุนวนมาถึงตาที่เฟิ่งชิงเฉินจะต้องเป็นคนเปิดออกมาแล้ว หากแต่ เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นใบหน้าที่ตื่นเต้นของซูหว่านนั้น ก็พูดขึ้นมาด้วยความหวังดีว่า “ซูซิ่ว ใบสุดท้าย ท่านอยากจะให้ข้าเปิดหรือท่านจะเปิดดี?”
“ข้าเอง” ซูหว่านพลันก้มลงไปด้านหน้า พร้อมกับหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมา
ข้า โชคชะตาของซูหว่าน เฟิ่งชิงเฉินมีสิทธิ์อันใดมาป่าวประกาศกัน
ตึกตักตึกตักตึกตัก ยามที่ซูหว่านหยิบกระดาษขึ้นมานั้น หัวใจของนางเต้นแรงเสียจนแทบจะหลุดออกมา นางมิเคยตื่นเต้นเท่าในครานี้มาก่อนเลยในชีวิต
ฉินหมากอักษร การประลองในสามครั้ง นางแพ้หนึ่งเสมอหนึ่ง ถ้าหากการแข่งขันในครานี้เปลี่ยนไป องค์ชายสามย่อมไม่ปล่อยนางไปแน่ องค์ชายสามได้มีการเตือนนางมาแล้วครั้งหนึ่ง หากนางทำลายเรื่องขององค์ชายสามอีกละก็ องค์ชายสามจะจับนางให้ไปแต่งกับเจ้าเมืองจินเฉิง เพื่อแลกกับค่าใช้จ่ายของกองทัพ
กระดาษในมือของนางจะเป็นตัวตัดสินถึงเรื่องการแพ้ชนะในวันนี้ นางมิอยากจะเปิดมันออกมาดูยิ่งนัก มือทั้งสองข้างของนางพลันกำกระดาษในมือเอาไว้แน่น ฝ่ามือพลันมีเหงื่อเย็น ๆ ไหลออกมาในทันที
ในทางกลับกัน เฟิ่งชิงเฉินหาได้มีท่าทีสนใจในผลลัพธ์ที่จะออกมาไม่ เมื่อเห็นท่าทางของซูหว่านที่เป็นเช่นนั้น นางจึงได้เอ่ยเรียกสติซูหว่านออกมา “ซูซิ่ว?”
ซูหว่านพลันชะงักไปครู่หนึ่ง พร้อมกับเรียกสติตนเองกลับมาในทันที แล้วจึงแย้มยิ้มออกมาว่า “เฟิ่งซิ่ว ท่านใจร้อนหรือ?”
ซูหว่านที่ต้องการจะปกปิดความตื่นเต้นของตนเองเอาไว้ พร้อมทั้งป่าวประกาศว่า ผู้ที่กำลังตื่นเต้นมิใช่นาง แต่ทว่า นอกจากซูหว่านแล้ว ผู้ที่อยู่ในที่แห่งนี้ ต่างก็รู้ดีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
เฟิ่งชิงเฉินจึงมิคิดเล็กคิดน้อยอันใดกับซูหว่านมากนัก พร้อมทั้งแย้มยิ้มออกมา “ข้ามิได้ใจร้อน ข้าเพียงแค่ต้องการเอ่ยเตือนสติคุณหนูซูว่า กระดาษในมือกำลังจะเปียกแล้ว หากตัวอักษรขาดหายไป ย่อมยากที่จะอ่านออก”
“เฟิ่งซิ่ววางใจได้ อักษรที่อยู่ในนี้ ย่อมไม่มีทางอ่านไม่ออก” รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหว่านค่อย ๆ สงบลง ทว่า แววตาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของนางกลับเห็นเด่นชัดขึ้น ปลายนิ้วที่จับกระดาษพลันสั่นเทาไปเล็กน้อย
ทั้งผู้อาวุโสเหยียนและคุณหชายหยวนซีต่างพากันขมวดคิ้วลง สตรีตระกูลซูของหนานหลิงเหตุใดทั้งความคิดและพฤติกรรมหาได้เทียบเท่าเฟิ่งชิงเฉินที่กำพร้าบิดามารดาไปไม่ ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกผิดหวังเสียจริง
จากสิ่งที่เห็นในยามนี้ มันเป็นเพราะ เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจในผลการประลอง หรือเป็นเพราะซูหว่านเองที่ีสนใจมากเกินไป?
ผู้ที่สนใจในแพ้ชนะ จะสามารถเขียนตัวอักษรได้มีเอกลักษณ์ได้งั้นหรือ? ทั้งผู้อาวุโสเหยียนและคุณชายหยวนซีต่างพากันขบคิดว่า ที่ตนเองเลือกซูหว่านไปเมื่อครู่ พวกเขาคิดผิดไปหรือไม่
ไม่ผิด ทั้งผู้อาวุโสเหยียนและคุณชายหยวนซีต่างก็เลือกให้กับซูหว่าน ถึงแม้ว่าคุณชายหยวนซีจะดูเอนเอียงไปทางเฟิ่งชิงเฉินก็ตาม แต่ทว่า เพื่อความงดงามในตัวอักษรแล้ว คุณชายหยวนซีย่อมมิยอมให้อารมณ์มาอยู่เหนือความนึกคิดของตนเอง ในสายตาของเขาแล้ว ตัวอักษรของซูหว่านดีกว่าเฟิ่งชิงเฉินมากนัก เขาย่อมต้องเลือกซูหว่านอยู่แล้ว
โดยเฉพาะผู้อาวุโสเหยียน เขามักจะมีความคิดเห็นเป็นของตนเอง แม้ปากจะเอ่ยช่วยพูดเพื่อเฟิ่งชิงเฉิน นั่นเพราะเขาเห็นแก่หน้าของนาง แต่ทว่า กรรมการในการตัดสินผลแพ้ชนะถือว่าเป็นภารกิจของฟ้าดิน ผู้อาวุโสเหยียนย่อมไม่เอาอารมณ์ของตนเองเป็นที่ตั้ง
การเคลืิ่อนไหวของซูหว่านที่ช้าลง ทั้งยังไม่อาจหยุดมือที่กำลังจะคลี่กระดาษออกมาดูเลยแม้แต่น้อย ทั้งผู้อาวุโสเหยียนและคุณชายหยวนซีที่เห็นชื่อในกระดาษแผ่นนั้น ก็พลันคลี่ยิ้มออกมาในทันที
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมองผิดไป แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับเกินคาด
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” ซูหว่านที่คลี่กระดาษออกมานั้น พลันกรีดร้องออกมา “เป็นไปไม่ได้ จะเป็นเฟิ่งชิงเฉินไปได้อย่างไร พวกท่านต้องทำผิดแน่ มันต้องมีอะไรผิดพลาดไปแน่ เสด็จอาเก้าเป็นท่านใช่หรือไม่? ตัวอักษรของข้าเขียนดีกว่าเฟิ่งชิงเฉินแท้ ๆ พวกท่านตัดสินให้เฟิ่งชิงเฉินชนะไปได้อย่างไรกัน”
ซูหว่านที่กำลังโมโหอยู่นั้น พลันฉีกกระดาษออกเป็นผุยผง นางพ่ายแพ้ไปครั้งหนึ่งล้ว นับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง นางไม่อาจพ่ายแพ้ไปได้อีก นางมิอยากแต่งให้ท่านเจ้าเมืองจินเฉิง นางไม่อยาก
“นางชนะแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินได้แต่บอกกับตนเองภายในใจ พร้อมทั้งยกยิ้มมุมปากขึ้นมา แม้ว่าสีหน้าของนาง จะดูไม่ยินดียินร้ายอย่างไร นางหาได้แสร้งเฉยเมยไม่ ทว่า นางมิกล้าไปยั่วโมโหซูหว่าน
มิเห็นว่าซูหว่านในยามนี้ ใกล้จะเป็นบ้าไปแล้วหรือ หากนางหัวเราะออกมาอย่างได้ใจ เกิดทำให้ซูหว่านเกิดอาละวาดเป็นบ้าขึ้นมาจะทำเช่นไรเล่า
หากพ่ายแพ้แล้ว ก็ต้องยืดหลังตรง อย่าทำให้ผู้อื่นดูถูกเอาได้ หากชนะแล้วก็ควรอ่อนน้อม เพื่อแสดงถึงความองอาจของผู้ชนะ นั่นคือสิ่งที่ผู้ชนะทั้งหลายควรมี
เฟิ่งชิงเฉินเพิกเฉยต่อข้อกล่าวหาของซูหว่านทั้งหมด พร้อมทั้งโค้งตัวให้กับเหล่ากรรมการทั้งเจ็ดท่าน เพื่อขอตัวลา
ชนะแล้ว นางจะอยู่ที่นี่ไปทำไมกัน คุ้มหรือที่ต้องแลกกับความโกรธแค้นที่ซูหว่านมีต่อนาง?
“เฟิ่งชิงเฉินเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้” แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะอยากหนีไปก็ตาม แต่ซูหว่านก็ไม่ปล่อยนางไป พลางรีบก้าวเท้าเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว
หนึ่งนาทีก่อนหน้านั้น นางยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้สูงศักดิ์อยู่เลย ผ่านไปชั่วพริบตานางก็กลายมาเป็นสตรีที่คลุ้มคลั่งเสียแล้ว เครื่องประดับไข่มุกที่อยู่บนหัว พลันส่องกระทบกับแสงอาทิตย์ ทำให้เกิดแสงระยิบระยับ ทั้งยังส่องประกายให้ซูหว่านดูน่าเกลียดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อมายืนข้างกายกับท่วงท่าของเฟิ่งชิงเฉินที่ดูนิ่งเงียบและสูงส่ง
ฉะนั้นแล้ว อาภรณ์สีเดียวกันไม่ควรสวมใส่คู่กันในยามปกติ เช่นนั้น มันจะทำให้มีข้อเปรียบเทียบเห็นเด่นชัดเกินไป เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยเตือนตนเองอย่างเงียบ ๆ
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าคิดว่าเจ้าชนะแล้วจริง ๆ หรือ? เจ้าอย่าได้คิดหนี เรื่องราวในวันนี้ ทั้งเจ้าและเสด็จอาเก้าจะต้องมีคำอธิบายให้กับข้า” ซูหว่านพลันกล่าวออกมาตามตรง
“คำอธิบาย? เจ้าต้องการให้เปิ่นหวางอธิบายสิ่งใดกัน สตรีตระกูลซูแห่งหนานหลิงจะพ่ายแพ้มิได้เลยหรือ?” เสด็จอาเก้าพลันลุกขึ้นยืน พร้อมกับเดินมาหาเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อมาประชันหน้ากับซูหว่านในทันที
สีหน้าของซูหว่านพลันเต็มไปด้วยความลำบากใจ ทว่า ก็รีบเก็บสีหน้าให้เป็นปกติดังเดิม “แพ้ไม่ได้? เสด็จอาเก้า ซูหว่านสามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของตนเองได้ แต่หาใช่การพ่ายแพ้ที่พิลึกพิกลเช่นนี้ไม่ ตัวอักษรของหม่อมฉันกับเฟิ่งชิงเฉิน แม้นคนที่มีตาก็สามารถเห็นได้ว่า ของผู้ใดดีหรือเลว เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกท่านยังกล้าให้เฟิ่งชิงเฉินมีชัยไปได้ ท่านจะให้ข้าคิดเช่นไร?”
ใช่แล้ว เป็นความพิลึกพิกลยิ่งนัก
แม้ว่านางจะไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ ว่าเป็นนางที่ดูเบาคู่ต่อสู้ของตนเองไป ถึงทำให้พ่ายแพ้ให้กับเฟิ่งชิงเฉินไปเช่นนั้น ทว่า ฉินและตัวอักษรเล่า?
เห็นได้ชัดว่าทักษะของนางดีกว่าเฟิ่งชิงเฉิน ผลลัพธ์นางกลับต้องมาพ่ายแพ้เช่นนี้ นับเป็นความพ่ายแพ้ที่พิลึกพิลั่นยิ่งนัก
ฉินไร้สายบ้าบออันใดกัน อะไรคือเขียนอักษรในเม็ดข้าว
ฉินไร้สายที่ไม่อาจส่งเสียงออกมาได้ บทเพลงของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น อีกทั้งเขียนอักษรลงในเม็ดข้าวอีก มันคืออะไรกัน มิจำเป็นต้องไปสนใจเอกลักษณ์ของอักษรแล้วหรือ
ยิ่งคิด ซูหว่านก็ยิ่งรู้สึกอับอายยิ่งนัก
ไม่ยุติธรรม การประลองนี้หาได้มีความยุติธรรมไม่ ไม่ว่าผู้ใดก็เอาแต่เข้าข้างเฟิ่งชิงเฉินไปเสียทั้งหมด ทั้งยังพูดช่วยเฟิ่งชิงเฉินอีก แท้จริงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินมิมีสิทธิ์จะมาเทียบเท่านางเสียด้วยซ้ำ เหตุใดนางถึงคิดจะมากดข้าให้ต่ำลงได้อย่างไร
สายตาของซูหว่านที่วาวโรจน์ออกมานั้น เฟิ่งชิงเฉินเห็นได้อย่างชัดแจ้ง ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสมเพชนางออกมา คนจำพวกซูหว่าน นางเห็นมาเยอะแล้ว นี่มิใช่โรคเจ้าหญิงหรอกหรือ มิใช่คิดว่าตนเองดีเลิศที่สุด พร้อมทั้งโลกหมุนรอบตัวเองหรือ นางช่างโง่เง่าและไร้เดียงสาเสียจริง
เฟิ่งชิงเฉินพลันหันหลังให้กับเสด็จอาเก้าในทันที เพื่อสื่อว่า ให้เสด็จอาเก้าจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง มิรั้งรอให้เสด็จอาเก้าพูดสิ่งใดออกมา ผู้อาวุโสเหยียนพลันลุกขึ้นโดยพลัน
“ซูซิ่ว อักษรบ่งบอกตัวตน ตัวอักษรก็เปรียบเสมือนมนุษย์เราเช่นกัน ทุกเส้นที่ขีดเขียนลงไป ล้วนบ่งบอกตัวตนของเจ้าของ เสมือนในน้ำมองเห็นตัวปลา มองตัวอักษร ย่อมเห็นตัวตนของคนเช่นเดียวกัน อักษร และใจความของรูปวาด ตัวอักษรคือสิ่งที่สื่อออกมาถึงจิตใจของคนเรา ทุกการลากเส้นย่อมสื่อถึงอารมณ์ของผู้เขียน ดูจากเจ้าแล้ว ข้าไม่เห็นว่าตัวอักษรของเจ้าจะดีมากมายเพียงใด ” ผู้อาวุโสเหยียนทิ้งคำพูดเอาไว้เช่นนี้ พร้อมกับสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที
ซูหว่านทำผิดไปแล้ว นางมิเคยคิดเลยว่า ผู้อาวุโสเหยียนจะออกหน้าพูดอบรมนางเช่นนี้ ทั้งยังพูดออกมาด้วยท่าทีแข็งกร้าวด้วย
แพ้แล้ว ทุกอย่างจบแล้ว!