ตอนที่ 602 หญิงชั่ว
ช่วงนี้เขาต้องการทำให้มู่เหล่าหวางเฟยขัดแย้งกับทัวป๋าถิงฟางแล้วปล่อยเกอเอ๋อของเขาไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า” มู่เหล่าหวางเฟยหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“นางอยากคุกเข่าเองแล้วเกี่ยวอันใดกับแม่ ? ช่างเถิดท่านอ๋อง แม่เองก็เริ่มเหนื่อยแล้ว ขอตัวกลับก่อนดีกว่า” มู่เหล่าหวางเฟยสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นก็เดินผ่านเขาและทัวป๋าถิงฟางเพื่อออกจากที่นั่นทันที
เมื่อกลับมาถึงเรือนแล้ว เหล่าหวางเฟยก็ดูเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด
ฟางจูเดินเข้ามาเงียบ ๆ จากนั้นนางก็สะกิดที่หลังของมู่เหล่าหวางเฟยพร้อมพูดปลอบใจ “อย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ อย่าร้องไห้เลยเหล่าหวางเฟย ฟางจูจะเสียใจนะเจ้าคะ ตอนนี้ท่านอ๋องก็แค่มิรู้ความเท่านั้นเอง”
มู่เหล่าหวางเฟยเห็นสตรีที่บุตรชายประคองขึ้นมากดหัวมารดากับตา
“แต่นั่นเป็นบุตรของข้า ! ” มู่เหล่าหวางเฟยชี้ไปที่หัวใจ นางทั้งมิพอใจ โกรธ เสียใจและผิดหวัง
“เหล่าหวางเฟยวางใจได้เจ้าค่ะ ฟางจูสัญญาว่าจะสั่งสอนนางแทนท่านแน่นอน” ฟางจูเข้ามาจับมือมู่เหล่าหวางเฟย ใบหน้าอ่อนโยนดุจหยก ท่าทางทวงความยุติธรรมคืนพร้อมให้คำสัญญาต่อมู่เหล่าหวางเฟยอย่างหนักแน่น
ต่อมาสาวใช้ก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้และมู่เหล่าหวางเฟยก็รับมาเช็ดน้ำตา ขณะเดียวกันอารมณ์ก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
“ข้ามิเป็นไรแล้ว เจ้าไปทำงานของเจ้าเถิด” มู่เหล่าหวางเฟยโบกมือ
“เช่นนั้นฟางจูขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” ฟางจูหมุนตัวแล้วเดินจากไป
เมื่อเวลาอาหารค่ำมาถึง ห้องครัวก็นำอาหารมาส่ง
“เหล่าหวางเฟย ถึงเวลาทานอาหารค่ำแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวเตือน
มู่เหล่าหวางเฟยกวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะจากนั้นก็โบกมือ “ยกออกไป ข้ามิอยากทาน”
สาวใช้จึงเอ่ยด้วยความลังเล “ท่านทานสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าบอกให้ยกก็ยกออกไป” ในน้ำเสียงของมู่เหล่าหวางเฟยแฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด สาวใช้จึงยกอาหารออกไป
ขณะที่อาทิตย์กำลังอับแสง หน้าต่างถูกเปิดไว้เล็กน้อย สายลมพัดเอื่อยสู่ด้านในพร้อมไอเย็นที่ผสมปนเปเข้ามา มู่เหล่าหวางเฟยผลักหน้าต่างให้เปิดออกแล้วนั่งชมทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างแต่ก็มิรู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่
บัดนี้บุตรชายเริ่มทำตัวปีกกล้าขาแข็งขึ้นเรื่อย ๆ
“เหล่าหวางเฟย ลมแรงมากแล้ว ท่านเข้านอนเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้เริ่มเป็นกังวล
นางรับใช้มู่เหล่าหวางเฟยมานานหลายปีแต่ยังมิเคยเห็นมู่เหล่าหวางเฟยห่อเหี่ยวเพียงนี้มาก่อนจึงอดเป็นห่วงมิได้
“ข้าไม่เป็นอันใด เจ้ามิต้องกังวลหรอก ช่วยถอดเสื้อผ้าให้ข้าก็พอ” มู่เหล่าหวางเฟยปิดหน้าต่าง คืนนี้คงไม่มีผู้ใดมาแล้ว ได้เวลาพักผ่อนเสียที
เช้าวันต่อมา ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเมื่อวาน หลังตื่นนอนก็เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ออกไปที่ห้องโถงของเรือน อันหลิงเกอและสนมคนอื่นมารอกันตั้งนานแล้ว มู่เหล่าหวางเฟยกวาดสายตามองโดยรอบก็พบว่าการที่ทัวป๋าถิงฟางยังมาไม่ถึงก็ทำให้นางไม่รู้สึกขัดหูขัดตาดีเหมือนกัน
ในเวลาต่อมาทัวป๋าถิงฟางก็ปรากฏกาย นางคารวะแล้วกล่าวว่า “ลูกรู้สึกไม่สบายจึงมาสายเจ้าค่ะ ขอเหล่าหวางเฟยอภัยให้ด้วย” ทัวป๋าถิงฟางค่อย ๆ ย่อตัวนั่งบนเก้าอี้
“ต่อไปเจ้าก็ดูแลตนเองอยู่ในเรือน ข้ามิถือโทษเจ้าหรอก” มู่เหล่าหวางเฟยกลั้นโทสะในใจเอาไว้แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เช่นนั้นลูกต้องขอบพระคุณเหล่าหวางเฟยด้วยเจ้าค่ะ” ทัวป๋าถิงฟางกล่าวออกมาอย่างได้ใจพร้อมพยักหน้ารับ
“ช่วงนี้น้องหญิงดูมีสง่าราศียิ่งนัก หากวันใดตั้งครรภ์ก็ควรปกป้องเด็กในครรภ์ให้ดีเพราะมิเช่นนั้นอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาได้” จู่ ๆ น้ำเสียงประชดประชันก็ดังขึ้น
เมื่อทัวป๋าถิงฟางได้ยินก็มิพอใจทันที แต่นางตอบด้วยน้ำเสียงสบาย “คงมิรบกวนให้พี่หญิงต้องเป็นห่วงหรอก ลูกของข้า ข้าย่อมปกป้องให้ดีและคลอดออกมาอย่างปลอดภัยอยู่แล้ว”
มู่เหล่าหวางเฟยเห็นทัวป๋าถิงฟางและทัวป๋าหลิวลี่มีท่าทีจะทะเลาะกัน นางจึงขัดทั้งสองไว้ “อยู่ดี ๆ เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเหตุใด คุยเรื่องอื่นเถิด”
หลังทักทายกันตามปกติแล้วทุกคนก็แยกย้ายกัน ผ่านไปเพียงพริบตาเดียวเรือนของมู่เหล่าหวังเฟยก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
หลังออกมาจากเรือนของมู่เหล่าหวางเฟยแล้ว อันหลิงเกอก็ดูแปลกไปอย่างมาก
ปี้จูกังวลว่าพระชายาจักวู่วามแล้วทำสิ่งใดมิคิด นางจึงรีบเดินตามติดพระชายาไป เมื่อเห็นว่าเจ้านายหยุดยืนมองพระอาทิตย์แต่ยังมิกล่าวอันใดออกมาอีก นางจึงเอ่ยขึ้นว่า
“พระชายา ท่านกำลังโมโหท่านอ๋องอยู่หรือเจ้าคะ ? ” ปี้จูเอียงศีรษะ ความกังวลทั้งหมดปรากฎอยู่บนใบหน้า
อันหลิงเกอส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้นว่า “ปี้จู ข้ามิได้เป็นอันใด”
“เจ้ามิได้เป็นอันใดแต่ก็มิหันมาสนใจข้าเลยหรือ ? เจ้ามิได้เป็นอันใดแต่หยุดยืนระหว่างทางขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เจ้ามิได้เป็นอันใดแล้วจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร ? เกอเอ๋อ บอกข้าเถิดว่าเจ้าเป็นอันใด ? ” มู่จวินฮานเข้าไปสวมกอดอันหลิงเกอจากทางด้านหลัง
อันหลิงเกอดิ้นออกจากอ้อมแขนของมู่จวินฮานพร้อมใบหน้าเศร้าสร้อย นางกำลังย้อนนึกถึงความทรงจำในอดีต
“ก่อนออกจากเรือนของเหล่าหวางเฟย นางเอ่ยเย้าให้ข้ามีลูกกับท่านอีกสักสองสามคนเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอกล่าวต่อ “คนพูดมิคิดแต่คนฟังคิด ลูกของข้ายังอยู่กับนางที่นั่น…”
ยิ่งพูดมากเท่าไร สีหน้าของอันหลิงเกอก็ดูแย่ขึ้นเรื่อย ๆ
มู่จวินฮานก็คอยรับฟังอยู่เงียบ ๆ พอนึกถึงบุตรทั้งสองของเขาก็รู้สึกปวดใจมิน้อยไปกว่าอันหลิงเกอ
แต่ตอนนี้เขายังมิรู้ว่าต้องคุยกับหมู่เฟยอย่างไร
“ต้องทำเช่นไรถึงจะเอาลูกกลับมาได้…”
แววตาของอันหลิงเกอมืดมน นางหลับตาลงและดูเหมือนเจ็บปวดมาก
เดิมทีมู่จวินฮานคิดปลอบใจนาง แต่ยิ่งนางพูดมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้เขาปวดใจมากเท่านั้น แม้ในใจของเขามีคำที่อยากกล่าวอีกนับพันนับหมื่น แต่ก็มิรู้ว่าควรเริ่มจากคำไหนดี
“ขออภัย ข้าอยากอยู่เงียบ ๆ เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ปิดประตูทันที นางอยู่ในห้องเพียงลำพังโดยมิสนปี้จูที่กำลังเป็นห่วงหรือมู่จวินฮานที่กำลังรู้สึกผิดอยู่ด้านนอก
มู่จวินฮานออกมาจากเรือนของอันหลิงเกอด้วยความคิดเต็มสมอง
ในเมื่อนางอยากอยู่คนเดียว เช่นนั้นก็ให้นางอยู่คนเดียวไปก่อน มู่จวินฮานก็จะมิไปกวนอีก เขาเดินกลับมายังเรือนของตนเยี่ยงคนใจลอย ชิงเฟิงเห็นทุกอย่างเต็มสองตาจึงได้แต่แอบถอนหายใจเบา ๆ
“ท่านอ๋อง ได้เวลาทานอาหารกลางวันแล้ว ต้องไปเชิญพระชายามาหรือไม่ขอรับ ? ” ชิงเฟิงถามความเห็นจากมู่จวินฮาน
มู่จวินฮานถอนหายใจ “ช่างเถิด ให้คนไปส่งอาหารอ่อนแก่พระชายาและบอกปี้จูคิดวิธีทำให้พระชายาทานสักหน่อย”
เขาเริ่มเข้าใจนิสัยอันหลิงเกอขึ้นทีละน้อย เกรงว่านางคงทานอาหารกลางวันมิลง แต่เพื่อสุขภาพแล้ว ปี้จูคงเกลี้ยกล่อมให้นางทานบ้างแน่นอน
“ท่านอ๋อง บ่าวเข้าใจความรู้สึกของท่านและก็มีวิธีแก้ เพียงแต่มิทราบว่าใช้ได้หรือไม่ขอรับ” ชิงเฟิงยิ้มอย่างมีเลศนัยเพราะคิดแผนให้มู่จวินฮานเรียบร้อยแล้ว
เมื่อมู่จวินฮานได้ยินเช่นนั้นก็อยากรู้ขึ้นมาทันที “บอกมาว่ามีวิธีอันใด ? ”
“หากท่านทั้งสองมีบุตรด้วยกันอีก พอถึงงานมงคล ท่านก็สามารถขอเด็กสองคนนั้นคืนมาจากเหล่าหวางเฟยได้ขอรับ” ชิงเฟิงบอกแผนของตนออกมาด้วยท่าทีสมเหตุสมผล
แม้กล่าวมิได้ว่าแผนของชิงเฟิงสำเร็จหรือไม่ แต่มู่จวินฮานคิดว่านี่เป็นแผนที่ดีอย่างหนึ่ง อารมณ์ของเขาจึงกลับมาดีขึ้นเล็กน้อย
“มิเลว ข้าพอใจกับวิธีนี้มาก” มู่จวินฮานพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
ชิงเฟิงเห็นท่านอ๋องมิทำหน้าเศร้าสร้อยอีกต่อไปก็สบายใจขึ้นมาบ้าง จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้ยกสำรับเข้ามาจัดเรียงและเชิญมู่จวินฮานมารับประทานอาหาร
“ท่านอ๋อง ท่านยังมิได้ทานเลยขอรับ ! ” ชิงเฟิงเอ่ยเตือน
มู่จวินฮานทานไปเพียงมิกี่คำก็บอกให้สาวใช้ยกออกไปแล้ว ส่วนตนก็รีบออกไปหาอันหลิงเกอ เพราะกังวลว่านางมิยอมทานแล้วกลัวร่างกายของนางรับมิไหว
“เฮ้อ นอกจากพระชายาแล้ว ท่านอ๋องก็มิเคยดีต่อสตรีใดเท่านี้มาก่อนกระมัง” ชิงเฟิงบ่นกับตัวเอง
เขาติดตามมู่จวินฮานมาหลายปีย่อมรู้จักมู่จวินฮานเป็นอย่างดีจึงอดมิได้ที่จะดีใจแทนอันหลิงเกอ ผู้ใดใช้ให้มู่จวินฮานดีกับนางจากใจจริงกันเล่า
อีกด้านหนึ่ง ขณะที่ปี้จูกำลังเกลี้ยกล่อมให้อันหลิงเกอทานข้าว มู่จวินฮานก็มาถึงแล้ว
“พระชายา ปี้จูขอร้องเลยเจ้าค่ะ ท่านช่วยทานหน่อยเถิด” ปี้จูขอร้องอ้อนวอน
“ตอนนี้ข้ามีอารมณ์ทานที่ไหนกัน” อันหลิงเกอมองอาหารบนโต๊ะด้วยแววตาเศร้าสร้อย นางไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อย