ตอนที่ 603 ตั้งครรภ์แล้ว
มู่จวินฮานถอนหายใจอยู่ด้านนอกพลางคิดในใจว่าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง เขามาได้ถูกเวลาพอดี
มู่จวินฮานโบกมือให้ปี้จูเพื่อส่งสัญญาณให้ถอยออกไป จากนั้นเขาก็เดินเข้ามานั่งข้างอันหลิงเกอแต่ก็ทำเพียงจ้องนางเงียบ ๆ และมิได้กล่าวสิ่งใดออกมาสักคำ
อันหลิงเกอตกใจเพราะการกระทำเช่นนี้ของมู่จวินฮานจึงกล่าวออกมาว่า “ท่านอ๋องมาแล้วเหตุใดเอาแต่มองข้าเช่นนี้เจ้าคะ ? ”
“อันหลิงเกอ ข้าปวดใจและรู้สึกผิดมาก เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? ” มู่จวินฮานดึงมือของอันหลิงเกอมาทาบที่หน้าอกของตน
เขามิอยากให้อันหลิงเกอจมอยู่กับความเจ็บปวด ถ้าจักโทษก็ควรโทษที่เขามิสามารถปกป้องอันหลิงเกอและบุตรให้ดีได้
“เจ้ากำลังโทษข้าอยู่ใช่หรือไม่ ? ” มู่จวินฮานถามต่อ
ท่าทางเช่นนี้ของมู่จวินฮานทำให้อันหลิงเกอใจอ่อน เนื่องจากนี่มิใช่ความผิดของเขาทั้งหมดและเรื่องราวก็ผ่านมานานเพียงนี้แล้ว นางยังหมกมุ่นอยู่เหมือนเดิม
ดูเหมือนว่านางควรปล่อยได้แล้ว…
“เช่นนั้นท่านต้องรับปากว่าหากข้าตั้งครรภ์อีก เราจักต้องปกป้องเขาให้ดีเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกออดถามมิได้เพราะนางอยากได้คำมั่นสัญญาจากมู่จวินฮานจริง ๆ
“ข้ารับปากเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าควรทานข้าวก่อน” มู่จวินฮานหยิบถ้วยและตะเกียบขึ้นมาป้อนข้าวอันหลิงเกอ ต่อจากนั้นอารมณ์ของนางก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติและมินึกถึงเรื่องบุตรอีก
ยามราตรี ดวงดาวระยิบระยับ อันหลิงเกอนั่งชมดาวอยู่ริมหน้าต่าง ขณะอาบแสงจันทร์นางก็มิทันได้สังเกตเห็นการปรากฎตัวของมู่จวินฮาน นางยังชมทิวทัศน์ต่อไป “ปี้จู แสงจันทร์คืนนี้งดงามยิ่งนัก”
“ใช่ งดงามมาก ทว่าก็ยังงามมิเท่าพระชายาของข้า”
ทันใดนั้นมู่จวินฮานก็อุ้มอันหลิงเกอมาที่เตียง ส่วนนางก็ร้องด้วยความตกใจ “อย่าเจ้าค่ะ ! ” นางอยากดิ้นให้หลุดจากเขา
“เจ้าคิดว่าหนีพ้นหรือ ? ” มู่จวินฮานยิ้มอย่างชั่วร้าย จากนั้นก็จับตัวอันหลิงเกอให้แน่นกว่าเดิม
แสงจันทร์งดงามก็จริง แต่น่าเสียดายที่คืนนี้อันหลิงเกอไม่มีเวลาได้ชมแล้ว
รุ่งขึ้น อันหลิงเกอตื่นสายมาก ส่วนปี้จูก็กำลังนวดหลังและไหล่ให้นางพลางบ่นขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ท่านอ๋องก็ขยันเกินไปเจ้าค่ะ มิสนใจร่างกายของพระชายาบ้างเลย”
“ปี้จู เจ้าบ่นอันใดกันเล่า ! ” อันหลิงเกอได้ยินคำพูดของปี้จูจึงมิอยากให้อีกฝ่ายกล่าวถึงมันอีก
“บางทีอาจเพราะท่านอ๋องชอบท่านมาก ดังนั้นถึงได้…”
มิรู้ว่าในสมองของปี้จูกำลังคิดอันใดอยู่ อันหลิงเกอจึงลุกขึ้นแล้วตีนางทันที “สมองน้อย ๆ ของเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่ ยังมิรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าอีก”
คราวนี้ปี้จูได้คืนมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง นางลูบศีรษะแล้วเผยสีหน้าไร้เดียงสาออกมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “พระชายาตีบ่าวด้วยเหตุใดเจ้าคะ”
“เพราะเจ้าสมควรโดนตี”
อันหลิงเกอคิดว่ามู่จวินฮานจะทำเพียงเท่านี้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเขายังทำเช่นนี้อีกสองสามคืนติดกันจนตอนนี้นางปวดไปทั้งกายและนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง
“พระยาชา ปี้จูเตรียมน้ำร้อนให้ท่านแช่ดีหรือไม่เจ้าคะ ? เผื่อจะได้รู้สึกสบายขึ้นบ้าง” ปี้จูเองก็ปวดใจจึงแอบต่อว่าท่านอ๋องมิรู้จักถนอมหยกงามเสียบ้าง
“กลางวันเช่นนี้ก็มิต้องแล้ว นวดไหล่กับเอวให้ข้าต่อเถิด ประเดี๋ยวคืนนี้ข้าค่อยคุยกับเขาให้รู้เรื่อง” ขณะที่กล่าวประโยคนี้อันหลิงเกอก็เน้นเสียงอย่างชัดเจน
ปี้จูแอบคิดว่าคืนนี้คงได้ดูเรื่องสนุกแล้ว
ปี้จูรักพระชายามากจึงกังวลว่าคืนนี้พระชายาจักทำเยี่ยงไรกับท่านอ๋อง นางจึงจมอยู่กับความสับสน
“โอ๊ย! ปี้จู นวดเบา ๆ หน่อย เจ้าคิดสังหารข้าหรือ ? ” อันหลิงเกอร้องด้วยความเจ็บปวด
เสียงร้องครั้งนี้ได้ดึงปี้จูออกจากความคิดอีกครั้ง นางจึงรีบขอโทษ “ขออภัยเจ้าค่ะ ปี้จูมิได้ตั้งใจเลยเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอทำอันใดมิถูกจึงเริ่มเปิดหัวข้อหยอกล้อ “ปี้จู เจ้าคงมิได้กำลังคิดถึงชิงเฟิงอยู่ใช่หรือไม่ ? ”
ปี้จูส่ายศีรษะอย่างแรงและรีบปฏิเสธทันที “พระชายา ปี้จูมิได้คิดเรื่องพวกนี้ เมื่อครู่บ่าวก็แค่ใจลอยไปเท่านั้น พระชายาอย่าล้อบ่าวอีกเลยเจ้าค่ะ”
ปี้จูเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา อันหลิงเกอจึงมิได้กล่าวอันใดขึ้นมาอีก ต่อจากนั้นนางก็นอนให้ปี้จูนวดต่อเพราะทำให้สบายตัวขึ้นมาก
อันหลิงเกอพอใจกับทักษะของปี้จูมากจึงเอ่ยปากชม “ปี้จู มิรู้ว่ามือคู่นี้ของเจ้าจะทำให้บุรุษหลงใหลมากหรือน้อยเพียงใดกัน”
ตอนนี้นางอยากแกล้งคนจึงหาโอกาสแกล้งปี้จูเพื่อสร้างความสุขให้ชีวิต ด้วยเหตุนี้ปี้จูจึงไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดออกมาดี
“พระชายานอนต่อไปเถิดเจ้าค่ะ ปี้จูนวดจนเมื่อยแล้ว” ปี้จูมิสนใจคำพูดของอันหลิงเกอแม้แต่น้อย
“ก็ได้ เจ้าไปพักผ่อนเถิด” อันหลิงเกอพลิกตัวกลับมา จากนั้นก็นอนอยู่ท่าเดิมและในเวลาต่อมานางก็ผล็อยหลับไป
ช่วงค่ำ มู่จวินฮานมาทานอาหารเย็นที่เรือนอันหลิงเกอ หลังทานไปได้สักพักนางก็บ่นว่า “ท่านอ๋องอย่าทำเช่นนั้นติดกันสองสามคืนสิเจ้าคะ ร่างกายของข้ารับมิไหวแล้ว”
เรื่องนี้มิใช่เรื่องน่าอายอันใด อันหลิงเกอจึงเอ่ยให้เรียบง่ายเพียงประโยคเดียว “ท่านอ๋อง หากท่านยังทำเช่นนี้อีก ข้าขอปฏิเสธและมิสนว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เจ้าค่ะ ! ” ประโยคหลังแฝงไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดพอสมควร
ทันใดนั้นมือที่คีบอาหารของมู่จวินฮานก็หยุดลง เขาคาดมิถึงว่านางจะกล่าวเรื่องนี้ตอนทานข้าว แต่เขาก็มิสบายใจพอสมควร ต้องโทษตนที่ใจร้อนเกินไปจึงมิได้สนใจร่างกายของอันหลิงเกอ เขามิสมควรทำเช่นนั้นจริง ๆ
ปี้จูลอบยิ้มอยู่มิไกลนักพลางคิดในใจว่าที่แท้พระชายาจักคุยเช่นนี้เอง
“คราวนี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้ามิควรทำเช่นนั้นจริง” มู่จวินฮานลูบใบหน้าอันหลิงเกออย่างเอ็นดูเพราะเขาเริ่มรู้สึกผิด
แต่สีหน้าจริงจังของเขาทำให้อันหลิงเกอคิดว่ามันน่าตลก ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้นางคงรีบพูดตั้งนานแล้ว
อันหลิงเกอเบือนหน้าหนีแล้วแสร้งโมโห “ข้ามิได้เจ็บที่หน้าเจ้าค่ะ ท่านจะมาลูบใบหน้าข้าด้วยเหตุใด ? ”
“ข้าสัญญาว่าต่อไปมิทำเช่นนั้นแล้ว ดีหรือไม่ ? ” มู่จวินฮานถามอย่างอ่อนโยนและถือเป็นการรับปากอันหลิงเกอไปในตัว
ทันใดนั้นดวงตาของอันหลิงเกอก็เป็นประกายและดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “ท่านพูดเองนะเจ้าคะ หากวันหน้าท่านทำเช่นนั้นอีกก็อย่ามาหาข้าที่นี่”
แต่นางก็มิอาจผลักเขาไปให้ผู้อื่นได้อยู่ดี
อันหลิงเกอเห็นมู่จวินฮานรับปากแล้วจึงมิคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้อีก ต่อจากนั้นทั้งสองก็ทานอาหารกันอย่างมีความสุขและกอดกันกลมเพื่อผ่านค่ำคืนไปอย่างเรียบง่าย อันหลิงเกอมิต้องเหนื่อยเหมือนคืนก่อนอีกต่อไป
เช้าวันใหม่ แสงอาทิตย์งดงามทำให้อยากหยุดเวลาไว้ตลอดกาล แม้มิอยากให้มันเลยผ่านไป ท้ายที่สุดวงแหวนแห่งกาลเวลาก็ยังต้องหมุนต่อไป
มู่จวินฮานมีเรื่องต้องจัดการจึงออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว กระทั่งเวลากลางวันเขาจึงกลับมาทานอาหารกับอันหลิงเกอ
“อาหารกลางวันยังมาไม่ถึงอีกหรือ ? ” ช่วงหลายวันมานี้ทัวป๋าถิงฟางมิได้ทานเลยสักมื้อ แม้นางอยากทานแต่ก็ทานมิลงจึงหงุดหงิดสุด ๆ อีกทั้งท่านอ๋องก็ยังไม่มาทานข้าวเป็นเพื่อนนางด้วย
“เรียนนายหญิง น่าจะใกล้มาถึงแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้มองไปด้านนอก ช่วงหลายวันนี้ทัวป๋าถิงฟางมิค่อยได้ทานอันใด พวกสาวใช้ก็เป็นห่วงกลัวว่าทัวป๋าถิงฟางจักซูบผอมและพวกนางจะโดนท่านอ๋องลงโทษ
พออาหารกลางวันมาถึง ทัวป๋าถิงฟางก็เห็นว่าสีสันบนจานมิเลว ส่วนสาวใช้ก็กำลังจัดเตรียมถ้วยข้าวอยู่ด้านข้าง หลังทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนางก็คีบอาหารเข้าปาก
“อุ๊บ” ทันใดนั้นนางก็อยากอาเจียน แต่มันก็เป็นแค่การคลื่นไส้และนางรู้สึกมิสบายมาก
“นายหญิง ท่านมิเป็นอันใดใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ” พวกสาวใช้กังวลจนทำอันใดมิถูก