DC บทที่ 359: เจ้าขู่ข้างั้นรึ

 

หลังจากที่ใช้เวลาหลายนาทีในการพยายามหาต้นตอของความปั่นป่วนนี้ เจ้าซีก็ขมวดคิ้ว “ทำไมข้าจึงมิสามารถหาพวกเขาได้ทั้งที่ปราณของพวกเขาที่ส่งออกมาทรงพลังปานนั้น ใครช่างสามารถตั้งค่ายกลที่ลึกล้ำที่กระทั่งข้าก็ยังมิอาจหามันพบได้”

 

“บางทีปรากฏการณ์นี้อาจจะมิได้เกิดจากผู้คนแต่เป็นธรรมชาติทำให้เกิดขึ้น มันอาจจะเป็นการอุบัติขึ้นของสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันทรงอำนาจ” ด้วยความคิดนี้ในใจ เจ้าซีตัดสินใจที่จะหาความช่วยเหลือจากพ่อของเขา ผู้ซึ่งควรจะมีพลังอำนาจมากพอที่หาต้นตอนี้ได้

 

อย่างไรก็ตามเพียงแค่เขาหันกาย ปราณไร้ลักษณ์ในอากาศก็พลันทะลุทะลวงเข้าใส่ ในสายตาของผู้ฝึกวิชาในเมือง นั่นเหมือนกับว่าพวกเขาพลันจมน้ำหลังจากที่ถูกคลื่นน้ำปะทะเข้าใส่ แต่แทนที่จะเป็นน้ำ คลื่นนี้กลับเกิดขึ้นจากปราณอันมหาศาล

 

“ป-ป-ปราณมหาศาลนี้สามารถกดดันจนกระทั่งทำให้ผู้ทรงอำนาจอย่างเช่นตัวข้าหายใจไม่ออกจากระยะทางไกล แม้กระทั่งพ่อของข้าที่เป็นราชันย์ก็มิอาจจะปลดปล่อยพลังเช่นนี้ได้ เกิดบ้าอะไรกันขึ้นนี่” เจ้าซีรู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นเยียบซึมออกมาเปียกเสื้อผ้าทุกวินาที

 

วูซซซซ

 

ไม่กี่วินาทีหลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเฉียบพลัน เจ้าซีก็เห็นเสี้ยวแสงสีดำขนาดใหญ่มหึมากวาดทุกอย่างที่ขวางทางขึ้นไปสู่ท้องฟ้าที่กำลังปลดปล่อยสายฟ้าอันทรงพลังที่เหมือนกับสายฟ้าของทัณฑ์สวรรค์ออกมาเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าสายฟ้าจะทรงพลังมากเพียงใด มันก็ไม่มีโอกาสที่จะต่อต้านเสี้ยวแสงสีดำที่กลืนกินทุกอย่างบนเส้นทางของมันได้ มันสลายหายไปทันทีที่สัมผัสเข้ากับเสี้ยวแสงสีดำ

 

หลังจากที่กลืนกินสายฟ้าที่ฟาดลงมา เสี้ยวแสงสีดำก็พุ่งขึ้นต่อไปในท้องฟ้าราวกับว่ามันต้องการฉีกท้องฟ้าให้กลายเป็นสองซีกก่อนที่จะกลืนเข้ากับท้องฟ้ายามค่ำคืนและหายไปอย่างสิ้นเชิง

 

เจ้าซียืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่งพร้อมกับดวงตาที่อ้ากว้างและกรามที่ร่วงแตะพื้น เช่นเดียวกับคนอีกหลายคนในเวลานี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าแสงนั้นพุ่งตรงเข้าหาเมืองแทน เมืองจะแยกออกเป็นสองเหมือนท้องฟ้าหรือว่าจะถูกความมืดนั้นกลืนกินหายไปอย่างสิ้นเชิง

 

ครั้นเมื่อเขาเยือกเย็นลงบ้างเล็กน้อยสุดท้ายเจ้าซีก็รู้สึกถึงสิ่งที่เขาสัมผัสไม่ได้ก่อนหน้านั้น

 

“ข้าพลันสามารถสัมผัสถึงพวกเขาได้ คนสองคนอยู่ห่างไปสิบกว่ากิโลเมตรจากที่นี่”

 

เจ้าซีพลันเร่งรุดไปยังทิศทางนั้นหลังจากที่รับรู้ถึงปราณของพวกเขา

 

ในเวลานั้น ณ ตำแหน่งที่เกิดการต่อสู้ ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินได้นั่งก้นกระแทกพื้นหลังจากที่ประจักษ์ถึงวิชากระบี่ของซูหยางที่กลืนกินสายฟ้าของแหวนกัมปนาทอย่างง่ายดาย

 

“ป-ป-โปรดไว้ชีวิตข้า ข้ายินดีทำทุกสิ่ง” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินร้องขอชีวิตของตนเองอย่างรวดเร็วโดยไม่ใส่ใจในความภาคภูมิใจหรือหน้าตาเลยแม้แต่น้อยในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะตายอย่างเปล่าประโยชน์หลังจากที่ใช้เวลาและความพยายามมากมายไต่เต้ามาจนถึงที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

 

อย่างไรก็ตาม ซูหยางไม่แม้จะสนใจตัวเขา เมื่อเขามัววุ่นอยู่กับการมองไปยังทิศทางหนึ่งหลังจากที่รู้ว่ามีคนหนึ่งตรงเข้ามาที่นี่อย่างรวดเร็ว

 

“ค่ายกลปกปิดแตกสลายไปเพราะการโจมตีของข้าเมื่อกี้นี้ ดังนั้นพวกเราจึงมิได้ซ่อนเร้นอีกต่อไป” ซูหยางสามารถเดาได้ว่าใครที่กำลังมา ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจมากนักกับเรื่องนี้

 

เขาจึงหันไปมองดูผู้อาวุโสเหรินผู้ที่ยังคงร้องขอชีวิต

 

“เจ้าควรถือว่าตัวเจ้านั้นโชคดี” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม

 

“ข-ข-ขอบคุณ ขอบคุณ ท่านผู้มีพระคุณ” ผู้อาวุโสสูงสุดเหริน ผู้ที่คิดว่าซูหยางได้ยอมปล่อยให้ตัวเองไปแล้วเริ่มร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ รู้สึกโล่งอก

 

“มิต้องเกรงใจ ข้าจักทำให้มั่นใจว่านั่นจะเป็นการตายที่มิเจ็บปวดในเมื่อข้ามิมีเวลามาทรมานเจ้า”

 

“อ-อะไร ท่านมิได้ปล่อยข้าไปรึ” ผู้อาวุโสสูงสุดเหรินรู้สึกหัวใจหยุดเต้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง

 

“เจ้าเห็นว่าข้าเป็นตัวอะไร มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ยอมปล่อยเจ้าไปในสถานการณ์เช่นนี้” ซูหยางกล่าวขณะที่ดึงกระบี่เล่มใหม่ออกมาเมื่อเล่มก่อนหน้านั้นสลายเป็นฝุ่นไปแล้วหลังจากการโจมตีก่อนหน้านี้

 

“แต่อย่ากังวลไปเพราะว่าข้าจักทำให้มั่นใจว่าศพของเจ้าจักกลับคืนสู่นิกายล้านอสรพิษแน่นอน แม้ว่ามันอาจจะมิใช่ทั้งตัว”

 

“เจ้า–”

 

ซูหยางพลันโบกมือ เป็นเหตุให้เกิดแสงสีเงินอันสวยงามปรากฏขึ้นและบินตรงไปผ่านคอของผู้อาวุโสสูงสุดเหริน ตัดหัวของเขาออกมาจากร่างด้วยการเคลื่อนไหวอย่างเร็วเพียงครั้งเดียว

 

ไม่นานหลังจากนั้นซูหยางก็ช้อนเอาหัวของผู้อาวุโสสูงสุดเหรินที่ยังคงมีสีหน้าหวาดกลัวเข้าไปในแหวนมิติพร้อมกับของมีค่าอื่นๆทั้งหมดที่เหลืออยู่

 

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้จากไปในทันทีและตัดสินใจที่จะอยู่ต่อนานอีกเล็กน้อยจนกระทั่งเขาสามารถเห็นร่างของเจ้าซีมาจากที่ไกล

 

“ซูหยาง…เจ้า…” เจ้าซีมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง “เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ใครเป็นศพที่ตรงนั้น”

 

“เขารึ คนจากนิกายล้านอสรพิษ” ซูหยางตอบอย่างเฉื่อยชา

 

“ข้ารู้สึกถึงถึงตัวตนของเขาก่อนตายและมีเพียงสองคนเท่านั้นในสถานที่นี้ผู้ที่สามารถปลดปล่อยกระแสพลังเช่นนั้นออกมา เจ้าสำนักและผู้อาวุโสสูงสุดเหริน และศพนี้แก่เกินไปที่จะเป็นฟูกวาน ดังนั้น…” เจ้าซีคาดเดาตัวตนของศพอย่างรวดเร็ว

 

“เจ้าฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดเหรินจริงรึ เจ้ากำลังพยายามที่จะเริ่มก่อสงครามเต็มรูปกับนิกายล้านอสรพิษรึ” เจ้าซีกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

 

“เริ่มสงครามนะรึ มันค่อนข้างจะสายเกินไปบ้างกับการเริ่มก่อสงคราม ในเมื่อสงครามนั้นเริ่มต้นไปนานแล้วนับตั้งแต่พวกเขาพยายามที่จะกำจัดพวกเราเมื่อครึ่งปีก่อน” ซูหยางยักไหล่ “ไม่ว่าอย่างไรเขาก็พยายามที่จะฆาตกรรมข้าในห้องของข้า ถ้าข้ามิหยุดยั้งเขาไว้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็คงมิสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้อีกต่อไปเนื่องจากถูกกำจัดออกไปแล้ว”

 

“เช่นนั้นเจ้าจักทำอะไรต่อไป” เจ้าซีถามเขา

 

“นี่ยังมิชัดเจนอีกรึ ก็เหมือนนิกายล้านอสรพิษที่ต้องการทำลายเรา ข้าต้องการให้พวกเขาสิ้น”

 

“ข้าเสียใจด้วยแต่ข้ามิอาจจะยอมให้เจ้าทำเช่นนั้น ซูหยาง” เจ้าซีกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง และกล่าวต่ออีกว่า “พวกเขาถูกแต่งตั้งให้เป็นสำนักระดับสูงโดยตัวข้า ดังนั้นข้าจึงมีภาระที่ต้องปกป้องพวกเขา”

 

“เช่นนั้นเจ้าคิดที่จะปกป้องนิกายล้านอสรพิษโดยมิคำนึงถึงสิ่งใดเลยรึ ข้าจักให้เวลาเจ้าสามวินาทีเพื่อตัดสินใจใหม่อีกครั้ง” ซูหยางจ้องมองเข้าไปที่ดวงตาอีกฝ่ายด้วยสายตาอันคมกล้า

 

“เจ้าขู่ข้างั้นรึ ซูหยาง” เจ้าซีหรี่ตาจนทำให้บรรยากาศพลันหนักหน่วงขึ้น