ตอนที่ 606 ยอมพบหน้า

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 606 ยอมพบหน้า

ขณะที่ดูแลดอกไม้และต้นไม้ในเรือน ปี้จูก็เอ่ยชมท่านอ๋องแบบมิเว้นช่องไฟ

“พระชายาคิดตามนะเจ้าคะ ในแต่ละวันท่านอ๋องจะมาถามเหมือนเดิมซ้ำ ๆ พอท่านมิให้พบก็เดินออกไป นั่นก็ถือว่าเขาพยายามแล้วเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องที่ท่านอ๋องไปเรือนของถิงฟางเช่อเฟยสุดท้ายก็มิใช่เพราะมีบุตรมาผูกท่านอ๋องไว้หรือ แม้ท่านอ๋องมิอยากทำแต่ก็ต้องคิดเผื่อเจ้าตัวน้อยนั้น พระชายาคิดว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”

“โอ๊ย เจ็บเจ้าค่ะ” พอปี้จูเงยหน้าขึ้นมาก็โดนอันหลิงเกอเขกศีรษะทันที

อันหลิงเกอคิดว่าที่ปี้จูเอ่ยก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน ช่วงหลายวันมานี้นางก็ใจเย็นขึ้นมากจนยอมเข้าใกล้เขาได้แล้ว เพียงแต่นางต้องจัดการนกสองหัวตรงหน้าคนนี้เสียก่อน

“เจ้ารับใช้เขาหรือข้ากันแน่” อันหลิงเกอแกล้งทำมิพอใจ

เมื่อมีปี้จูอยู่เป็นเพื่อน อันหลิงเกอก็รู้สึกดีขึ้นมาก แม้ยังรู้สึกน้อยใจหรือปวดใจแต่ก็สามารถยืนหยัดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ แม้ต้องฝืนยิ้มแต่นางไม่มีทางให้ผู้อื่นมาเห็นน้ำตาแน่นอน

“แน่นอนว่าต้องรับใช้พระชายาสิเจ้าคะ” ปี้จูรู้สึกผิดขึ้นมาทันที จากนั้นก็ลงมือดูแลดอกไม้และต้นไม้ต่อไป ยากนักที่อันหลิงเกอจะสบายใจได้เช่นนี้ นางจึงช่วยปี้จูดูแลพวกมันด้วย

ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“เกอเอ๋อ ข้าเข้าไปได้หรือไม่ ? ” ตามมาด้วยเสียงของมู่จวินฮานและอันหลิงเกอก็ได้ยินชัดเจน

ทันทีที่ประตูเปิดออก มู่จวินฮานก็รีบเดินเข้ามาสวมกอดนางราวได้กอดโลกทั้งใบเอาไว้

หลังเห็นภาพเช่นนี้ สาวใช้คนอื่นที่อยู่โดยรอบก็รีบถอยออกไปทันที มีเพียงปี้จูเท่านั้นที่ยังแอบดูจากมุมหนึ่ง แต่ผ่านไปมินานนางก็โดนชิงเฟิงลากตัวออกไป

“ในที่สุดเจ้าก็ยอมพบข้า” เสียงมู่จวินฮานเปลี่ยนเป็นแหบพร่า เขาทั้งเป็นห่วงและคิดถึงคนตรงหน้ามากเหลือเกิน

“นางตั้งครรภ์แล้ว มีลูกของท่านแล้ว ทว่าลูกของพวกเรา…” อันหลิงเกอกอดเขาพลางร้องไห้

ทันใดนั้นนางก็ระบายความน้อยอกน้อยใจและความเจ็บปวดออกมาจนหมด แต่ท่าทางร้องไห้ของนางทำให้มู่จวินฮานปวดใจยิ่งกว่า ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเขาเอง

“มิต้องร้องแล้ว” มู่จวินฮานปลอบนางเบา ๆ มือข้างหนึ่งก็จับนางไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็ช่วยเช็ดน้ำตาให้

เขาพยายามมิพูดถึงเรื่องที่ทำให้นางเจ็บปวดแล้วได้แต่ปลอบนางโดยการตบบ่าเบา ๆ ส่วนอันหลิงเกอก็ร้องไห้ออกมามิหยุด

“หากเจ้ายังร้องอีกก็จะไม่สวยเอาได้” มู่จวินฮานเห็นอันหลิงเกอยังร้องไห้อยู่จึงรีบกล่าวขึ้นมาสั้น ๆ

ดูเหมือนว่าประโยคนี้ใช้ได้ผลกับอันหลิงเกอ นางเองก็ร้องจนเหนื่อยแล้วจึงหยุดร้อง แต่คราบน้ำตาก็ยังปรากฎให้ผู้คนได้เห็น ทำให้คนมองอดรู้สึกสงสารมิได้ มู่จวินฮานปวดใจจนแทบทนมิไหว

“รู้หรือไม่ว่าตอนที่เห็นเจ้า ข้าดีใจมากเพียงใด” มู่จวินฮานจับมืออันหลิงเกอไว้ เขายังมิอยากปล่อยมือ

ตอนที่อันหลิงเกอเปิดประตูต้อนรับ เดิมทีเขาคิดว่าจะโดนไล่ออกไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าอันหลิงเกอยอมพบเขา เมื่อสถานการณ์กลับมาดีอีกครั้ง เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ข้ามิอยากพบท่านเสียหน่อย” อันหลิงเกอนึกย้อนถึงบาดแผลอีกครั้ง

มู่จวินฮานจับมือนางไว้แน่น “ข้ารู้ เป็นความผิดของข้าเอง”

เห็นอยู่ชัดเจนว่าเขาสั่งให้คนไปวางยาแล้ว ทว่าทัวป๋าถิงฟางยังตั้งครรภ์ขึ้นมาเสียได้ เขาอธิบายเรื่องนี้มิถูกและไม่อยากให้อันหลิงเกอต้องเสียใจเพราะเรื่องบุตรอีกต่อไป

“พวกเราคุยเรื่องอื่นกันเถิด” มู่จวินฮานมิอยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเพราะกลัวส่งผลกระทบต่อจิตใจของอันหลิงเกอ

“คุยเรื่องอันใดเจ้าคะ ? ”

มู่จวินฮานยิ้มแก้มปริ “ตามใจเจ้าสิ เจ้าอยากคุยเรื่องใดก็จักคุยเรื่องนั้น”

ตอนนี้เขาต้องตามใจอันหลิงเกอทุกอย่าง ปกป้องนางให้ดี ปลอบนางให้มีความสุขและเอ่ยถึงเรื่องบุตรให้ไปกระตุ้นอารมณ์นางมิได้เด็ดขาด

หลังทนทุกข์กับการอยู่คนเดียวมาหลายวัน มู่จวินฮานก็มิอยากสะกิดแผลใจนางอีก

“ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอเลียริมฝีปากและชี้ไปที่หน้าท้องของตน

เวลาทานอาหารเพิ่งผ่านไปมินาน มู่จวินฮานจึงถามออกมา “ตอนกลางวันมิได้ทานข้าวหรือ ? ”

“มิใช่เสียหน่อย ข้าก็แค่อยากทานขนม มิได้หรือเจ้าคะ ? ”

นางแค่อยากกลับไปเหมือนอดีตและแสดงรอยยิ้มเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้น แต่รอยยิ้มที่ปรากฎบนใบหน้ากลับพบว่ามันฝืนธรรมชาติเกินไป นางจึงแสดงท่าทีเช่นเดิมอีกครั้ง

มู่จวินฮานโบกมือ ทันใดนั้นก็มีคนไปบอกให้ห้องครัวเตรียมขนมทันที

“เจ้ามิได้ออกจากจวนตั้งนานแล้ว อยากออกไปเที่ยวข้างนอกหรือไม่?”

บางทีความแปลกใหม่ภายนอกอาจทำให้อันหลิงเกออารมณ์ดีขึ้น หากได้ออกไปเดินเล่นหน่อยจะทิ้งความมิสบายใจหรือเรื่องหนักใจไปได้มาก

“ไม่เจ้าค่ะ” อยู่ในเรือนเช่นนี้ก็ดีแล้ว พอว่างก็ออกไปดูแลต้นไม้ดอกไม้ บางครั้งก็อยู่นิ่งเพื่อครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ก็ทำให้ใจอันร้อนรุ่มของนางกลับมาสงบได้อีกครั้ง

ช่วงหลายวันมานี้ อันหลิงเกอคิดเยอะมาก และจึงได้เข้าใจหลาย ๆ อย่างมากขึ้น หากมิได้คิดในช่วงสองสามวันนี้ นางก็คงมิคิดจักเปิดประตู ซึ่งก็คือประตูในหัวใจของนางนั่นเอง

“ข้ากลัวเจ้าจะเบื่อ” มู่จวินฮานลูบศีรษะอันหลิงเกอ เขาทั้งเป็นห่วงและเอ็นดูนาง

“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้าก็แค่มิอยากออกไปไหนเท่านั้น”

มู่จวินฮานจึงล้มเลิกความคิดและคิดแค่ว่าถ้าต่อไปมีเรื่องอันใดทำให้นางพอใจได้เขาก็จะทำและต้องไปเตือนทัวป๋าถิงฟางว่าอย่ามารบกวนอันหลิงเกออีก

เมื่อทั้งสองคนกลับมาคืนดีกันแล้ว อันหลิงเกอก็มีชีวิตที่ดีใช้ได้ทีเดียว

อีกด้านหนึ่ง

ใบหน้าของทัวป๋าถิงฟางเต็มไปด้วยความหวาดระแวง นางระวังตัวเป็นอย่างมาก มิยอมให้คนจำนวนมากเข้าใกล้แม้แต่ก้าวเดียวคล้ายกำลังระแวงอันใดบางอย่าง

“นายหญิงถิงฟาง บ่าวรินน้ำชาให้ดีหรือไม่เจ้าคะ ? ” สาวใช้เห็นทัวป๋าถิงฟางขมวดคิ้วจึงคิดเข้ามารินน้ำชาให้

“เจ้าเห็นว่าข้าอยากดื่มหรือไร ? อยู่ให้ห่างข้าหน่อย มิเช่นนั้นก็ไสหัวออกไป เจ้าพวกชั้นต่ำ” ทัวป๋าถิงฟางง้างมือตบหน้านางทันที ทำให้สาวใช้คนนั้นรีบถอยออกไป

“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้”

หลังเห็นนางโดนตบหน้าแล้ว สาวใช้คนอื่นก็กลัวว่าตนจักโดนบ้างจึงมิมีผู้ใดกล้าเข้ามารับใช้อีก

“เดิมทีคิดว่าพอนายหญิงถิงฟางตั้งครรภ์แล้วจักดีกับพวกเราหน่อย แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เฮ้อ…”

“เลิกพูดได้แล้ว หากนางได้ยินเข้า เราจักมิเหลือชีวิตรอดกันสักคน”

การมีชีวิตมาถึงทุกวันนี้ได้ ผู้ใดบ้างที่ไม่รู้จักการดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยลงมือทำ ? เพราะมิเช่นนั้นผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งก็อาจต้องตายหรือไม่ก็เปลี่ยนไปอย่างง่ายดาย

แม้หน้าท้องยังเรียบแบนอยู่ ทว่าตั้งแต่ที่ทัวป๋าถิงฟางรู้ว่าตนตั้งครรภ์ นางก็มิอนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้อีก ซึ่งในทุกวันนางก็เอาแต่หวาดระแวง จักทำสิ่งใดก็ระมัดระวังเป็นอย่างมาก

อาหารที่นางรับประทานก็เลิศรสทั้งนั้นและต่างก็เป็นของบำรุงร่างกายจนสามารถเห็นได้ว่าพวกสาวใช้ใส่ใจกันมากเพียงใด

ทัวป๋าถิงฟางนั่งอยู่ด้วยใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ส่วนสาวใช้ก็กำลังเตรียมถ้วยข้าวให้นาง ทว่าทันใดนั้นก็มิทันระวังจึงเข้าไปชนไหล่ของเจ้านายเข้า

“เจ้าอยากทำร้ายลูกของข้าหรือ ! ” ทัวป๋าถิงฟางชี้และตวาดใส่สาวใช้ด้วยเสียงดังลั่นจนทำให้คนที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงชัดเจนจึงมีสาวใช้วิ่งเข้ามาทันที

ขณะที่พวกสาวใช้คนอื่นมองสาวใช้คนนั้นด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจและพยายามลากตัวนางออกไปโบยตามคำสั่ง นางก็รีบคลานเข้าไปจับขาทัวป๋าถิงฟางและร้องตะโกนว่า “นายหญิง บ่าวมิได้คิดทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ”

แต่ทัวป๋าถิงฟางมิเห็นใจนาง

“นายหญิง บ่าวยังมีน้องสาวที่ต้องดูแล ท่านได้โปรดอภัยให้บ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

สาวใช้คนนั้นยังอ้อนวอนต่อไป ส่วนสาวใช้ที่ดูแลเรือนก็ทำมิลงจึงปล่อยนางไว้เช่นนั้น แต่หลังจากทัวป๋าถิงฟางออกคำสั่งแล้วชีวิตของนางก็มิได้อยู่ในกำมือตัวเองอีกต่อไป

“มิได้ยินกันหรือ ? ข้าสั่งให้พวกเจ้าลากนางออกไปโบยจนตาย” ทัวป๋าถิงฟางกัดฟันออกคำสั่ง นางจักมิยอมให้ผู้ใดเมินคำสั่งของตนทั้งสิ้น