บทที่ 314 ฉันได้ยินไม่ชัด

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“ว่ายังไงนะ! นายจะให้ฉันไปขอโทษเหมือนคนขี้ขลาดเหรอ? ฉันไม่ได้ฟังผิดไปใช่มั้ย?”

เย่เทียนแกล้งตอบรับข้อเสนอของซูเย่าหมิงเสียงดัง “นายเป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลซูเลยนะ ทำไมถึงต้องกลัวเจ้าคนต้อยต่ำแบบนี้ด้วย”

“ไม่ได้นะ! ฉันจะขอโทษหรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่ถึงยังไงนี่ก็เกี่ยวพันถึงหน้าตาของนาย หลังจากนี้นายจะออกมาอยู่ในสังคมได้ยังไง?”

เมื่อคำพูดนี้ถูกเอื้อนเอ่ยออกไป ทุกคนต่างมองซูเย่าหมิงด้วยสายตาดูแคลน เป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลซูแต่กลับกลัวคนต่ำต้อยอย่างฟางหย่ง เรื่องนี้ถ้าเล่าให้คนอื่นฟังต้องตลกแน่

สัมผัสได้ถึงสายตาที่ทุกคนมองมา ซูเย่าหมิงหน้าตาอึดอัดใจ แทบอยากจะขุดหลุมแล้วเอาหน้าฝังลงไป ในใจแค้นเย่เทียนแทบบ้า

แต่ไม่รอให้เขาตั้งตัว เสียงดังฟังชัดของเย่เทียนก็ดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง

“ไม่ใช่ความผิดของเราสักหน่อย ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะทำตัวไม่มีขื่อไม่มีแปได้”

“คุณชายซู นายไปยืนอยู่อีกด้านก่อน ฉันจะไปบอกเขาเองว่าอะไรคือเหตุผล!”

พูดจบ เย่เทียนก็เดินไปหาฟางหย่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ส่งผลให้ซูเย่าหมิงทั้งโมโหทั้งดีใจ

โมโหที่เมื่อกี้เย่เทียนตะโกนเสียงดังขนาดนั้น ทำให้เขาต้องขายหน้า

ดีใจที่เย่เทียนโมโหจนไม่สนอะไร ในที่สุดแผนนี้ก็กลับสู่เส้นทางที่วางไว้

ถึงยังไงเขาก็ออกตัวให้ก่อนแล้ว เย่เทียนเป็นคนห้ามเขาเอง ต่อให้โดนพวกฟางหย่งทำร้ายก็เป็นปัญหาของตัวเย่เทียนเอง

เย่เทียนไม่มีเวลาไปสนใจว่าแท้จริงแล้วซูเย่าหมิงคิดยังไง คล้อยตามที่เขาก้าวออกไปแล้วสายตาของทุกคนก็จับจ้องมาที่เขา

เย่เทียนไม่สนใจสายตาหลากอารมณ์ของพวกเขาเลยสักนิด เขาเดินไปอยู่ตรงหน้าฟางหย่งด้วยท่าทีสบายๆ คลี่ยิ้มบางๆที่มุมปาก

“แกชื่อฟางหย่งอะไรนั่นใช่มั้ย”

ไม่รอให้ฟางหย่งพูดอะไร ลูกน้องสามสี่คนด้านหลังเขาส่งเสียงด่าอย่างทนไม่ไหว

“แกคิดว่าตัวเองเป็นใครวะ ชื่อของพี่หย่งใช่ที่แกจะมาเรียกได้เหรอ?”

“ยังจะกล้าเรียกชื่อพี่หย่งตรงๆอีก เชื่อมั้ยว่าฉันฆ่าแกตายได้ทุกนาที!”

“ได้ยินชัดเจนรึยัง? รีบเรียกพี่หย่งเร็วเข้า ไม่อย่างนั้นฉันจะอัดแกจนแม่แกยังจำแกไม่ได้!”

ฟางหย่งปล่อยให้พี่น้องข้างกายเหยียบย่ำเย่เทียนอย่างชอบใจ ใบหน้าฉายรอยยิ้มจางๆ และมองเย่เทียนอย่างผู้เหนือกว่า

ในความเข้าใจของเขา ในเมื่อเจ้านายหยางเซ่าเหวินสั่งให้เขามาต่อกรกับเย่เทียน ขอเพียงไม่มีอันตรายถึงชีวิต หยางเซ่าเหวินต้องปกป้องเขาแน่นอน มีอะไรให้ต้องกลัว

“หยุดๆๆ ไอ้หนุ่มคนนี้เพิ่งเคยเจอฉันครั้งแรก ไม่รู้จักชื่อฉันก็ไม่แปลก”

ฟางหย่งโบกมือให้พี่น้องของเขาหยุด และมองเย่เทียนด้วยสีหน้าเย็นชา “แกรู้มั้ยว่าฉันให้แกมาทำไม?”

เย่เทียนส่ายหัว “ไม่รู้”

“ไม่รู้?”

ฟางหย่งแค่นเสียงเย็น เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงและตบลงไป

ทว่าเย่เทียนจะปล่อยให้เขาตบโดนง่ายๆได้ยังไง เขาขยับเท้าเล็กน้อยก็หลบฝ่ามือของฟางหย่งได้อย่างง่ายดาย

“จะพูดก็พูด ลงมือโดยไม่ทักไม่ทายแบบนี้มันเกินไปหน่อยมั้ย?”

“แหม แกกล้าหลบด้วยเหรอ?”

ฟางหย่งโมโหขึ้นมาในทันใด “ฉันตบหน้าแกถือว่าให้เกียรติแก แน่จริงแกก็ลองหลบอีกรอบสิ!”

ขณะที่พูดกัน ฟางหย่งก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งขันหนึ่งก้าว และตบไปอีกฉาด

เย่เทียนเลิกคิ้วขึ้น มือขวาพุ่งออกไปไวปานสายฟ้า จับข้อมือของฟางหย่งอย่างแม่นยำ นัยน์ตาสีนิลหรี่ลงเล็กน้อย ความเย็นเยียบแวบผ่านไปจางๆในแววตา

“ฉันขอเตือนแกอีกครั้ง แกอย่าใช้กำลังจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นฉันจะให้แกได้รู้จักคำว่ากลัว!”

ฟางหย่งคิดไม่ถึงเลยว่าเยเทียนจะกล้าป้องกันจริงๆ ความเดือดดาลในอกปะทุถึงขีดสุด เขากระชากมือกลับอย่างแรง พยายามสลัดพันธนาการของเย่เทียนให้หลุด

แต่ อย่าว่าแต่สลัดเลย มือใหญ่ของเย่เทียนล็อคข้อมือเขาไว้อย่างกับคีมเหล็ก เขาขยับเขยื้อนไม่ได้เลย!

“แกปล่อยมือฉันนะโว้ย ฉันจะฆ่าแกให้ตายเลยเชื่อมั้ย”

“ฉันเกลียดการโดนขู่ที่สุด แน่จริงแกก็มาสิวะ ฉันล่ะอยากจะเห็นว่าแกจะฆ่าฉันให้ตายยังไง!”

เย่เทียนขำพรืด ไม่เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตาเลยสักนิด

เขาเป็นใครกัน?

เขาเป็นถึงยอดฝีมือชั้นเยี่ยมระดับฝึกพลังชั้นห้า! คนระดับดำไม่มีใครสู้เขาได้เลยสักคน จะมาสนใจอะไรกับชายกำยำธรรมดาแค่ไม่กี่คน?

ฟางหย่งหน้าเป็นสีแดงก่ำ แอบออกแรงเพื่อพยายามดึงมือกลับอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ผลเลยสักนิด

เย่เทียนนึกขำในใจ รอยยิ้มบางๆบนหน้ากว้างขึ้นเรื่อยๆ

“ฉันไม่มีเวลาจะมียืดเยื้อกับแกที่นี่หรอกนะ เราเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า บอกมาซิว่าแกจะเอายังไง?”

“เอายังไง? แกทำร้ายพี่น้องของฉัน ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องทวงความเป็นธรรมให้เขาให้ได้!”

ฟางหย่งแค่นเสียงเย็น และพูดด้วยท่าทีแข็งกร้าว “ชีวิตแลกด้วยชีวิต ติดหนี้ก็ต้องคืน ในเมื่อแกทำร้ายพี่น้องของฉัน ก็ให้พวกเรากระทืบแก…..”

ไม่รอให้ฟางหย่งพูดจบ เย่เทียนก็ลงมือกะทันหัน!

เพียะ!

เสียงตบหน้าดังสนั่น ฝ่ามือของเทียนฟาดกับหน้าของฟางหย่งอย่างฉับพลัน

แต่ เย่เทียนที่เป็นคนกระทำกลับทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเพียงแต่แคะหูด้วยท่าทีสบายๆ

“เมื่อกี้แกว่ายังไงนะ? ลองพูดอีกทีซิ”

“ไอ้เวรเอ๊ย!”

ฟางหย่งคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนจะใจกล้าขนาดนี้ ตัวเองตบเขาไม่โดนไม่เท่าไหร่ ไอ้หนุ่มนี่กลับกล้าตบตัวเองคืนด้วย สมควรตายที่สุด!

เพื่อนๆที่ยืนอยู่ข้างหลังฟางหย่งก็ตกใจเหมือนกัน แต่ไม่นานนักก็ได้สติ พวกเขาขยับตัวโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง พยายามล้อมเย่เทียนเอาไว้

“แกกล้าตบฉันรึ ฉันจะหักมือแกทั้งสองข้าง ฉันจะทำให้แกทรมานยิ่งกว่าตาย!”

ฟางหย่งโกรธมาก ผลลัพธ์ที่ตามมาร้ายแรงแน่ๆ!

ที่น่าเสียดายคือประโยคนี้ของเขาไม่อาจพูดจนจบได้เช่นกัน เย่เทียนยกมือตบไปที่หน้าเขาอีกครั้งโดยไม่ลังเล

เพียะ!

หลังจากตบครั้งนี้แล้ว ในที่สุดเย่เทียนก็ปล่อยมือ ฟางหย่งหมุนตัวอยู่ที่เดิมไปหลายรอบถึงล้มก้นจ้ำเบ้าลงพื้น

“เมื่อกี้แกว่ายังไงนะ ฉันได้ยินไม่ชัด แกลองพูดใหม่อีกครั้งซิ”

เย่เทียนยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งปกติ และมองฟางหย่งอย่างผู้เหนือกว่า หน้าตาเย้ยหยัน

สองฝ่ามือของเขาออกแรงไปไม่น้อย กรามทั้งสองข้างของฟางหย่งบวมขึ้นในบัดดล สภาพอย่างกับหัวหมู เกรงว่าต่อให้แม่เขามาก็ไม่น่าจะจำลูกชายคนนี้ได้

ในใจของฟางหย่งนั้นโกรธถึงขีดสุด เขาเคยเสียเปรียบขนาดนี้ที่ไหนกัน เขามองเย่เทียนด้วยสายตาโกรธแค้น ชิงชังเขาจนแทบอยากจะลอกหนังดึงเอ็นเขาออกมา!

นาทีนี้ฟางหย่งไม่มีความคิดจะเปลืองน้ำลายต่อไปกับเย่เทียนอีก เขาคิดในใจไปว่าแกเก่งนักใช่มั้ย? ฉันมีพรรคพวกเยอะขนาดนี้ ไม่เชื่อหรอกว่าจะเอาแกตายไม่ได้!

คิดมาถึงตรงนี้ ฟางหย่งสะบัดมือและตะโกนเสียงอู้อี้ “มัวยืนอึ้งอะไรกันอยู่! ลุยด้วยกันไปเลย หักแขนสองข้างของไอ้เวรนี่ซะ!”

เพื่อนสามสี่คนของฟางหย่งต่างได้สติกลับมา ทั้งหมดสบตากันและกรูกันเข้าไปหาเย่เทียนประหนึ่งหมาป่าล่าเนื้อ…