เชอร์รีนเห็นแล้วก็หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ รู้สึกลนลานเล็กน้อย พวกเธออยู่ใกล้กันขนาดนี้ เธอกลัวเขาจะได้ยินเธอคุยโทรศัพท์ หรือกลัวเขาจะฟังเสียงสิงหาออก
เธอเอียงกายไปอีกทางเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงใส่ทว่าหนักแน่นว่า“งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่ร้านกาแฟนอกโรงเรียนตอนเที่ยง”
สิ้นเสียง เธอไม่รอให้สิงหาที่อยู่ในสายเอ่ยปากพูดก็วางสายทิ้งเลย
ออกัสยังคงเช็ดน้ำบนผมออก คิ้วงามเลิกขึ้น จ้องเธอ“ใครโทรมาเหรอ?”
“ครูที่เมื่อก่อนเคยสอนด้วยกัน พรุ่งนี้จะขอข้อมูลจากฉันหน่อย ฉันเลยนัดเขาเจอกันที่ร้านกาแฟ”เชอร์รีนเก็บมือถือเข้ากระเป๋า พลางพูดแบบขอไปทีว่า“นอนเถอะ ถ้าพรุ่งนี้ฉันสายอีก ฉันจะไม่นอนที่นี่อีก”
ออกัสก้มหน้าจุมพิตริมฝีปากอันนุ่มนิ่งของเธอ“ราตรีสวัสดิ์”
เธอก็ตอบสนองเขาโดยการจูบริมฝีปากบางของเขาเช่นกัน ยิ้มกล่าวว่า“ราตรีสวัสดิ์”
เมื่อของดีอยู่ตรงหน้า ทว่ากลับกินไม่ได้ จึงเป็นการทรมานมาก เขาถอนหายใจ ได้แต่กอดเธอไว้ แล้วเอาคางวางบนศีรษะของเธอ ก่อนจะเข้าสู่นิทรา
เช้าวันถัดไป
พวกเธอไม่ได้ตื่นสาย เพราะออกัสกำหนดเวลาไว้แล้ว ถึงเจ็ดโมงก็ปลุกเธอตื่น ซึ่งเขาซื้ออาหารเช้ามาวางบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว โดยมีน้ำเต้าหู้กับนมร้อนๆ
หลังจากชำระล้างร่างกายเสร็จ เชอร์รีนก็ดื่มน้ำเต้าหู้ เธอไม่อยากกินปาท่องโก๋ที่เลี่ยนมัน จึงกินไข่ต้มไปหนึ่งฟอง
ออกัสส่งเธอไปโรงเรียนแล้วถึงจะไปส่งซารางต่อ
เธอมีคาบสอนตอนเช้าแค่สองคาบเท่านั้น จึงผ่อนคลายมาก ตอนสิบเอ็ดโมงมือถือของเธอก็สั่น เนื่องจากมีข้อความเข้า
เธอกดดูก็เห็นเป็นข้อความจากสิงหา บอกว่ามารอเธอที่ร้านกาแฟนอกโรงเรียนแล้ว
เธอไม่ได้เคลื่อนไหว รอจนถึงสิบสองโมง ซึ่งเป็นเวลากินข้าวแล้ว เธอไปถึงร้านกาแฟ แวบเดียวก็เห็นสิงหานั่งอยู่ด้านข้างหน้าต่าง
เธอเดินเข้าไป ซึ่งไม่ได้สั่งกาแฟ แค่สั่งน้ำอุ่นหนึ่งแก้วแล้วนั่งลง
“สองสามวันนี้ไปไหนมา ทำไมถึงโทรไม่ติด ใช่แล้ว ผลตรวจออกมาแล้วนะ ถือว่าเข้ากันได้อยู่ คุณหมอบอกว่าปลูกถ่ายไขกระดูกได้ หนูไปทำพรุ่งนี้ดีไหม?” สิงหาไม่อ้อมค้อม พูดจบทีเดียวรวดเลย
เชอร์รีนไม่ได้ตอบ แค่ดื่มน้ำอุ่นเงียบๆ
บรรยากาศที่เงียบเกินไปของเธอทำให้สิงหาขมวดคิ้วแน่นเป็นปม เขารู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี จ้องเธอแล้วกล่าวว่า “ทำไมไม่พูดล่ะ?”
“เกิดเหตุสุดวิสัยนิดหน่อย ตอนนี้หนูยังบริจาคไขกระดูกไม่ได้” เธอเงยหน้ามองเขา
“ตอนนี้จะกลับคำเหรอ? คนเป็นครูมากลับคำตอนนี้เนี่ยนะ? เมื่อก่อนหนูเป็นคนรับปากว่าจะยอมปลูกถ่ายไขกระดูกเองนะ”
“หนูรับปากเองจริงๆ หนูก็คิดจะทำจริงๆด้วย แต่ตอนนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น คือหนูท้องหนึ่งเดือนแล้ว”
สิงหาขมวดคิ้ว ทำหน้าไม่เข้าใจ จากนั้นก็เอ่ยว่า“ท้องแล้วเกี่ยวอะไรกับบริจาคไขกระดูกด้วย?”
“หากจะบริจาคไขกระดูกก็ต้องทำแท้งก่อน ไม่งั้นจะส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้”
ได้ยินดังนั้น เขาดื่มกาแฟหนึ่งคำ“หนูยังสาว มีลูกตอนหลังก็ได้ แต่แม่หนูรอให้หนูไปช่วยอยู่นะ”
เชอร์รีนเลิกคิ้ว หน้าอกกระเพื่อมขึ้น“เขาอยู่ในท้องของหนู เขาก็มีชีวิตเหมือนกัน อีกอย่างวันหลังหนูมีโอกาสท้องน้อยมาก”
คนเราเป็นอะไรที่เห็นแก่ตัวสุดๆ เมื่อถึงนาทีสำคัญ สิ่งที่คำนึกคือยึดผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง
ถึงเขาจะอยู่ในท้องตัวเล็กนิดเดียว ถึงตอนนี้จะเป็นมีเป็นร่างคน ทว่าก็เป็นชีวิตหนึ่ง ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาบอก ไม่ใช่จะทำแท้งก็ทำได้เลย นี่มันลูกของเธอทั้งคนนะ
“งั้นตอนนี้หนูจะมองแม่แท้ๆตายไปตรงหน้าตรงตาใช่ไหม?” สิงหาวางแก้วน้ำ ก่อนจะมองเธอ
บรรยากาศทั้งสองคนกดดันมาก ชวนให้หายใจไม่ออก……
สิงหาจ้องเธอด้วยแววตาขึงขังจริงจัง ลุ่มลึก ให้ความรู้สึกเข้มงวดและคาดคั้นอย่างบอกไม่ถึง
ส่วนเชอร์รีนก็มองเขาด้วยสีหน้าเย็นยะเยือกเช่นกัน แววตาไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิดเดียว“ดังนั้นช่วงนี้ฉันบริจาคไขกระดูกไม่ได้ เขาเป็นลูกของฉัน ฉันเอาชีวิตเขาไม่ได้”
ในความคิดของสิงหาคือ เด็กทารกที่อายุครรภ์ได้แค่หนึ่งสัปดาห์ ซึ่งยังไม่กลายเป็นรูปเป็นร่าง ไม่ได้มีความหมายสำคัญเขามากนัก ยิ่งไม่มีความรู้สึกดีๆต่อกันแน่นอน
เขาคิดว่าคนที่ยังไม่เกิดมาจะมีค่าเท่ากับคนที่ใช้ชีวิตมาเกือบครึ่งศตวรรษได้อย่างไร?
เด็กพึ่งหนึ่งเดือน ยังไม่มีร่างกายคน ยิ่งไม่รู้สึกรู้สาต่อโลกภายนอกเลย อีกอย่างเธอก็มีลูกอยู่แล้ว จะมีคนที่สองหรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
ส่วนคนที่มีชีวิตมาเกือบครึ่งศตวรรษ มีความรู้สึก มีการรับรู้ มีการถวิลหา เห็นได้ชัดว่ามีความจริงเป็นอย่างยิ่ง
“เธอให้ชีวิตหนู ถ้าเธอไม่คลอดหนู หนูก็ไม่มีสิทธิ์ลืมตาดูโลก ไม่ว่ายังไง หนูก็ควรซาบซึ้งเธอ ตอนนี้เธอแค่ต้องการไขกระดูกจากร่างกายหนูเท่านั้น ไม่ได้จะเอาชีวิตหนู ……”
ได้ยินดังนั้น เชอร์รีนพลันขมวดคิ้วแน่นเป็นปม“ใช่ เธอไม่ต้องการชีวิตของหนู แต่เอาชีวิตลูกของหนู”
“คนที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเธอคือหนู ถ้าหนูมองเธอต้องต่อหน้าต่อตาอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วฉันจะพูดอะไรได้?แต่หนูในฐานะครูที่พูดแล้วไม่รักษาสัจจะ ทั้งยังโหดร้ายปานนี้ จึงไม่มีความดีอะไรให้พูดถึงอีก” สิงหาหรี่ตา พลางกล่าวเสียงเย็นเยียบ
โหดร้ายเหรอ?
เชอร์รีนรู้กสึกตลกสิ้นดี ทว่าก็หัวเราะออกมาอย่างแดกดัน“ช่วยเธอแล้วฆ่าลูกของฉัน อย่างนี้ไม่เรียกว่าโหดร้าย แต่ถ้าไม่ช่วยเธอคือใจคอโหดเหี้ยม ใช้ตรรกะนี้คิดได้ยังไง?ต่างก็มีชีวิตเหมือนกัน ทำไมถึงแตกต่างกันขนาดนี้?”
ชีวิตของวินดาคือชีวิต ลูกที่ยังไม่เกิดก็มีชีวิตเหมือนกัน ชีวิตไม่ขึ้นอยู่กับว่าใครเกิดก่อนใครเกิดหลัง ล้วนสำคัญเท่ากันหมด
เมื่อคุยถึงตรงนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องคุยต่ออีก ทั้งสองต่างฝ่ายต่างยืนกรานในความคิดของตัวเอง หากคุยกันต่อก็ไม่เกิดผลดีอะไร
เชอร์รีนดูเวลาแล้วลุกขึ้น กล่าวเสียงเรียบว่า“หนูมีธุระด่วน ไปก่อนแล้ว”
สิงหาไม่ได้ไปไหน ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม หลังเห็นแผ่นหลังหายลับไปจากสายตา จึงยกแก้วกาแฟร้อนๆขึ้นมาดื่มจนหมด
ผ่านไปสักพัก เขาก็ลุกขึ้นหันหน้า ก่อนจะเห็นออกัสยืนอยู่หน้าประตูร้านกาแฟอย่างเหลือเชื่อ
สองพ่อลูกสบตากันด้วยระยะที่ไม่ใกล้และไม่ไกล ซึ่งสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ออกัสยกเท้ายาวเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าเขา ร่างสูงของเขาเลยศีรษะสิงหาเล็กน้อย เวลานี้ยืนประชันหน้ากัน บรรยากาศยิ่งรู้สึกตึงเครียดมากขึ้น
“มาหาเชอร์รีนมาธุระอะไร?” เขาเคร่มขรึมของเขา ไม่เจือความอบอุ่นเลยสักนิด ยิ่งไม่ได้เรียกคำว่าพ่อด้วย
สิงหามองเขาชั่วครู่ พูดหลีกเลี่ยงว่า“มีธุระนิดหน่อย”
ได้ยินดังนั้นออกัสก็หัวเราะอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว“มาเพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว?”
ที่แท้เขาก็รู้เรื่องพวกนี้แล้ว ดังนั้นสิงหาก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง“นี่มันเรื่องของฉันกับเธอ ไม่เกี่ยวกับนาย”
ประโยคนี้ยั่วโมโหออกัสมาก เขายกมือปล่อยหมัดใส่ใบหน้าสิงหาอย่างไม่ยั้งมือ