บทที่ 316 แกอยากเล่นงานใครให้ตายนะ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

เพียงครู่เดียว เย่เทียนก็มายืนอยู่ตรงหน้าฟางหย่งอย่างรวดเร็ว พร้อมมองฟางหย่งด้วยสีหน้าเย้ยหยันอย่างผู้เหนือกว่า

“เมื่อกี้แกท้าทายฉันว่าจะสั่งสอนฉันไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ฉันมายืนอยู่ตรงหน้าแกแล้ว แกมาสั่งสอนฉันสิ”

ฟางหย่งในตอนนี้รู้สึกอยากจะด่าพ่อล่อแม่ทุกคน

เดิมทีเขาคิดว่านี่คือโอกาสดีในการเอาใจเจ้านายหยางเซ่าเหวิน และได้รายได้เสริมด้วย

แต่เขาคิดหน้าคิดหลังแล้วก็ยังพลาดองค์ประกอบสำคัญไปอย่าง

นั่นก็คือเย่เทียนแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

ไม่ต้องพูดถึงที่พวกเขามีกันเกือบสิบคน ต่อให้เรียกพวกมาอีกเท่าหนึ่งเกรงว่าก็ยากจะทำอะไรเย่เทียนได้

คิดมาถึงตรงนี้ ฟางหย่งอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา เขาเงยหน้ามองเย่เทียนที่กำลังยิ้มมุมปากอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ประหนึ่งรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมของปีศาจร้ายที่คลานขึ้นจากนรกขุมลึกอย่างนั้นแหละ

“แก แกจะทำอะไร? แกอย่าเข้ามานะ”

“ประโยคนี้ฉันต้องเป็นคนถามแกสิถึงจะถูก”

เย่เทียนนึกเซ็งในใจ ทำไมเจ้านี่ถึงปอดแหกขนาดนี้นะ แบบนี้จะยืนนิ่งให้ตัวเองระบายอารมณ์ได้ยังไง!

“แก….”

ฟางหย่งรู้ดีว่าคราวนี้ได้เจอคนโหดเข้าให้แล้ว เขารีบขอร้องอ้อนวอนโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

“พี่ใหญ่ คุณท่าน ผมผิดไปแล้วครับ หลังจากนี้ผมไม่กล้าอีกแล้วครับ ท่านได้โปรดใจกว้างปล่อยผมไปสักครั้งเถอะ”

“แกผิดไปแล้ว?”

เย่เทียนยิ้มบางๆ “งั้นก็ดี แกบอกมาซิว่าแกผิดตรงไหน?”

“ผม ผมผิดตรงที่มีตาหามีแววไม่ ล่วงเกินคุณท่านเข้า ผมไม่สมควร…..”

ฟางหย่งกลืนน้ำลายด้วยสัญชาตญาณ ตอบอึกๆอักๆ

“หยุดๆๆ”

เย่เทียนหยุดเขา และพูดอย่างไม่พอใจ “ฉันดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ไม่ครับๆ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

“พี่ใหญ่ดูไม่แก่เลยครับ ดูยังหนุ่มยังแน่นมาก หน้าเด็กอย่างกับนักเรียนเลยครับ”

ฟางหย่งผงะ และรีบส่ายหัวประหนึ่งกลองป๋องแป๋ง

“ว่าไงนะ? แกจะบอกว่าหน้าตาฉันดูปัญญาอ่อน น่ารังแกเหมือนเด็กนักเรียนรึ?”

ทว่า เย่เทียนยังไม่พอใจกับคำพูดนี้นัก

ฟางหย่งแทบจะร้องไห้ เจ้านี่จะเอายังไงกันแน่ บอกมาตรงๆเลยไม่ได้เหรอ บอกว่านายแก่ก็ไม่ได้ บอกว่านายเด็กก็ไม่ได้ นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย

“พี่ครับ พี่ใหญ่ครับ ผมสำนึกผิดแล้วจริงๆครับ เอาอย่างนี้มั้ยครับ ถ้าพี่ยังรู้สึกไม่สะใจ พี่อัดผมก็ได้นะครับ”

เมื่อไม่รู้จะทำยังไง ฟางหย่งได้แต่เตรียมใจโดนอัด และแอบภาวนาว่าเย่เทียนจะเห็นแก่ที่ตัวเองให้ความร่วมมือขนาดนี้เพลาๆมือให้

เย่เทียนฟังแล้วหัวเราะพรืด ส่ายหัวปฏิเสธข้อเสนอของฟางหย่ง

“คนอย่างแกฉันขี้เกียจจะอัด เดี๋ยวจะเลอะมือฉันเอา”

“ยังไงซะทุกคนก็เป็นผู้ใหญ่บรรลุนิติภาวะกันหมดแล้ว ในเมื่อแกรู้ตัวแล้วว่าทำผิดพลาดไปแกก็ต้องยอมรับบทลงโทษที่จะตามมา”

“ครับๆๆ”

ฟางหย่งกล้าเถียงที่ไหน เขาพยักหน้ารัวๆประหนึ่งลูกไก่ที่ก้มกินข้าว

“พูดได้แค่ปากจะไปมีประโยชน์อะไร แกก็ลงมือสิวะ หรือแกอยากให้ฉันลงมือแทน?”

เย่เทียนเลิกคิ้วและเตือน “เมื่อกี้แกโดนฉันตบไปสองฉาดแล้วนะ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนแล้วกัน ฉันลงมือไม่ค่อยรู้น้ำหนักหรอกนะ”

เพียะ!

ฟางหย่งเศร้าจนอยากกลับบ้านไปกอดแม่ร้องไห้ แต่ภายใต้คำขู่จากเย่เทียน เขาก็ยังยื่นมือออกมาด้วยท่าทีเงอะงะ ก่อนจะตบหน้าตัวเองอย่างแรง

ไม่รู้ว่าเพราะเล็บยาวเกินไปหรือเปล่า หน้าที่บวมอยู่แล้วของฟางหย่งโดนตบจนเป็นแผลเลือดยาว เลือดแดงฉานไหลออกจากแผลในบัดดล

แต่เย่เทียนไม่ได้พูดอะไร ฟางหย่งกลับไม่กล้าหยุดลงด้วยตัวเอง จึงตบหน้าตัวเองซ้ายทีขวาทีต่อหน้าคนมากมาย

เมื่อกี้เย่เทียนพูดไว้ชัดเจนมาก ขายหน้าไปหน่อยก็จริง แต่อย่างน้อยก็ลงมือเอง ไม่เจ็บขนาดนั้น

ทีแรกเย่เทียนคิดว่าฟางหย่งจะหยุดหลังจากตบหน้าตัวเองได้หนึ่งที แต่คิดไม่ถึงว่าเขาไม่ยอมหยุดเลย จึงไม่ได้เอ่ยห้ามด้วย

ยังไงซะในเมื่ออีกฝ่ายมีรสนิยมชอบทำร้ายตัวเอง จะไปห้ามเขาก็ไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ

เมื่อได้เห็นฟางหย่งตบหน้าตัวเองไปสิบกว่าที แก้มสองข้างบวมแดงจนน่ากลัว เย่เทียนถึงล้มเลิกความคิดที่จะดูต่อไป และหันหลังเดินกลับไปอยู่ข้างกายซูเย่าหมิง ใบหน้ายังคงฉายรอยยิ้มใสซื่อ

“รอนานเลยใช่มั้ย ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว เราเข้าไปกันเถอะ!”

“ครับ”

ซูเย่าหมิงพยักหน้าเล็กน้อย สายตาที่มองเย่เทียนแฝงไว้ด้วยหลากหลายอารมณ์

เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าเย่เทียนจะแข็งกร้าวขนาดนี้ เมื่อคิดไปถึงความใจดีเป็นมิตรที่เย่เทียนแสดงต่อหน้าตัวเอง เขาก็ยิ่งระแวงในตัวเย่เทียนกว่าเดิม

หากประเมินเจ้านี่จากภายนอกอย่างเดียวดูไม่มีพิษมีภัยก็จริง แต่ซูเย่าหมิงรู้ดีแก่ใจว่าเย่เทียนแกล้งตีเนียนไปอย่างนั้น

หากเขาลงมือลงแรงขึ้นมาจริงๆ ต้องเป็นคนโหดที่กินศัตรูไม่เหลือซากแน่นอน

ขณะเดียวกัน ภายในห้องส่วนตัวสโมสรจุนเตี่ยน

หลี่เฟิงส่งเสียงหัวเราะสดใสดังลั่นอย่างข่มความยินดีในใจไว้ไม่ได้ เขาพึงพอใจกับแผนในคืนนี้มาก

เขารู้จากปากซูเย่าหมิงแต่แรกแล้วว่าทั้งคู่จะมา ตอนนี้ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วแต่ร่างของทั้งสองยังไม่ปรากฏ

หลี่เฟิงย่อมแน่ใจว่าคนที่หยางเซ่าเหวินสั่งไว้ขวางทั้งคู่ไว้ข้างนอก และกำลังจัดการเย่เทียนให้หนัก

จินตนาการถึงภาพที่เย่เทียนโดนกระทืบจนหน้าปูดหน้าบวมและโดนลากเข้ามาอย่างหมดสภาพ หลี่เฟิงอดหัวเราะลั่นไม่ได้

“แกบังอาจมาล่วงเกินฉันใช่มั้ย มาอยู่ในจ๊กกลางถิ่นของฉันแล้ว คอยดูเถอะว่าฉันจะเล่นงานแกจนตายยังไง”

“เอ๊ะ นี่คุณชายหลี่นี่ จะไปเล่นงานใครจนตายเหรอ?”

ขณะนั้นเอง มีคนผลักประตูเข้ามา เย่เทียนเดิมยิ้มกริ่มนำเข้ามาก่อน

หลี่เฟิงตื่นเต้นดีใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยอยู่ลางๆเขาไม่ได้เงยหน้าดูก่อน แต่รับคำด้วยจิตใต้สำนึก

“จะใครอีกเล่า ก็ต้องเป็นไอ้คนแซ่เย่เวรตะ…..”

พูดมาได้ครึ่งประโยค หลี่เฟิงถึงรู้สึกถึงความผิดปกติ เขารีบเงยหน้าขึ้นมาและสบเข้ากับดวงตาประหนึ่งมองทะลุถึงวิญญาณได้ของเย่เทียน

“ทำ ทำไมถึงเป็นนายล่ะ? ทำไมนายถึงไม่เป็นอะไรเลย?”

“ทำไมรึ? ฟังจากน้ำเสียงคุณชายหลี่ ดูเหมือนคุณจะอยากเห็นฉันเป็นอะไรมากเลยนะ”

ตอนซูเย่าหมิงมารับที่สนามบินหลี่เฟิงก็อยู่ เย่เทียนไม่ได้โง่ เขารู้ดีว่าการปรากฏตัวของฟางหย่งเกี่ยวพันกับหลี่เฟิงแน่ๆ

แต่เย่เทียนยังไม่มีความคิดจะหาเรื่องผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างเขา

ไม่ว่ายังไงเขาก็เพิ่งมาถึงจ๊กกลาง ยังไม่ค่อยรู้สถานการณ์ด้านจ๊กกลางเท่าไหร่

บวกกับสาเหตุจากเหมืองหยก จ๊กกลางในเวลานี้กล่าวได้ว่ารวมพลยอดคน เขาไม่อยากทำตัวเด่นไวเกินไปนัก

แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญที่สุดคือเย่เทียนไม่ได้เก็บหลี่เฟิงมาใส่ใจเลยสักนิด สำหรับเขา หลี่เฟิงเป็นได้เต็มที่คือมดตัวใหญ่ จะเหยียบให้ตายก็ทำได้ทุกนาที!