บทที่ 466 เสด็จอาเก้าป่วย

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 466 เสด็จอาเก้าป่วย
วันต่อมา ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินตื่นขึ้น หลานจิ่วชิงได้เดินทางจากไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินลูบคลำไปที่แขนของตนเองที่ปวดร้าวเล็กน้อย ก่อนจะหันไปจ้องเตียงตั่งตัวเตี้ยซึ่งอยู่ด้านหลังของนาง

นอนบนเตียงตั่งต่างกับนอนบนโซฟาเสียจริง แขนขาไม่อาจยืดออกไปได้ หากนอนไม่ดีอาจจะตกลงไปข้างล่าง นางนอนเพียงแค่หนึ่งคืนก็ให้สัญญากับตนเองว่า ชีวิตนี้นางจะไม่นอนอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะมันส่งผลกระทบต่อการนอนมากจริงๆ

เฟิ่งชิงเฉินโมโหเสียจนสะบัดผ้าห่มทิ้งลงไปบนเตียง จากนั้นทงจือกับทงเหยาก็เดินเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินให้พวกนางช่วยเปลี่ยนผ้าห่มและผ้าปูที่นอนให้ ด้วยเหตุผลที่ว่า “เมื่อวานนี้ข้าไม่ทันระวังและทำยาหกใส่ผ้าห่ม กลิ่นเหม็นเตะจมูก พวกเจ้าช่วยเปลี่ยนให้ข้าที”

ทั้งผ้าห่มและผ้าปูที่นอนเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยา ทงจือและทงเหยาจึงไม่ได้สงสัยสิ่งใด พวกนางรีบนำผ้าห่มกับผ้าปูที่นอนของเฟิ่งชิงเฉินออกไป

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ได้จัดเตรียมสิ่งของที่ต้องใช้ ภายใต้การคุมการขององครักษ์ นางเดินทางไปยังสำนักบัณฑิตเพื่อทำการประลองสนามที่สี่กับซูหว่าน

การแข่งขันวาดภาพ ยังคงมีกรรมการทั้งสิ้นเจ็ดคน ประกอบด้วยเสด็จอาเก้า ซีหลิงเทียนเหล่ย เหยียนหล่าว คุณชายหยวนซี และปรมาจารย์ด้านการวาดภาพจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยอีกสามท่าน

เมื่อได้ยินว่าเป็นสำนักศึกษาจี้เซี่ย เฟิ่งชิงเฉินก็อดไม่ได้ ที่จะเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย การแข่งขันคัดลายมือเมื่อวานนี้ถ้านางเดาไม่ผิดล่ะก็ ผู้ที่ลงคะแนนให้นางชนะ น่าจะเป็นคนจากสำนักศึกษาจี้เซี่ย ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ได้คะแนนมาสามคะแนน

ตอนที่เสด็จอาเก้าเสนอรายชื่อกรรมการ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ได้ทันทีว่าเสด็จอาเก้ามีแผนการอยู่ และนางก็เดาถูกจริงๆ คาดว่าซูหว่านกลับไปแล้วก็คงจะเข้าใจเช่นกัน แต่น่าเสียดายต่อให้เข้าใจแล้วทำอย่างไรได้ เพราะนางไม่มีหลักฐาน

กระดาษรายชื่อทั้งเจ็ดคนเสด็จอาเก้ากำชับให้คนเผาทิ้งไปตั้งนานแล้ว ซูหว่านจึงทำได้เพียงคาดเดา และด้วยการคาดเดานี้ทำให้ซูหว่านไม่กล้าลงมือกับคนจากสำนักศึกษาจี้เซี่ย

เมื่อเดินทางมาถึงสำนักบัณฑิต เฟิ่งชิงเฉินก็ได้ยินข่าวว่าเสด็จอาเก้าเป็นหวัด วันนี้จึงไม่อาจเดินทางมาตัดสินได้ โดยจะมีองค์รัชทายาทเป็นตัวแทนในการตัดสินของเสด็จอาเก้า

“เสด็จอาเก้าเป็นหวัดหรือ?” เป็นไปได้อย่างไร เมื่อวานนี้ตอนที่นางกับเสด็จอาเก้าแยกกัน เสด็จอาเก้ายังคงดีอยู่ ผ่านไปเพียงแค่หนึ่งคืนเสด็จอาเก้าจะเป็นหวัดได้อย่างไร หรือว่าเมื่อคืนนี้เสด็จอาเก้าอาบน้ำเย็น

“เห้อ……” เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เกิดขึ้นบนรถม้า ก็เป็นไปได้ที่เขาจะทำเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินคิดไปในแง่ร้าย

“ถูกต้องแล้ว เสด็จอาเป็นหวัด หมอหลวงกล่าวว่าไม่ควรเสด็จออกไปด้านนอก จำเป็นต้องได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ” องค์รัชทายาทแสร้งทำท่าทางเป็นห่วงกังวลออกมาได้อย่างเหมาะสม เฟิ่งชิงเฉินมองไม่ออกเลยว่าความกังวลนั้นเป็นเรื่องจอมปลอม และเป็นเพียงแค่การแสดง

“ชิงเฉินเข้าใจแล้ว ขอบพระทัยองค์รัชทายาทเพคะ” ประโยคขององค์รัชทายาทที่กล่าวมาดูไม่เหมือนเป็นการโกหก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังรู้สึกว่าการที่เสด็จอาเก้าเป็นหวัดนั้นดูแปลกยิ่ง

เสด็จอาเก้าไม่เหมือนกับคนที่จะอ่อนแอง่ายๆ เช่นนี้

“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก ที่จริงแล้วเสร็จอาเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก เขาได้ส่งคนเข้ามาในพระราชวังตั้งแต่เช้าตรู่มาเพื่อกล่าวว่าไม่อาจเดินทางมาร่วมตัดสินคะแนนได้ จึงขอให้เสด็จพ่ออนุญาตให้ข้าเดินทางมาแทน อีกทั้งยังกำชับข้าเป็นหนักหนาว่าให้ดูแลเจ้าให้ดี”

องค์รัชทายาทไม่ลืมที่จะกล่าวถึงเสด็จอาเก้าในแง่ดีต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน ในฐานะของหลาน องค์รัชทายาททำได้ดีจริงๆ เฟิ่งชิงเฉินนิ่งเงียบและมองไปก่อนจะก้มศีรษะลงด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย “ขอบพระทัยองค์รัชทายาท และขอบพระทัยความเมตตาของเสด็จอาเก้า แต่ชิงเฉินเป็นเพียงผู้ต่ำต้อย ไม่เหมาะสมที่จะเดินทางเข้าไปในจวนอ๋องเก้า ขอองค์รัชทายาทโปรดส่งคำขอบคุณแทนชิงเฉินเมื่อครั้นได้พบกับเสด็จอาเก้าด้วยเพคะ”

“อะไรนะ ชิงเฉินจะไม่ไปเยี่ยมเสด็จอาเก้าหรือ?” องค์รัชทายาทกล่าวด้วยความตกตะลึง

บัดนี้คนในเมืองหลวงมีคนใดบ้างที่ไม่รู้ถึงประโยคนั้นของเสด็จอาเก้าว่า “ข้าชื่นชอบทุกอย่างของนาง ทำไมหรือ องค์รัชทายาทเหล่ยมีข้อคิดเห็นหรืออย่างไร?”

เนื่องจากประโยคนี้ทำให้สตรีในเมืองหลวงเห็นพ้องกันว่าเสด็จอาเก้ามองดูเหมือนจะไร้ความรู้สึก แต่แท้จริงแล้วเป็นชายผู้มีหัวใจอันลึกซึ้งอบอุ่นกว่าคนอื่น ส่วนเฟิ่งชิงเฉินสตรีคนนี้กลับได้ครอบครองชายผู้เพียงลำพัง ช่างทำให้คนอื่นอิจฉาเสียจริง

เดิมทีเสด็จอาเก้าเป็นหนึ่งในชายซึ่งสตรีชั้นสูงแห่งเมืองหลวงพากันหมายปอง แต่เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา เสด็จอาเก้าจึงกลายเป็นชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่สตรีสูงส่งทั้งหลายต้องการจะแต่งงานด้วย

“ชิงเฉินเป็นเพียงผู้ต่ำต้อย ไม่มีสิทธิ์จะก้าวเข้าไปในจวนอ๋องเก้า เพียงแค่องค์รัชทายาทช่วยส่งต่อคำขอบคุณนี้ไปให้ก็เพียงพอแล้วเพคะ” นางไม่ไปหรอก นางเป็นหมอ หมอเดินทางไปที่ใดล้วนไม่มีเรื่องดี อีกอย่างเสด็จอาเก้าได้เชิญหมอหลวงมาด้วย ดังนั้นอาการเจ็บป่วยของเขาคาดว่าคงจะไม่หายในเร็ววัน

“แค่กๆ ชิงเฉินกำลังกล่าวเรื่องตลกอย่างงั้นหรือ เมื่อวานนี้เจ้ากับเสด็จอานั่งรถม้าออกไปจากเมืองคันเดียวกัน หมอหลวงกล่าวว่าการที่เสด็จอาเป็นหวัด เนื่องด้วยถูกลมหนาวพัดเมื่อวานบ่าย”

นางนั่งรถม้าของเสด็จอาเก้า ยังกล้ากล่าวว่าตนเป็นเพียงผู้ต่ำต้อย ไม่อาจเข้าไปในจวนได้ ทำให้องค์รัชทายาทพูดไม่ออกเลยทีเดียว เขาไม่อยากจะเชื่อว่าการที่เขากล่าวโดยจงใจเรื่องเสด็จอาเก้าป่วยนั้นเป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉิน เช่นนี้แล้วนางยังไม่ยอมไปหาเขา

เดิมทีเฟิ่งชิงเฉินก็ค่อนข้างสงสัย บัดนี้ทำให้นางมั่นใจได้ว่าอาการเจ็บป่วยของเสด็จอาเก้าไม่ได้ธรรมดา เสด็จอาเก้าคงจะไม่ป่วยง่ายๆ ดังนั้นการเจ็บป่วยในครั้งนี้คงจะมีความหมายอื่นแอบแฝง นางจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเด็ดขาด

“องค์รัชทายาทล้อเล่นหรืออย่างไร เมื่อวานตอนบ่ายนี้ชิงเฉินและเสด็จอาเก้าเดินทางออกจากเมืองไปด้วยกัน ชิงเฉินเป็นเพียงแค่สตรีผู้อ่อนแอยังไม่เป็นหวัด เสด็จอาเก้าจะอ่อนแอเช่นนั้นได้อย่างไร คาดว่าหลังจากที่เสด็จอาเก้ากลับไปยังจวนแล้วคงจะพบเรื่องบางอย่างเข้ากระมัง” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มแล้วอธิบาย นางจะกล่าวว่าความเจ็บป่วยของเสด็จอาเก้าเป็นเพราะตนเองได้อย่างไร

“หากเสด็จอาเก้าได้ยินเช่นนี้ คงจะปวดใจยิ่งนัก”

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มขึ้นและไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา

“องค์รัชทายาท คุณหนูเฟิ่ง ทั้งสองสนทนาเรื่องอะไรกันอยู่หรือดูท่าทางดีอกดีใจยิ่งนัก” ซูหว่านในชุดสีชมพูม่วงยาวลากพื้น ทุกกิริยาท่าทางช่างดึงดูดผู้คน รอยยิ้มของนางเบ่งบานมากกว่าดอกไม้เสียอีก เปลี่ยนไปจากท่าทางดูเหมือนฟ้าจะถล่มทลายเมื่อวานนี้โดยสิ้นเชิง

ต้องยอมรับว่าซูหว่านเป็นคนที่เข้มแข็งมากจริงๆ เพียงแค่ผ่านไปวันเดียว แรงกดดันที่ถาโถมเข้ามานางก็สามารถสลัดทิ้งไปแล้วตั้งสติขึ้นมาใหม่ได้

เฟิ่งชิงเฉินถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งเพื่อเป็นการเว้นระยะห่างระหว่างตนกับองค์รัชทายาท ก่อนจะหันศีรษะไปตอบซูหว่านว่า “คุณหนูซูนี่เอง ข้าและองค์รัชทายาทกำลังกล่าวถึงเรื่องการแข่งขันเมื่อวานนี้ และกำลังคาดเดาว่าคุณหนูซูจะเป็นเช่นเมื่อวานนี้ที่ไม่อาจยอมรับผลพ่ายแพ้ได้หรือไม่”

เมื่อกล่าวจบนางก็ไม่ลืมที่จะหันไปส่งสีหน้าเยาะเย้ย เพื่อต้องการจะให้ซูหว่านโมโหเสียจนอกแตกตาย

เฟิ่งชิงเฉินช่างร้ายกาจเสียจริง ดูเหมือนในอนาคตเสด็จอาเก้าจะต้องอดทนให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว องค์รัชทายาทยิ้มแล้วส่ายหน้า แววตาของเขาเผยถึงความเอ็นดูอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สีหน้าของซูหว่านเปลี่ยนไป องค์รัชทายาทกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เอาล่ะ รีบไปเตรียมตัวกันเถิด หากว่าแพ้ล่ะก็เสด็จอาเก้าคงจะไม่ปล่อยข้าเอาไว้แน่”

“เพคะองค์รัชทายาท” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มขึ้นด้วยท่าทางจริงจังแล้วกล่าวออกมา

ซูหว่านมองเห็นองค์รัชทายาทและเฟิ่งชิงเฉินเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย นางก็โมโหเสียจนหน้าซีด แต่ทั้งสองคนนี้กลับไม่เปิดโอกาสให้นางได้เอ่ยสิ่งใดเลย น่าโมโหยิ่งนัก

ซูหว่านกำมือแน่นแล้วหลับตาลง ไม่ต้องการจะเห็นใบหน้าอันน่ารังเกียจของเฟิ่งชิงเฉินนั่น นางอยากจะเห็นจริงว่าหากเสด็จอาเก้าไม่อยู่แล้วเฟิ่งชิงเฉินจะชนะนางได้อย่างไร

องค์รัชทายาทไม่ใช่เสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้ากล้าจะกล่าวว่าตนลำเอียง แต่องค์รัชทายาทไม่กล้า ทุกการกระทำขององค์รัชทายาทผู้คนมากมายล้วนเห็นในสายตา และคอยจับจ้อง ดีไม่ดีอาจจะถูกฝ่ายตรวจการยื่นฟ้อง เมื่อถึงเวลานั้นตำแหน่งองค์รัชทายาทของเขาก็อย่าหวังว่าจะนั่งได้อย่างสงบ

เมื่อคิดได้ดังนี้ อารมณ์ของซูหว่านก็ดูดีขึ้นมากทีเดียว นางเดินตรงเข้าไปยังที่นั่งของตนเอง ขณะที่เดินผ่านเฟิ่งชิงเฉินก็ยังไม่ลืมที่จะหันไปยิ้มด้วยแล้วกล่าวว่า “คุณหนูเฟิ่ง ข้ารอคอยการแข่งขันในวันนี้เหลือเกิน การแข่งขันก่อนหน้านี้ทั้งสามสนามคุณหนูเฟิ่งได้มอบความประหลาดใจให้แก่ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า หวังว่าในวันนี้คุณหนูเฟิ่งคงจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวัง”

เป็นจริงดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นฉิน หมากรุกหรือการคัดลายมือ เฟิ่งชิงเฉินล้วนทำได้ยอดเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ มันยอดเยี่ยมเสียจนนางสามารถชนะได้ และเกินกว่าที่ผู้คนจะจินตนาการ เห็นได้ชัดว่าแต่ละครั้งนางทำได้ดีและยอดเยี่ยมยิ่งนัก

ประโยคเมื่อครู่ของซูหว่านไม่ได้เป็นเพียงคำเยาะเย้ย แต่ในวันนี้มีคนมากมายกำลังจับจ้องเฟิ่งชิงเฉินอยู่ ผู้คนที่ด้านนอกก็พากันคาดเดาว่าการแข่งขันวาดภาพในวันนี้ เฟิ่งชิงเฉินจะทำเรื่องใดที่ทำให้ทุกคนต้องตลกตกตะลึงออกมาอีก……