เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เมิ่งเสียนอยู่ในรถม้า ตนเองแหวกม่านรถขึ้น เดินลงมา แล้วกวาดตามองชายฉกรรจ์ชุดดำสิบกว่าคนที่ขวางหน้ารถม้า แสยะยิ้มเ**้ยมถามชายผู้นำ “ท่านผู้กล้า บังเอิญยิ่งนัก ญาติของท่านอยู่แถวนี้หรือ?”

 

 

เฮ่อเอ้อหัวเราะร่วน “แม่นางเมิ่งเดาสถานะข้าออกแต่แรกแล้ว ไยต้องถามเช่นนี้อีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงละมุน “ข้าเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนา เห็นโลกมาน้อย ไฉนเลยจะเดาสถานะของท่านผู้กล้าได้ ไม่เช่นนั้นท่านโปรดบอกข้าเอง?”

 

 

เฮ่อเอ้อพูดว่า “ประเดี๋ยวแม่นางพบนายท่านของพวกเรา ก็จะรู้สถานะของพวกเราเอง ตอนนี้ขอเชิญแม่นางตามไปกับพวกเราก่อน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่และเสี่ยวเอ้อร์จำนวนหนึ่งบนรถม้าเกร็งลำตัวแน่น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งไม่เข้าใจในคำพูดของเขา ส่ายหน้าปฏิเสธ “เย็นมากแล้ว ท่านพ่อท่านแม่กำลังรอให้ข้ากลับไปโดยไว ข้าคงไม่ไปพบนายท่านของพวกท่านแล้ว แต่รบกวนท่านฝากไปบอกเขาด้วย ข้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น วันนี้เขากลั่นแกล้งข้า วันหน้าข้าจะให้เขาต้องชดใช้”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าเฮ่อเอ้อจางหาย ถามเสียงเข้ม “แม่นางจะไม่ไปกับพวกเราดีๆ รึ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าตามจริง “ไม่ไป”

 

 

เฮ่อเอ้อแผ่รังสีสังหารออกมา “เมื่อแม่นางไม่ยอม ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกางแขนออก ทำท่าผายมือเชื้อเชิญ “เชิญตามสบาย”

 

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เฮ่อเอ้อไม่เคยถูกใครหยามน้ำหน้าเช่นนี้มาก่อน เลือดขึ้นหน้า โบกมือให้กลุ่มชายด้านหลัง “ลงมือ!”

 

 

ชายฉกรรจ์ห้าหกคนพุ่งเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย

 

 

ร่างคนจำนวนหนึ่งกระโจนออกมาจากรถม้าด้านข้าง ขวางหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวไว้

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์เห็นพวกเขาบึกบึนกำยำ หยุดชะงักการจู่โจม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับเสี่ยวเอ้อร์จำนวนหนึ่งที่ยืนเบื้องหน้าตัวเอง “ผู้มาล้วนเป็นแขก พวกเจ้าอย่าลงมือหนักเกินไป เอาแค่เจียนตายก็พอ”

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ทั้งหมดขานรับคำพร้อมกัน “ขอรับ นายท่าน!”

 

 

เมื่อคำพูดนี้เข้าสู่โสตประสาทชายฉกรรจ์ คือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง ออกคำสั่งเสียงลั่น “นอกจากแม่นางน้อย อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”

 

 

ชายฉกรรจ์ที่เหลือกระโจนเข้าหารถม้าอีกสองคัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แสดงท่าทีเป็นกังวลแม้แต่น้อย ยังคงยกยิ้มมองเฮ่อเอ้อ

 

 

ไม่รู้เพราะอะไร เฮ่อเอ้อถูกนางมองจนขนหัวลุกชูชัน รีบสั่งการคนที่อยู่เบื้องหน้านาง “ยังไม่ลงมืออีก!”

 

 

ชายฉกรรจ์ทั้งหมดรับคำ รุกเร้าจู่โจม

 

 

เสี่ยวเอ้อร์เข้ามารับมือ ทั้งสองฝ่ายประหัตประหารกัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวพิงข้างรถม้าอย่างสบายอุรา มองดูการต่อสู้อันอลหม่านตรงหน้าอย่างครึ้มใจ บ้างก็ให้คำชี้แนะเสี่ยวเอ้อร์ของตัวเอง

 

 

เมิ่งเสียนทนไม่ไหวแล้ว เดินลงจากรถม้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดกับเขาทันที “พี่ใหญ่ ท่านว่าคนพวกนี้สติไม่ดีหรือไม่ ฟ้ายังไม่ทันมืดดี ก็สวมชุดดำเดินกร่างออกมา นี่มิใช่เป็นการบอกคนที่เห็นอย่างโจ่งแจ้ง ว่าพวกเขามิใช่คนดีหรอกหรือ?”

 

 

เมิ่งเสียนฝืนกลั้นขำ พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนาง “ถูกต้อง พวกเขาสติไม่ดี”

 

 

สิ้นเสียงคนทั้งสอง ชายฉกรรจ์คนหนึ่งไถลลื่น เปิดโอกาสให้เสี่ยวเอ้อร์เตะจนพลิกตัวหลายตลบ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับตำหนิพวกเขา “ข้าจะบอกพวกเจ้าว่า ผ่านมาหลายปี เพิ่งจะได้ปะมือกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ พวกเจ้าจงปะทะฝีมือกับพวกเขาให้เต็มที่ ดูว่าวิทยายุทธ์ของตนเองเสื่อมถอยไปแล้วหรือไม่”

 

 

ความหมายแฝงก็คือให้พวกเจ้าค่อยๆ ทรมานพวกเขาไปก่อน อย่าเพิ่งกำราบไวเกินไป

 

 

องครักษ์หลวงที่เปลี่ยนมาเป็นเสี่ยวเอ้อร์ ติดตามนางมาสี่ปี ย่อมเข้าใจความหมายแฝงของนาง ต่างขานรับคำโดยพร้อมเพรียง

 

 

องครักษ์หลวงที่ถีบชายฉกรรจ์กระเด็นม้วนไปหลายตลบรีบเข้ามารับผิดเออออตามนาง “แม่นาง พวกเราเลอะเลือนไปชั่วขณะ ท่านวางใจ ครั้งนี้พวกเราจะไม่ทำผิดพลาดอีกแล้วขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

เฮ่อเอ้อโมโหจมูกเบี้ยวแล้ว องครักษ์ลับฝีมือดีของคุณชายรอง กลับถูกเด็กสาวคนหนึ่งพูดราวกับเป็นเศษเดน พลันร้องคำรามเสียงลั่น “แม่นางเมิ่ง เจ้าอย่าได้เหิมเกริมไปนัก ประเดี๋ยวจะร้องไห้ไม่ออก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มสะใจ พูดเยาะหยันกลับไป “ตั้งแต่เด็กข้าไม่เคยร้องไห้เลย เวลาเห็นคนอื่นร้องไห้ขี้มูกโป่ง อิจฉาเป็นยิ่งนัก หากท่านช่วยข้าได้ ข้าจะขอบคุณท่านอย่างงามเลย”

 

 

เฮ่อเอ้อเลือดขึ้นหน้าแล้ว ดันตัวลุกพรวด ยกฝ่ามือขึ้น ง้างกรงเล็บออกกระโจนเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เหวินเปียวกระโดดลงจากลงม้า เข้ามาขวางเขา

 

 

ทั้งสองประลองกันหลายกระบวนท่า

 

 

เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งดังขึ้น “เหวินเปียว เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถอยไป!”

 

 

เหวินเปียวรับคำ เข้าปะทะอีกสองสามกระบวนท่า แล้วกลับขึ้นรถม้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่า หันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ข้าขอซ้อมมือบ้าง?”

 

 

เมิ่งเสียนพยักหน้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปปะทะมือกับเฮ่อเอ้ออย่างขอไปที “เข้ามาเถอะ นี่ก็เย็นย่ำมากแล้ว หากยังสู้กันต่อไป ท่านพ่อท่านแม่ข้าคงกระวนกระจายใจแย่แล้ว พวกเรารีบสู้รีบจบ รู้แพ้ชนะกันในยี่สิบกระบวนท่า”

 

 

เฮ่อเอ้อไม่เคยถูกใครเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน ไฟโทสะปะทุ ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรงเข้าฟาดฟันเมิ่งเชี่ยนโยวทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรอให้เขาเข้ามาใกล้ ถึงสะบัดกริชออกไป

 

 

คมกริชสะท้อนแสงวาบ เฮ่อเอ้อถอนคืนกระบวนท่าจู่โจม พลิกตัวกลับ หลบพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มยกนิ้วหนึ่งขึ้น “หนึ่งกระบวนท่า”

 

 

เฮ่อเอ้อโมโหหน้าแดงหน้าดำ พูดเกรี้ยว “แม่นางเมิ่ง เจ้าอย่าเหิมเกริมให้มากนัก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ข้าเหิมเกริมเพราะข้ามีต้นทุนให้เหิมเกริม แต่เจ้าไม่มี ดังนั้นเจ้าถึงไม่กล้าเหิมเกริม”

 

 

“ปากดีนัก วันนี้ข้าจะให้เจ้าดูว่า ข้ามีต้นทุนให้เหิมเกริมหรือไม่” เฮ่อเอ้อพูดจบ ก็เข้าโรมรันทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงตัวหลบ โน้มตัวลง แทงกริชในมือเข้าใส่เฮ่อเอ้อ

 

 

เฮ่อเอ้อหลบมาได้อย่างหวุดหวิดอีกครั้ง ตกใจเหงื่อซึมทั่วร่าง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มชูนิ้วมือสองนิ้วอีกครั้ง “สองกระบวนท่า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสามารถแก้โจทย์การจู่โจมทั้งสองครั้งของเขาได้อย่างง่ายดาย เฮ่อเอ้อถอนคืนความคิดปรามาสนาง รวบรวมพลัง เข้ารุกฆาตเมิ่งเชี่ยนโยวโดยไม่ลังเลอีก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ถึงพลังที่เปลี่ยนไปของเขา ถอนคืนท่าทีเอ้อระเหยของตนเอง เข้าปะทะกับเขาอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

 

 

ทั้งสองประลองกันไปมา วรยุทธ์สูสีใกล้เคียงกัน

 

 

เมิ่งเสียนได้ยินเสียงใสกังวานของเมิ่งเชี่ยนโยวดังไม่ขาดสาย “สามกระบวนท่าน สี่กระบวนท่า…สิบเก้ากระบวนท่า ยี่สิบกระบวนท่า” สิ้นเสียง ตะเบ็งร้องขึ้น “เหวินเปียว ตาเจ้าแล้ว”

 

 

เหวินเปียวช้อนสายตา เห็นเฮ่อเอ้อยกมือทาบหน้าอก โงนเงนถอยหลังไป มีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด

 

 

“ได้ขอรับ แม่นาง” น้ำเสียงสาใจของเหวินเปียวดังขึ้นพร้อมกับกระโดดตัวลอยไปด้านหลังเฮ่อเอ้อ รีบใส่เขาไม่ยั้ง

 

 

เฮ่อเอ้อไม่ได้ตั้งหลัก ร่างที่ถอยร่นถูกถีบถลาไปเบื้องหน้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแผดเสียงสั่งทุกคนที่ต่อสู้อยู่ “เลิกเล่นได้แล้ว เย็นย่ำป่านนี้ ทุกคนยังรอพวกเรากลับไปกินข้าวนะ”

 

 

องครักษ์หลวงรับคำ เร่งมือฟาดฟัน ไม่นานเท่าไหร่ คนที่เฮ่อเอ้อพามาต่างใบหน้าเขียวช้ำบวมปูด นอนโอดโอยร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มร่าเดินไปย่อเข่าลงเบื้องหน้าเฮ่อเอ้อ พูดว่า “วันนี้ข้าอารมณ์ดี จะไว้ชีวิตพวกเจ้า กลับไปบอกนายท่านของพวกเจ้า ครั้งหน้าจะเชื้อเชิญข้าก็ให้สุภาพหน่อย อย่าส่งคนมากมายมาข่มขวัญข้าเช่นนี้” ท้ายที่สุด พูดให้เฮ่อเอ้อยิ่งโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอีกคำว่า “ข้าขี้ขลาด”

 

 

เฮ่อเอ้อที่นอนอยู่บนพื้น หากแววตาฆ่าคนได้ เขาแทบอยากจะแทงเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นร้อยเป็นพันรู

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แยแสเขา ลุกขึ้นสั่งการ “เก็บกวาดซะ จะได้กลับบ้าน”

 

 

ทุกคนรับคำ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับอีกครั้ง “จัดการตัวเองให้เรียบร้อยด้วย หากใครทำให้ฮูหยินจับได้ว่าวันนี้พวกเรามีเรื่องต่อสู้มา จะลงโทษให้วิ่งรอบท่อนไม้ห้าสิบรอบ”

 

 

ถูกต้อง สี่ปีก่อนหลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวรับองครักษ์หลวงมาดูแล ก็ค่อยๆ รวบรวมพวกเขาเข้ามาไว้ด้วยกัน จัดแจงให้พวกเขาไปทำงานในโรงงานและร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งสาขาต่างๆ ทั้งยังสร้างสนามฝึกยุทธ์เหมือนด้านหลังเหลาจวี้เสียนทุกประการ ที่แตกต่างก็คือ ทั้งสี่ทิศของสนามฝึกยุทธ์จะถูกล้อมด้วยท่อนไม้สูงต่ำแตกต่างกันไป ทุกครั้งที่มีคนกระทำผิด เมิ่งเชี่ยนโยวจะลงโทษให้พวกเขาวิ่งรอบท่อนไม้ภายในเวลาที่กำหนด

 

 

ได้ยินคำพูดนาง เหล่าองครักษ์หลวงต่างตกใจตัวสั่นเทิ้ม แยกย้ายถามซึ่งกันและกันว่าการตนเองแต่งกายผิดปกติหรือไม่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ก้มหน้าสำรวจดูเสื้อผ้าของตัวเอง พบว่าไม่เหลือร่องรอยของการต่อสู้ แต่ก็เงยหน้าถามเมิ่งเสียนอย่างไม่วางใจ “พี่ใหญ่ ตัวข้าไม่มีอะไรบกพร่องกระมัง?”

 

 

เมิ่งเสียนช่วยนางสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง พูดหนักแน่น “ไม่มี”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งใจ ยอมวางใจลง แล้วขึ้นรถม้าไปพร้อมเมิ่งเสียน ทั้งพูดว่า “หากให้ท่านแม่จับได้ว่าข้าไปมีเรื่องวิวาทมา ได้ถูกบ่นจนหูชาเป็นแน่ แค่คิดข้าก็กลัวแล้ว”

 

 

เมิ่งเสียนหลุดขำ “เจ้ากลัวกับเขาเป็นด้วยหรือ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นปลิ้นตา “ก็ต้องมีสิ ท่านแม่บ่นทีไม่จบไม่สิ้น ความสามารถนั้นน่ากลัวที่สุด”

 

 

เมิ่งเสียนยิ่งหัวเราะขรม “ท่านแม่ ก็เพียงหวังดีต่อเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบ ข้าถึงไม่กล้าโต้แย้ง ทุกครั้งจะยอมให้นางบ่นแต่โดยดี ทว่าพักหลังมานี้ความสามารถพัฒนาขึ้น เมื่อไม่กี่วันก่อนบ่นข้าไปครึ่งชั่วยาม ข้ากลัวจนหัวหดแล้ว”

 

 

เมิ่งเสียนเก็บคืนรอยยิ้ม “ท่านแม่กระวนกระวายใจยิ่งนัก เจ้าอายุได้สิบแปดปีแล้ว อี้เซวียนกลับไม่เคยส่งข่าวมาเลย ไม่รู้ว่าอยู่เมืองหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าจะยังจำคำสัญญาที่จะกลับมาแต่งกับเข้าได้หรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก “เจ้าเด็กบ้านั่น เจ้าเล่ห์เพทุบาย จะต้องไม่เป็นอะไรหรอก พวกท่านอย่าได้เป็นกังวลเลย” แล้วพูดว่า “เขายังเด็ก ไม่รีบร้อนเรื่องการแต่งงาน รออีกสองสามปีค่อยว่ากันเถอะ”

 

 

เมิ่งเสียนถอนหายใจ “ให้รออีกสองสามปี เจ้าคงกลายเป็นสาวใหญ่โดยสมบูรณ์แล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดออดอ้อน “เป็นสาวใหญ่ข้าก็ไม่กลัว อย่างไรก็ยังมีท่านและพี่สะใภ้ใหญ่เลี้ยงดูข้า”

 

 

เมิ่งเสียนยื่นมือออกมาคิดจะลูบศีรษะนาง พอคิดว่าตอนนี้นางเป็นสาวแล้ว จึงชักมือกลับ “สิ่งของในบ้านล้วนเป็นของที่เจ้าหามา ไยต้องให้พี่เลี้ยงดูเจ้า ตอนนี้ความหวังเดียวของท่านพ่อท่านแม่พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ก็คือ ให้เจ้าได้แต่งงานกับอี้เซวียนโดยไว…”

 

 

พูดยังไม่จบ ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบท “พอแล้วเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ ทำไมตอนนี้ท่านขี้บ่นเหมือนท่านแม่แล้ว?”

 

 

เมิ่งเสียนขบขัน

 

 

เหวินเปียวบังคับรถม้าอย่ามั่นคงมาตามทาง รถม้าอีกสองคันตามหลังมาติดๆ

 

 

เมิ่งเสียนเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “พวกคนเมื่อครู่มีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา น่าจะเป็นผู้คุ้มกันลับที่พวกเศรษฐีเลี้ยงไว้ ไม่รู้ว่าพวกเราไปล่วงเกินนายของพวกเขาอย่างไร ถึงกับส่งคนมาตามฆ่าพวกเรา”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวจางหาย ขมวดคิ้วเกร็ง “ข้าเองก็คิดไม่ออก ถึงสั่งให้ลงมือกับพวกเขาอาการเจียนตาย หลังจากพวกเขากลับไปรายงาน นายของพวกเขาจะต้องโมโหมาก ถึงตอนนั้นย่อมต้องโผล่หน้าออกมาเอง”

 

 

เมิ่งเสียนพยักหน้า พูดว่า “ข้ายังให้นึกกังขา เหตุใดเจ้าถึงปล่อยพวกเขาไปโดยง่าย ที่แท้ก็คิดจะล่อตัวผู้บงการออกมา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดังนั้น หลายวันนี้ไม่ว่าจะในบ้านหรือที่โรงงาน ท่านจะต้องระวังให้มากขึ้น หากพบบุคคลต้องสงสัยเข้ามาลอยหน้าลอยตาอยู่ละแวกใกล้เคียง ให้บอกข้าทันที”

 

 

“วางใจเถอะ กลับไปข้าจะเตรียมการทันที” เมิ่งเสียนพูด

 

 

สองพี่น้องพูดคุยหารือ หนึ่งชั่วยามก็กลับมาถึงบ้าน

 

 

ฟ้ามืดสนิทแล้ว เมิ่งชื่อกำลังยืนรอหน้าประตูบ้านอย่างกระสับกระส่าย

 

 

พอเห็นรถม้าเข้ามา ไม่รอให้รถจอดสนิท เมิ่งชื่อก็เดินตรงไป เปิดม่านรถ ร้อนใจซักถามเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ จัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เข้าไปกอดแขนเมิ่งชื่ออย่างรักใคร่ พูดด้วยสีหน้าเป็นปกติ “มิใช่เรื่องใหญ่อันใด แค่เรื่องกระต่ายตื่นตูม ลูกจัดการเรียบร้อยแล้ว”

 

 

เมิ่งชื่อไม่เชื่อ หันไปถามเมิ่งเสียน

 

 

เมิ่งเสียนเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้ พยักหน้าหงึกหงัก “ท่านแม่ ไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ ขอรับ?”

 

 

เมิ่งชื่อยังคงไม่เชื่อ ถามทั้งสองคนอย่างคลางแคลงใจ “พวกเจ้าคงไม่ได้ปดแม่หรอกนะ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนเมิ่งชื่อเดินเข้ามาในบ้าน เดินไปยิ้มพูดไปว่า “แค่เรื่องกระต่ายตื่นตูมจริงๆ เจ้าค่ะ มีคนคิดจะขู่กรรโชกเอาเงินจากพวกเรา แสร้งวางยาลงในก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งของพวกเรา แต่ถูกข้าเปิดโปงได้ก่อน ตอนนี้ท่านใต้เท้าจับพวกเขาเข้าคุกไปแล้ว”

 

 

เมิ่งชื่อถึงยอมเชื่อ ใจที่พะวักพะวงถึงคลายลง พูดอย่างเคืองโกรธ “คนชั่วช้าทำเรื่องผิดมโนธรรมเช่นนี้ จักต้องถูกฟ้าผ่า ไม่ได้ตายดี”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังแอบหันไปแลบลิ้นให้เมิ่งเสียน แล้วพูดกับเมิ่งชื่อว่า “ท่านแม่ คนที่วางยาพิษก็กินยาพิษเข้าไปด้วย ต้องนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่โรงหมอ หนำซ้ำยังถูกผู้ว่าการตำบลลงโทษโบย แล้วนำไปขังในคุก คาดว่าไม่ต้องถูกฟ้าผ่า เขาก็คงไม่ได้ตายดีแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งชื่อถึงรู้สึกดีขึ้น ก่นด่าอีกสองสามคำ ถึงยอมเลิกรา

 

 

ซุนเชี่ยนนำสาวใช้สองคนทำอาหารเสร็จแล้ว ได้ยินเสียงก็ยื่นหน้าออกมาจากในครัว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนมีสีหน้าท่าทางดี รู้ว่าจัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก แต่ร้องเรียกทั้งสองคน “พวกท่านกลับมาแล้ว ล้างมือแล้วมากินข้าวเถอะ”

 

 

เมิ่งเสียนรับคำ เดินไปล้างมือ

 

 

เมิ่งชื่อเลี้ยวเข้ามาในครัวช่วยจัดชามตะเกียบ

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นอุ้มเมิ่งเส้าเดินมาจากเรือนด้านข้าง พอเจ้าตัวน้อยเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็คลายมือเมิ่งเอ้ออิ๋นออก กางแขนน้อยๆ วิ่งตรงมาหานางร้องเรียก “ท่านอา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรอให้เขาวิ่งมาถึงตรงหน้า แล้วอุ้มเขา ยกชูสูงหมุนไปรอบตัว

 

 

เมิ่งเส้าสนุกเบิกบาน เปล่งเสียงร้องไร้เดียงสา

 

 

เมิ่งเสียนล้างมือกลับเข้ามา เจ้าตัวน้อยเอ่ยปากเรียกเสียงหวาน “ท่านพ่อ”

 

 

เมิ่งเสียนเดินเข้ามา ลูบศีรษะเขา ถามเสียงละมุน “วันนี้ท่านอาเหนื่อยแล้ว เส้าเอ๋อร์ลงมาเถอะ”

 

 

เมิ่งเส้าพยักหน้าอย่างรู้ความ ส่งสายตาให้เมิ่งเชี่ยนโยววางตัวเองลง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววางเขาลงมา เจ้าตัวน้อยจับมือนางเดินเข้ามากินข้าวในครัวอย่างน่าเอ็นดู

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นเดินตามพวกเขาเข้ามา ถามเมิ่งเสียนเสียงต่ำ “วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

 

 

เมิ่งเสียนนำถ้อยคำเมื่อครู่ของเมิ่งเชี่ยนโยวพูดให้เขาฟังอีกรอบ

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ฟังก็ให้เคืองโกรธ ทว่ามิได้ก่นด่าเหมือนเมิ่งชื่อ เพียงกำชับเมิ่งเสียน “ดูท่าจะมีคนริษยาการค้าของพวกเรา จับตาดูพวกเราไว้แล้ว ต่อไปพวกเจ้าต้องระวังให้มาก”

 

 

เมิ่งเสียนพยักหน้า “ทราบแล้ว ท่านพ่อ”

 

 

เมิ่งเจี๋ยก็เติบใหญ่แล้ว กำลังเรียนหนังสือในเมืองกับเมิ่งชิง ทุกวันจะมีคนคอยไปรับไปส่ง ในเวลานี้ได้เดินจากในบ้านออกมาที่ครัว ร้องเรียกทุกคนอย่างมีมารยาท

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งเจี๋ยที่ตัวสูงขึ้น ลูบศีรษะเขาเหมือนตอนเป็นเด็ก ถามว่า “ช่วงนี้การเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

เมิ่งเจี๋ยตอบอย่างภูมิใจและเปิดเผย “ท่านอาจารย์บอกว่า ด้วยความรู้ของข้า ปีหน้าก็เข้าสอบถงเซิงได้แล้วขอรับ”

 

 

เมิ่งชื่อถลึงตาโตยินดี ถามอย่างดีใจ “จริงรึ ท่านอาจารย์พวกเจ้าพูดเช่นนั้นจริงๆ ?”

 

 

เมิ่งเจี๋ยพยักหน้า “ท่านอาจารย์บอกว่า ครอบครัวเมิ่งของเราจะมีถงเซิงอายุน้อยเหมือนพี่อี้เซวียนอีกแล้ว”

 

 

สิ้นเสียงเขา รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งชื่อก็พับลงมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแอบพูดว่าแย่แล้ว ยกมือขึ้นตีเมิ่งเจี๋ยเบาๆ ติเตียนเขาพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา

 

 

เมิ่งเจี๋ยพูดจบถึงได้รู้ว่าตัวเองพูดผิดไป ตกใจจนไม่กล้าปริปากอีก

 

 

เป็นดังคาด เมิ่งชื่อถอนหายใจ ไม่มีแม้แต่อารมณ์จะกินข้าว นั่งใจลอยบนเก้าอี้ข้างโต๊ะกินข้าว

 

 

ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี

 

 

จู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตบหน้าขาฉาดใหญ่ ร้องพูดว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว!”

 

 

ทุกคนต่างสะดุ้งตกใจ หันพรึ่บมาที่นาง

 

 

เมิ่งชื่อเงยหน้าขึ้น พูดตำหนินาง “เจ้าลูกคนนี้ ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ร้องโวยวายไม่รู้กาลเทศะ เจ้าตัดสินใจอะไรได้?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ข้างนาง ยิ้มร่าโอบไหล่นาง พูดว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว หากพ้นปีใหม่ไป เจ้าเด็กบ้านั่นยังไม่มาสู่ขอ ข้าจะเข้าเมืองหลวงไปหาเขา”