บทที่ 469 แพ้ชนะ ข้ามีความสุขเป็นพอ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเก็บพู่กันและดินสอลง องค์รัชทายาทเหยียนหล่าวและคนอื่นๆ ก็ได้แต่ตกตะลึงกับภาพโครงสร้างกระดูกของมนุษย์ที่ดูเหมือนจะลอยออกมาจากกระดาษได้ มันช่างชัดเจนและเสมือนจริงเหลือเกิน

แม้ว่าจะมีเพียงแค่สามสีนั่นคือสีขาวสีเทาและสีดำ แต่ว่าภาพวาดนี้ดูไม่ซ้ำซากจำเจ แน่นอนว่าไม่มีทักษะการวาดภาพหรือพลังงานทางจิตวิญญาณแต่อย่างใด ภาพนี้ของเฟิ่งชิงเฉินเป็นการจำลองของจริง ดูเหมือนเป็นผลงานของช่างมากกว่า มันไม่ค่อยจะมีความรู้สึกหรือความงามทางศิลปะนัก

หากมองจากมุมมองของจิตรกร ภาพวาดโครงกระดูกมนุษย์นี้ของเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้โดดเด่นแม้แต่น้อย ดูไม่สดใสเท่ากับผีเสื้อและดอกไม้ของซูหว่านเลย คนทั่วไปไม่ว่าใครก็คงจะเห็นว่าดอกไม้มีความงดงามมากกว่าโครงกระดูก

ภาพวาดของซูหว่านก็แทบจะดำเนินมาถึงในขั้นตอนสุดท้ายแล้วเช่นกัน ซูหว่านวาดภาพดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานออกมาและผีเสื้อที่โบยบินอยู่ด้านบน ภาพวาดของนางดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก มองไปคิดว่าผีเสื้อจะบินออกมาจากภาพวาดนั้น

การวาดภาพของซูหว่านทำได้ดีกว่ากันเขียนตัวอักษรมากมายนัก หากมองในด้านของทักษะการวาดภาพเฟิ่งชิงเฉินคงจะแพ้อย่างแน่นอน

ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินวาดภาพนี้เสร็จแล้วและกำลังจะบอกต่อกันไป ก็พบว่าเฟิ่งชิงเฉินหยิบดินสอและไม้บรรทัดอีกอันหนึ่งขึ้นมา

“เฟิ่งชิงเฉินเจ้าจะทำสิ่งใด? แม้พวกข้าจะไม่ใช่หมอแต่ก็พอจะมองออกว่าโครงกระดูกมนุษย์นี้สมบูรณ์แบบแล้ว” กรรมการทั้งสามคนจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยไม่เข้าใจในการกระทำของเฟิ่งชิงเฉิน และไม่รู้จักเฟิ่งชิงเฉินเพียงพอ พวกเขาจึงเป็นกังวลสับสนว่าเฟิ่งชิงเฉินจะทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ขึ้น

ทันใดนั้นเอง คุณชายหยวนซีก็ได้แสดงประโยชน์ของตนเองออกมาว่า “หากข้าเดาไม่ผิดละก็ เฟิ่งชิงเฉินคงจะต้องการทำเครื่องหมาย” เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินวาดโครงกระดูกของมนุษย์ ดังนั้นนางจึงไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความงามทางด้านของศิลปะ

หากว่าสนใจและใส่ใจด้านความงาม นางก็คงไม่วาดในสิ่งที่น่ากลัวเช่นนี้ออกมาหรอก หากว่ามองภาพวาดของเฟิ่งชิงเฉินเป็นเพียงแค่ภาพวาดธรรมดา แน่นอนว่ามันคงเป็นเพียงแค่โครงกระดูก ไม่ได้มีความงามแม้แต่นิดเดียว ในทางกลับกันทำให้คนมองรู้สึกหวาดกลัว

คุณชายหยวนซีค่อนข้างรู้จักเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างดี เมื่อคำพูดของคุณชายหยวนซีกล่าวจบ เฟิ่งชิงเฉินก็ใช้ไม้บรรทัดวางลงแล้ววาดเส้นออกมา นางทำเครื่องหมายจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง

ฝั่งซ้ายประกอบไปด้วย กระหม่อม กระดูกจมูก ขมับ ขากรรไกรล่าง กระดูกไหปลาร้า กระดูกสะบัก กระดูกต้นแขน กระดูกอ่อนซี่โครง สะโพก ก้นกบ กระดูกต้นขา กระดูกหน้าแข้ง

ด้านขวาประกอบด้วย กระดูกหน้าผาก โหนกแก้ม กระดูกสันคอ กระดูกสันอก ซี่โครง กระดูกสันหลัง กระดูกเอว กระดูกนิ้ว กระดูกฝ่ามือ กระดูกฝ่าเท้า กระดูกข้อต่อ

ตัวอักษรของเฟิ่งชิงเฉินที่เขียนออกมาไม่น่ามองนัก แต่นางเขียนด้วยดินสอถ่านขนาดเล็ก ตัวอักษรสี่เหลี่ยมช่างเหมือนกับถูกพิมพ์ออกมา แม้จะเล็กแต่ก็มองเห็นได้ชัดเจน

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินทำสัญลักษณ์ที่เครื่องหมายกระดูกทุกชิ้นเรียบร้อยแล้ว ภาพนี้ก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความงดงาม มันเป็นภาพวาดที่ใช้สำหรับการสอนโดยแท้จริง องค์รัชทายาทได้รับรูปภาพโครงกระดูกของเฟิ่งชิงเฉินมาดูเป็นคนแรก หลังจากที่เขารู้สึกประหลาดใจแล้วก็อึดอัดใจ เนื่องจากเขาไม่อาจจะกล่าวชมภาพของเฟิ่งชิงเฉินได้เลย

ท้ายที่สุดแล้วจึงกล่าวได้เพียงว่า “ทักษะการใช้ถ่านในการวาดรูปของเฟิ่งชิงเฉินไม่ธรรมดา สามารถวาดโครงสร้างกระดูกของมนุษย์ได้เหมือนจริงทุกประการ เมื่อมองไปยังกระดูกสีขาวซึ่งอยู่บนกระดาษนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนว่าโครงกระดูกกำลังจะก้าวออกมาจากกระดาษจริงๆ”

“ขอบพระทัยเพคะสำหรับคำชม” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกเจียมเนื้อเจียมตนแม้แต่น้อย นางตอบอย่างตรงไปตรงมาและน้อมรับคำชม บอกตามตรงว่าไม่อาจจะรู้สึกรังเกียจนางได้เลย

จากนั้นภาพวาดก็ถูกส่งต่อไปให้ซีหลิงเทียนเหล่ย “เนื้อหาของภาพวาดไม่เลวเลย แต่การแข่งขันในวันนี้คือการประลองวาดภาพไม่ใช่เกี่ยวกับทางการแพทย์ ภาพวาดของคุณหนูเฟิ่งดูแข็งทื่อเกินไป การเลือกภาพวาดค่อนข้างที่จะมืดมน ข้าไม่ชื่นชอบนัก”

แท้จริงแล้วซีหลิงเทียนเหล่ยกล่าวได้ถูกต้อง ภาพวาดของเฟิ่งชิงเฉินภาพนี้ช่างเหมือนจริงเหลือเกิน หากว่าในยามค่ำคืนมาพบเข้าคงจะทำให้ตกอกตกใจกันทีเดียว

“แต่ละคนมีความชื่นชอบที่แตกต่างกัน การที่องค์รัชทายาทเหล่ยไม่ชื่นชอบก็เป็นเรื่องปกติ และชิงเฉินเข้าใจมันได้” เมื่อถูกชมยืดอกยอมรับ เมื่อถูกตำหนิก็ต้องยอมรับเช่นกัน นี่คือเฟิ่งชิงเฉิน นางไม่ได้ตั้งใจจะแก้ตัวเพื่อตนเองแม้แต่น้อย นางยอมรับด้วยความชัดเจนและหยิ่งผยอง

เหยียนหล่าวและคุณชายหยวนซี อีกทั้งจิตรกรทั้งสามแห่งสำนักศึกษาจี้เซี่ยพากันพยักหน้า แววตาของทุกคนเผยถึงความชื่นชม นางอายุเพียงเท่านี้ก็สามารถยืดอกยอมรับคำชมได้อย่างไม่อายผู้ใด เฟิ่งชิงเฉินช่างยอดเยี่ยมและมีอนาคตไกลจริงๆ

เมื่อภาพวาดนี้ไปอยู่ในมือของเหยียนหล่าว เขาก็ได้พิจารณาทุกรายละเอียดและทุกตัวอักษร มองไปมองมาอยู่หลายหน เดิมทีเฟิ่งชิงเฉินก็ว่าได้อย่างชัดเจนและเหมือนจริง เมื่อนางเขียนตัวอักษรกำกับลงไปจึงทำให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ต่อให้เป็นเขาที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับด้านนี้ เมื่อมองไปก็ชัดเจนยิ่งนักถึงตำแหน่งของกระดูกแต่ละส่วน

หากมองจากระยะไกลก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจ แต่เมื่อมองในระยะใกล้กลับพบว่าภาพวาดนี้ของเฟิ่งชิงเฉินไม่ธรรมดา ภาพวาดนี้ไม่อาจใช้สายตาในการพิจารณาภาพวาดทั่วไปมามองได้ หากว่าใช้สายตาเช่นนั้นในการมองคงจะลดราคามันมากทีเดียว

“เฟิ่งชิงเฉิน สิ่งที่เจ้าวาดนั้นคือโครงกระดูก เจ้าวาดออกมาตามขนาดของร่างกายมนุษย์หรือ?” เหยียนหล่าวจำได้ว่าตอนที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังวาดนั้นนางใช้ไม้บรรทัดวัดตลอดเวลา ไม่รู้ว่ากำลังคำนวณสิ่งใดอยู่

เฟิ่งชิงเฉินดวงตาเบิกกว้างเป็นประกาย นางรู้ว่ามีนักปราชญ์จำนวนมากมายในที่นี้ แต่คิดไม่ถึงว่าท่านเหยียนหล่าวจะมองออกได้ภายในพริบตาเดียว เฟิ่งชิงเฉินจึงพยักหน้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้นว่า “ท่านเหยียนหล่าวฉลาดยิ่งนัก”

ความตื่นเต้นดีใจจะมีเฉพาะต่อคนที่เข้าใจจึงสัมผัสได้ สิ่งนี้เรียกว่าเจอผู้ที่รู้ใจ มีเพียงคนที่เข้าใจนางเท่านั้นจึงจะทำให้นางจิตใจสั่นไหวได้

“ฮ่าๆๆ นั่นเป็นเพราะว่าชิงเฉินวาดมันออกมาได้ดี ข้าเองโชคดียิ่งนัก ข้าเคยได้เห็นภาพวาดโครงกระดูกมนุษย์จากสหายอาวุโสท่านหนึ่ง แต่ค่อนข้างจะคลุมเครือ ไม่เหมือนกับภาพวาดของชิงเฉินที่ชัดเจนและเสมือนจริงเช่นนี้” รอยยิ้มบนใบหน้าของเหยียนหล่าวที่ดูค่อนข้างถ่อมตน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในสนามเข้าใจได้ว่าเขารู้สึกภาพภูมิใจที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าวว่าเขาพูดถูก

หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินแทบจะหยุดเต้น เหตุใดนางจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียได้ ในสมัยนี้คนที่ตายไปแล้วเป็นใหญ่ ตามปกติต่อให้เป็นหมอก็ไม่อาจหาร่างกายสมบูรณ์ได้

ต่อให้มีศพที่สมบูรณ์นำมาให้แก่หมอก็คงไม่มีหมอคนใดที่กล้าจะผ่ากระดูกของศพออกดู ต่อให้ผ่าดูก็เห็นได้ไม่ชัดเจน โดยมากผู้คนที่ตายไปแล้วก็จะถูกฝัง เมื่อถูกฝังไปก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะขุดศพขึ้นมาแล้วนำไปวาด

การที่นางวาดภาพโครงสร้างกระดูกของมนุษย์อย่างละเอียดอ่อนนี้ดูผิดปกติเล็กน้อย หากว่ามีคนเอ่ยถามถึงที่มาของภาพวาดนี้คาดว่านางอาจจะตอบได้ยาก ดีไม่ดีอาจจะมีคนกล่าวถึงเรื่องที่ซุนเจิ้งเต้ามอบศพหนึ่งให้แก่นางในการฝึกฝนออกมาก็ย่อมได้

เพื่อเป็นการป้องกัน เฟิ่งชิงเฉินจึงเอ่ยอธิบายขึ้นอีกว่า “ขอขอบคุณคำชมของเหยียนหล่าว แต่การที่ข้าสามารถวาดภาพโครงกระดูกออกมาได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้นั่นก็เป็นเพราะมีอาจารย์คอยสั่งสอน”

ตอนที่ศึกษาอยู่นั้นอาจารย์ต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินทำความคุ้นเคยกับจุดฝังเข็ม กระดูกและตำแหน่งของอวัยวะต่างๆ ภายในเวลาหนึ่งเดือน

เฟิ่งชิงเฉินค่อนข้างจะโง่เง่า ทำอย่างไรนางก็จำไม่ได้ เมื่อเห็นว่าอาจารย์ได้เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และไม่มีวิธีใดอื่นแล้วจึงทำได้เพียงรีบวาดมันลงมาแล้วนำไปท่องจำ ต่อมาในอนาคตเมื่อนางวาดบ่อยขึ้นและพบคนไข้มากขึ้น นางจึงมีความเข้าใจเรื่องของโครงกระดูกมากขึ้น ยามวาดจึงคล่องมือยิ่งนัก

ก่อนหน้านี้นางเพียงวาดไว้ดูเอง ซึ่งวาดเพียงแค่ไม่กี่ขีดคร่าวๆ เนื่องจากว่านางดูเองเข้าใจเองเป็นพอ นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิ่งชิงเฉินวาดภาพออกมาอย่างละเอียดอ่อน เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ทำท่าทางเขินอาย ดูเหมือนเป็นสตรีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

“ชิงเฉินมีอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมทีเดียว” แววตาของเหยียนหล่าวฉายแววเป็นประกายอย่างมีสติปัญญา เขาส่งภาพวาดไปให้แก่คุณชายหยวนซีแล้วแอบชมอยู่ในใจว่า ช่างเป็นสตรีที่ฉลาดเหลือเกิน เขาเพียงแค่เอ่ยถามอย่างอ้อมค้อม แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับเข้าใจได้ภายในพริบตาเดียวถึงความหมายของเขา

หลังจากที่คุณชายหยวนซีได้รับภาพไปแล้วก็ไม่ได้ทำการพิจารณาอย่างละเอียดดุจเช่นเหยียนหล่าว และไม่ได้ดูลวกๆ เช่นองค์รัชทายาทและซีหลิงเทียนเหล่ย หลังจากที่เขาพิจารณาดูมันจบแล้วก็ได้กล่าวขึ้นว่า “ชิงเฉิน ภาพที่เจ้าวาดออกมานั้นดียิ่งนัก แต่หากว่าใช้สำหรับการประลองวาดรูปคงจะไม่มีโอกาสชนะ เจ้าเข้าใจหรือไม่”

“ขอบพระคุณคุณชายหยวนซีที่ชี้แนะ” เฟิ่งชิงเฉินแอบพึมพำอยู่ในใจประโยคหนึ่ง คิดว่านางเต็มใจอยากจะแข่งหรือ?

“ในเมื่อเข้าใจแล้วเหตุใดเจ้ายังใช้ภาพวาดนี้มาแข่งขันเล่า?” นี่คือสิ่งที่หยวนซีไม่เข้าใจเลย เฟิ่งชิงเฉินใช้สีดำ สีขาวและสีเทาในการวาดภาพออกมาได้เป็นอย่างดี หากนางใช้ทั้งสามสีนี้วาดภาพอื่นคงจะโดดเด่นอย่างแน่นอน……