บทที่ 468 ตะลึง รีบเชิญหมอหลวง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 468 ตะลึง รีบเชิญหมอหลวง
เมื่อพบว่าเฟิ่งชิงเฉินเริ่มลงมือวาดภาพแล้ว ซูหว่านเองก็ไม่กล้าจะรีรอเสียเวลาอีกต่อไป นางละสายตากลับมาหายใจเข้าลึกเพื่อให้จิตใจสงบลง

จนกระทั่งซูหว่านแน่ใจว่าตนสงบอารมณ์ลงได้แล้ว และจะไม่ได้รับผลกระทบจากเฟิ่งชิงเฉินอีกจึงเริ่มลงมือจัดเตรียมสี

สีที่ซูหว่านจัดเตรียมเอาไว้ค่อนข้างหลากหลาย โดยมากล้วนเป็นสีที่ใช้ในพระราชวัง สายตาจากจิตรกรทั้งสามของสำนักศึกษาจี้เซี่ยจับจ้องไปที่สีของซูหว่านเป็นเวลานานทีเดียว

สีที่ซูหว่านนำมาใช้ส่วนมากเป็นสีแดงและสีเขียว รวมทั้งพู่กันบนโต๊ะของซูหว่าน ต่อให้ซูหว่านไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา กรรมการทั้งเจ็ดคนก็พอจะเดาได้ว่าซูหว่านน่าจะวาดภาพเกี่ยวกับดอกไม้

ในเมื่อทุกคนเดาออกก็ไม่อยากจะเสียเวลาไปพิจารณามากนัก สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉิน เนื่องจากว่าสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังวาดนั้นทำให้คนดูไม่อาจคาดเดาได้เลย

ครึ่งหนึ่งของร่างกายเฟิ่งชิงเฉินเรียกได้ว่านอนอยู่บนโต๊ะและกำลังถือดินสอถ่านในมือ ก่อนจะวาดเส้นเป็นเส้นเส้นโค้งเล็กน้อยลงไปบนกระดาษสีขาว บางที่สว่างบางที่มืด บางที่หนาบางที่เบา บางที่สั้นบางที่ยาว และมีการเว้นระยะห่าง เฟิ่งชิงเฉินใช้ไม้บรรทัดในการวัดบ้างเป็นครั้งคราว มองดูแล้วเหมือนเป็น ใบไม้ขยายใหญ่ แต่เมื่อมองอีกทีก็พบว่าเหมือนจะไม่ใช่

กรรมการผู้ตัดสินทั้งเจ็ดคนพากันมองหน้ากันไปมา ในใจของพวกเขารู้สึกร้อนรน อยากจะรู้เสียจริงว่าเฟิ่งชิงเฉินวาดรูปใดออกมากันแน่ แววตาอันเร่าร้อนของกรรมการทั้งเจ็ดจับจ้องไปที่กระดาษของเฟิ่งชิงเฉิน ดูเหมือนกับว่ามันจะสามารถผลิดอกออกผลได้ และอยากจะให้เฟิ่งชิงเฉินวาดให้เสร็จภายในชั่วพริบตา เนื่องจากเป็นเช่นนี้ทำให้พวกเขาอึดอัดใจยิ่งนัก

โชคดีเหลือเกินที่เฟิ่งชิงเฉินค่อนข้างมีความสงบเพียงพอ หรือบางทีอาจกล่าวได้ว่าบัดนี้นางอยู่ในสภาวะเฉกเช่นตอนทำงาน ไม่มีเวลาจะไปสนใจว่าคนอื่นคิดเช่นไร ใช่แล้ว “ทำงาน” เฟิ่งชิงเฉินกำลังวาดภาพ แต่ที่จริงดูเหมือนนางกำลังทำการบ้านที่ครูสอนพิเศษมอบหมายให้นางในชาติที่แล้ว

ในตอนนั้นเพื่อทำงานนี้ให้เสร็จ เฟิ่งชิงเฉินต้องอดทนกับความยากลำบากมากมายทีเดียว นางวาดรูปหลายร้อยรูปในที่สุดก็เข้าตาอาจารย์

บนโต๊ะของเฟิ่งชิงเฉินยังมีกระดาษแผ่นเล็กๆ มากมาย ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินว่าทุกหนึ่งเส้นลงไปนางก็จะทำการจดบันทึกเอาไว้ เนื่องจากระยะห่างไกลเกินไป ต่อให้กรรมการทั้งเจ็ดคนยืดศีรษะออกไปก็มองไม่ชัดเจน แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่ยืดศีรษะออกไปเพื่อทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้น

เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง องค์รัชทายาทกับเหยียนหล่าวดื่มน้ำชาหมดไปสามกา ดอกไม้และผีเสื้อของซูหว่านก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้เลยว่านางวาดสิ่งใด ดูเหมือนจะเป็นคนแต่ก็ค่อนข้างคลุมเครือ ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างบอบบางกว่า

หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินวาดเส้นแนวนอนแนวตั้งเหล่านี้แล้วก็ได้ใช้ดินสอถ่านกับผ้าชิ้นเล็กๆ มาเช็ดลงไปบนกระดาษ สีของดินสอถูกทำให้มีความแตกต่าง ดูเหมือนสิ่งที่อยู่บนกระดาษของเฟิ่งชิงเฉินจะสามารถลุกขึ้นยืนได้ ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินว่าส่วนแรกเสร็จแล้ว คุณชายหยวนซีก็ได้กระซิบขึ้นทันทีว่า “กระดูกหรือ?”

“เป็นกระดูกจริงด้วย มองไปเหมือนกระดูกมนุษย์ทุกประการ!” คุณชายหยวนซีกล่าวขึ้นมาและดึงดูดบทสนทนาของทุกคน ยังดีที่ทุกคนซึ่งอยู่ตรงนั้นได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างดีจึงไม่มีผู้ใดส่งเสียงดัง แต่ละคนพากันกระซิบกระซาบกับผู้ที่อยู่ข้างกายของตน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้ที่กำลังวาดภาพ

องค์รัชทายาทช่างน่าสงสารเหลือเกิน ฝั่งซ้ายของเขาคือซีหลิงเทียนเหล่ย ด้านขวาคือเหยียนหล่าว เขาและซีหลิงเทียนเหล่ยนั้นไม่มีสิ่งใดที่ต้องกล่าวต่อกัน ส่วนเหยียนหล่าวน่ะหรือ?

องค์รัชทายาทเหลือบมองดูเหยียนหล่าวก่อนจะต้องรีบละสายตากลับคืนมา เขาเห็นใบหน้าอันตื่นเต้นเมื่อมองไปยังภาพวาดของเฟิ่งชิงเฉิน คาดว่าภาพวาดของเฟิ่งชิงเฉินนี่คงจะมีคุณค่าอย่างแน่นอน

คำวิจารณ์ที่กรรมการทั้งเจ็ดคนกล่าวออกมา เฟิ่งชิงเฉินก็ได้ยินเช่นกัน นางเพียงแค่ยิ้มขึ้นแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด ได้แต่พยายามวาดภาพของตนเองต่อไป

สิ่งที่นางต้องการเจาะวาดคือภาพโครงสร้างกระดูกมนุษย์ แต่นี่นับว่าเป็นภาพร่างที่ใหญ่มาก โชคดีเหลือเกินที่ในตอนนั้นนางเคยวาดมันมาก่อนและวาดได้ค่อนข้างชำนาญ ส่วนเรื่องของขนาดและตำแหน่งของกระดูกนั้นนางจำได้อย่างชัดเจน แต่เพื่อที่ต้องการจะรับชัยชนะ เฟิ่งชิงเฉินจึงใช้สีขาวและสีดำในการลงสีเพื่อให้ความรู้สึกเสมือนจริง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เสียเวลาค่อนข้างมาก

“ฝ่าบาท เฟิ่งชิงเฉินกำลังวาดโครงสร้างกระดูกของมนุษย์ กระหม่อมแนะนำว่าควรจะไปเชิญหมอหลวงที่มีความชำนาญด้านกระดูกมาที่นี่ เนื่องจากพวกเราสามารถตัดสินได้ว่าภาพวาดของเฟิ่งชิงเฉินนั้นสวยงามหรือไม่ แต่ไม่อาจกล่าวได้ว่านางว่าตำแหน่งใดถูกหรือไม่”

เหยียนหล่าวไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในด้านฉิน หมากรุกและการเขียนตัวอักษรจีนเท่านั้น แต่ยังมีความเชี่ยวชาญในด้านอื่นๆ อีกไม่น้อย ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินวาดภาพโครงกระดูกนี้ออกมา เขาก็เข้าใจถึงคุณค่าในงานนี้ทันที

ภาพวาดของเฟิ่งชิงเฉินนี้ไม่ได้เอาไว้ชื่นชมแต่มีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้คน มีข่าวลือกันอย่างกว้างขวางว่าทักษะด้านการรักษาผู้คนของเฟิ่งชิงเฉินนั้นยอดเยี่ยม บัดนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง อย่างอื่นไม่ต้องกล่าวถึง เพียงแค่ภาพวาดภาพนี้สำหรับหมอแล้วต่อให้มีเงินก็ยากที่จะได้มา นับว่ามีค่ายิ่งนัก

“ท่านเหยียนหล่าวกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าจะสั่งให้คนเข้าไปในพระราชวังและทูลเรื่องนี้ต่อเสด็จพ่อ” องค์รัชทายาทหยิบตราประทับของตนออกมาแล้วยื่นไปให้ขันทีซึ่งอยู่ด้านหลัง สั่งให้เข้าไปในพระราชวังนำเรื่องราวเหล่านี้ทูลแด่องค์จักรพรรดิ ส่วนองค์จักรพรรดิจะรับฟังหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขา

ในขณะเดียวกัน องค์รัชทายาทก็ได้ทำการกระซิบกระซาบว่าให้เดินทางไปยังจวนของเสด็จอาเก้าแล้วรายงานเรื่องนี้ด้วย เพื่อไม่ให้เสด็จอาเก้าเป็นห่วงกังวลเฟิ่งชิงเฉิน

ขันทีรับตราประทับนั้นไปและรีบออกไปข้างนอกด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเรียกทหารรักษาพระองค์ขององค์รัชทายาทมา สั่งให้คนหนึ่งเดินทางไปยังจวนอ๋องเก้า และอีกคนหนึ่งคุ้มกันเขาเข้าไปในพระราชวัง

“ฮี้!” …… เสียงควบม้าออกไปด้วยความรวดเร็ว มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่านี่คือขันทีและองครักษ์จากสำนักบัณฑิต เมื่อเห็นขันทีและราชองครักษ์มุ่งหน้าไปทางพระราชวัง ทุกคนก็พากันคาดเดาว่าเกิดปัญหาขึ้นกับการแข่งขันใช่หรือไม่

ผู้คนที่ให้ความสำคัญจับจ้องไปที่การแข่งขันในวันนี้มีไม่น้อย แต่เนื่องด้วยภายนอกสำนักบัณฑิตมีทหารป้องกันแน่นหนาทั้งภายในและภายนอกอยู่ถึงสามชั้น จึงไม่อาจที่จะเข้าไปได้ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีข้อมูลไหลรั่วออกมา

คนที่อยู่ภายนอกร้อนรนใจยิ่งนัก เนื่องจากไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นจึงได้พากันคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าด้านในคงจะเกิดเรื่องราวอันน่าประหลาดใจขึ้นอย่างแน่นอนไม่อย่างนั้นเรื่องนี้จะไปรบกวนองค์จักรพรรดิได้เช่นไร

เมื่อเห็นหมอหลวงเดินทางออกมาจากพระราชวัง เรื่องราวนี้ซึ่งได้ถูกกล่าวขานกันออกไปว่าเฟิ่งชิงเฉินกับซูหว่านทำการแข่งขันกัน และมีการต่อสู้ระหว่างนั้นทำให้องค์รัชทายาทได้รับบาดเจ็บเป็นต้น

เสด็จอาเก้าอยู่ในจวนของเขา เมื่อได้รับข่าวสารจากคนที่เดินทางมาส่งข่าว ใบหน้าอันขาวซีดก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ช่างเป็นคนที่อยู่ไม่สงบเอาเสียจริง เจ้าต้องการที่จะทำให้ตงหลิงต้องพลิกแผ่นดินจึงจะพอใจหรือ?”

เสด็จอาเก้าไม่ปกปิดความรู้สึกชื่นชอบที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉินแม้แต่น้อย ริมฝีปากของเขาเผยอยิ้มขึ้น คิ้วของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวของเฟิ่งชิงเฉิน

ผู้ที่เข้ามารายงานเงยหน้ามองและพบว่าเสด็จอาเก้ากำลังยิ้ม วินาทีนั้นสติก็แทบหลุดลอย ใบหน้าของเขาตกตะลึงจับจ้องมองไปที่เสด็จอาเก้า

เสด็จอาเก้าช่างงดงามยิ่งนัก น่ามองเหลือเกิน องครักษ์ผู้นั้นมองไปด้วยท่าทางหมกมุ่นแววตาเป็นประกาย

หากเป็นตามปกติ คาดว่าเสร็จอาเก้าคงจะทำการลงโทษอีกฝ่ายอย่างแน่นอน แต่วันนี้เขาอารมณ์ดีจึงทำเพียงแค่ส่งสัญญาณโบกมือให้ออกไปเท่านั้น

“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์คู่นั้นดูเหมือนจะยังไม่ตื่นขึ้นจากรอยยิ้มของเสด็จอาเก้า ราวกับว่าขาของเขาเหยียบไปบนก้อนเมฆอันเบาหวิวแล้วเดินไปด้วยท่าทางล่องลอย

จนกระทั่งเดินออกมาถึงปากประตูจวนอ๋องเก้า องครักษ์คนนั้นยังคงจมอยู่ในรอยยิ้มของเสด็จอาเก้าเมื่อสักครู่ ในใจของเขาได้แต่นึกไปว่าผู้ใดกันที่กล่าวว่าเสด็จอาเก้าเป็นคนเยือกเย็นไร้ความปราณีและรอยยิ้ม ล้วนเป็นคำโกหกทั้งสิ้น เสด็จอาเก้าดูใจดีเข้าถึงง่าย เมื่อยามที่เสด็จอาเก้ายิ้มขึ้นนั้นราวกับสามารถละลายหิมะในฤดูหนาว โลกทั้งใบกลับคืนสู่ฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง จนทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้เลย……

เฟิ่งชิงเฉินได้แต่พยายามวาดภาพจนสุดหัวใจนางไม่รู้เลยว่าที่ด้านนอกผู้คนมากมายกำลังตื่นตระหนกเพราะหมอหลวงที่เดินทางมาด้วยภาพของตนนี้ ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินวาดขีดสุดท้ายออกมา นางมองยังโครงกระดูกที่วาดอยู่บนกระดาษซึ่งเป็นขนาดจริงของมนุษย์ จากนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

ในความคิดเห็นของนางแล้วถึงแม้งานนี้จะไม่ได้คล้ายของจริงไปทุกประการแต่ก็นับว่าเหมือนมากถึงก้าวสิบเปอร์เซ็นต์ หากหักลบทักษะการวาดภาพนี้ออกไป รูปนี้แทบจะไม่มีตำหนิเลย ……

คิดไม่ถึงว่าในครานั้นที่นางเคยพยายามอย่างสุดความสามารถจะนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง เฟิ่งชิงเฉินก้มหน้าลงแล้วยิ้มขึ้นเล็กน้อย หากว่าอาจารย์ของนางรู้เรื่องนี้เข้าละก็คงจะแอบชมว่านางเก่งกาจยิ่งนัก

ในตอนนั้นเขายืนยันความคิดว่าการให้นักเรียนวาดภาพโครงกระดูกเป็นการตัดสินใจที่เฉลียวฉลาด ต่อให้นักเรียนของเขาทุกคนจะพากันบ่นว่าการวาดภาพโครงกระดูกเป็นเรื่องที่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่เขาก็ยืนกรานที่จะให้นักเรียนทุกคนทำมันได้ เนื่องจากว่านี่เป็นทักษะพื้นฐานของหมอ