“คะ?” มายมิ้นท์งง
เธอไม่ดีตรงไหน?
คุณป้ายิ้มอีกครั้ง “คู่รักหนุ่มสาวทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ แต่ก็อย่ารุนแรงจนเกินไป อีกอย่างฉันว่าท่าทีของเจ้าหนุ่มคนนี้ก็จริงใจมากเลยนะ ซื้ออาหารเช้าให้เธอด้วย เธอให้อภัยเขาเถอะ ผู้ชายที่เอาใจแฟนสมัยนี้หายากแล้ว เธอไม่หวงแหนเอาไว้จะเสียใจไปตลอดชีวิตนะ”
“ไม่ใช่นะคะ คุณป้า ฉัน……”
ติ๊ง ลิฟต์ถึงแล้ว!
คุณป้าตบบ่ามายมิ้นท์ ตัดคำพูดเธอ “สาวน้อย ลองคิดคำพูดฉันให้ดี”
พูดจบ คุณป้าก็มองไปทางเปปเปอร์อีกครั้ง “แล้วก็เจ้าหนุ่ม ต่อไปก็อย่าทำให้แฟนโกรธอีก ได้คบกันน่ะมันคือโชคชะตา ต้องหวงแหนมันเอาไว้ให้ดี”
“ครับ ผมจะจำไว้ ขอบคุณมากครับ” เปปเปอร์พยักหน้าเล็กน้อยแสดงความขอบคุณ
ในอดีตเขาไม่เคยหวงแหนมายมิ้นท์ ต่อไปในอนาคตเขาจะเห็นเธอสำคัญอันดับหนึ่ง
คุณป้าเห็นเปปเปอร์ฟังคำพูดตัวเอง จึงควงแขนคุณลุงข้างกาย หัวเราะชอบใจเดินออกจากลิฟต์
มายมิ้นท์ยังไม่ถึงชั้นที่กด ก็ยังไม่ได้ออกไป
เธอเกาผม พูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “นี่มันเรื่องอะไรกันฮะ เปปเปอร์ คุณมันหน้าหนาจริงๆ คุณป้าคิดว่าเราเป็นคู่รักกัน คุณยังกล้ายอมรับอีกนะ!”
เปปเปอร์กดปุ่มปิดประตู “แค่ไม่อยากให้ผู้ใหญ่รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดแล้วกระอักกระอ่วนเกินไปก็แค่นั้น”
“คุณอย่ามา!” มายมิ้นท์จ้องเขา “คุณเห็นแก่ตัวแท้ๆ”
เปปเปอร์เลิกปลายคิ้วขึ้น ยอมรับโดยปริยาย
มายมิ้นท์ขมวดคิ้ว ใจเย็นลงนิดหน่อย “ช่างเถอะ คราวนี้ฉันไม่เอาเรื่องคุณ แต่ถ้ามีคราวหน้า เปปเปอร์ ฉันไม่ปล่อยไปแบบนี้เด็ดขาด”
เธอมองเขาอย่างเย็นชา
เปปเปอร์เจ็บปวดใจ ผลุบเปลือกตาลง ซ่อนความหดหู่ในแววตาแล้วตอบอืม “โอเค แล้วอาหารเช้า……”
“ไม่เอา!” มายมิ้นท์ทิ้งไว้สองคำเรียบๆ จากนั้นก็ไม่มองเขา เดินออกไปจากลิฟต์ เดินไปตำแหน่งที่ตัวเองจอดรถ
เปปเปอร์ถืออาหารเช้าเดินตามไปเช่นกัน
มายมิ้นท์ได้ยินฝีเท้าด้านหลัง ก็ไม่สนใจ หยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าแล้วกดมัน เปิดประตูรถ จากนั้นก็ขึ้นรถไปขับออกไปทันที
เปปเปอร์ยืนอยู่ที่เดิมมองเธอจากไป ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อย
ไม่ไกลออกไปผู้ช่วยเหมันตร์ที่มารับเปปเปอร์เห็นฉากทั้งหมดนี้ ก็ส่ายหน้าอย่างปลงๆ ถอนหายใจออกมา
ดูเหมือนเส้นทางจีบภรรยาของประธานเปปเปอร์ ยังอีกยาวไกลล่ะนะ!
……
ณ เทนเดอร์กรุ๊ป
มายมิ้นท์กำลังจัดการกองเอกสาร เลขาซินดี้เคาะประตูเข้ามา “ประธานมายมิ้นท์ บริษัทตระกูลมหาเอกรัตนามาที่นี่ค่ะ”
“ตระกูลมหาเอกรัตนา?” มายมิ้นท์เลิกคิ้ว
เลขาซินดี้พยักหน้า “ใช่ค่ะ ผู้ที่มาคือประธานบริษัทตระกูลมหาเอกรัตนา”
“มาเพราะเรื่องขนมผิงล่ะมั้ง” มายมิ้นท์ยกมุมปากเยาะเย้ย
“ใช่ค่ะ บอกว่ามาขอโทษคุณเพราะเรื่องขนมผิง” เลขาซินดี้ตอบ
มายมิ้นท์ทำเสียงเชอะ “คำขอโทษที่ไม่มีแม้แต่การสำนึกผิด คำขอโทษนี้ไม่จริงใจชัดๆ ก็เหมือนกับคราวก่อน”
คราวก่อนคุณนายตระกูลมหาเอกรัตนามาดักเธอที่ประตูศาล ขอโทษเธอ ให้เธอปล่อยขนมผิงไป ก็ไม่สำนึกผิดอะไร
แน่นอนว่า เธอไม่ได้ต้องการความสำนึกผิดนั้นสักนิด แต่ในเมื่อคุณมาขอโทษ แต่ไม่มีการแสดงออกเลย แค่ทำให้รู้สึกไม่จริงใจสักนิด
และคราวนี้ประธานตระกูลมหาเอกรัตนาก็เป็นเช่นนี้
เธอถอนหายใจอย่างไม่มีทางเลือก ประธานตระกูลมหาเอกรัตนากับคุณนายตระกูลมหาเอกรัตนาเป็นสามีภรรยากันจริงๆ นั่นแหละ ครอบครัวเดียวกันก็ต้องเหมือนกัน ไม่แน่คุณนายตระกูลมหาเอกรัตนาอาจจะรู้ว่าเธอจะไม่ปล่อยขนมผิงไป จึงให้ประธานตระกูลมหาเอกรัตนามาหาเธอโดยเฉพาะ
แต่คิดเหรอว่าประธานตระกูลมหาเอกรัตนามาหาแล้วเธอจะปล่อยขนมผิงไป?
เฮอะ ฝันกลางวันจริงๆ เธอไม่ตอบสนองเยี่ยมบุญหรอก ยิ่งไปกว่านั้นเทนเดอร์กรุ๊ปเทียบไม่ได้กับตระกูลมหาเอกรัตนา!
“ประธานมายมิ้นท์ คุณอยากเจอไหมคะ?” เลขาซินดี้มองมายมิ้นท์ขณะถาม
มายมิ้นท์ก้มศีรษะลงไป จัดการเอกสารต่อ ตอบด้วยเสียงเย็นชาไม่แยแส “ไม่เจอ ให้พวกเขากลับไป”
“ได้ค่ะ” ซินดี้พยักหน้า หันตัวเดินออกไป
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดมายมิ้นท์ก็จัดการเอกสารกองนั้นเสร็จ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ ขยับคอและข้อมือที่ปวด
ทันใดนั้น เธอก็เห็นด้านล่างมีรถตู้ไม่กี่คันขับเข้ามาจากที่ไม่ไกล จอดหน้าประตูใหญ่บริษัท
ประตูรถเปิดออก ชายหญิงกลุ่มหนึ่งถือไมโครโฟนและกล้อง พุ่งเข้ามาที่ประตูใหญ่บริษัทเหมือนเป็นบ้า
ท่าทางนั้น ราวกับว่าได้ยินข่าวใหญ่ตะลึงโลกอะไรบางอย่าง ถึงได้ตื่นเต้นขนาดนั้น
มายมิ้นท์ขมวดคิ้วสวย ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้สื่อกลุ่มนี้ตื่นเต้นรีบมาที่เทนเดอร์กรุ๊ป
แต่ในใจเธอ รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมารางๆ
มายมิ้นท์หายใจเข้าลึกๆ ระงับความไม่สบายใจลงไปชั่วคราว จากนั้นก็หันตัวกลับไปที่หน้าโต๊ะทำงาน หยิบโทรศัพท์ตั้งโต๊ะโทรไปที่ห้องทำงานซินดี้
“ประธานมายมิ้นท์ มีรับสั่งอะไรคะ?” เสียงให้ความเคารพของเลขาซินดี้ดังขึ้น
มายมิ้นท์เม้มริมฝีปากแดง “เมื่อกี้ฉันเห็นสื่อกลุ่มหนึ่งมาที่เทนเดอร์กรุ๊ป ตอนนี้อยู่ห้องโถงใหญ่ เธอไปสอบถาม……”
พูดยังไม่ทันจบ โทรศัพท์เธอก็ดังขึ้นมา
มายมิ้นท์เหลือบไปเห็นว่าลาเต้โทรมา ก็คว้าโทรศัพท์มาบอกซินดี้ “เธอรอก่อนแป๊บ”
“ค่ะ” ซินดี้พยักหน้า
มายมิ้นท์วางโทรศัพท์ตั้งโต๊ะ นิ้วเรียวขาวเลื่อนปุ่มรับสาย รับสายลาเต้ “ฮัลโหล เต้”
“มิ้นท์ ที่บริษัทเธอมีสื่อไปเยอะมากเลยใช่ไหม?” เสียงร้อนใจของลาเต้ดังเข้ามาในหูเธอ
นี่มันทำให้ความไม่สบายใจของมายมิ้นท์ก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นมาอีกครั้ง
เธอกำโทรศัพท์แน่นแล้วพยักหน้า “ใช่ มาประมาณยี่สิบกว่าคนได้ เต้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? นายรู้อะไรใช่ไหม?”
ลาเต้พูดด้วยใบหน้าโกรธเคือง “ก็ส้มเปรี้ยวนั่นไม่ใช่หรือไง ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ หล่อนโพสต์ความเคลื่อนไหวหนึ่งในแพลตฟอร์มโซเชียลตัวเอง บอกว่าเธอถูกคนรังแก ซึ่งเป็นแผนของเธอ สื่อพวกนั้นก็เลยมาหาเธอทั้งหมด”
“อะไรนะ?” มายมิ้นท์สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ส้มเปรี้ยวเธอพูดแบบนี้จริงเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันโกรธจะตายอยู่แล้ว ฉันอยากไปฉีกหล่อนเป็นชิ้นๆ ตอนนี้เลย แม่งเอ๊ย ไม่เคยเห็นผู้หญิงหน้าไม่อายขนาดนี้มาก่อน!” ลาเต้สบถด่าเสียงดัง
ผ่านไปสองวินาที เขาก็หายใจเข้าลึกๆ บังคับให้ใจเย็นลง “มิ้นท์ ฉันจะบอกเธอให้นะ เธอห้ามออกมาเด็ดขาด ไม่งั้นสื่อพวกนั้นมันไม่ปล่อยเธอไปแน่”
“ฉันรู้” มายมิ้นท์พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ลาเต้ตอบอืมสองที “รู้แล้วก็ดี แต่เธออยู่เทนเดอร์กรุ๊ปคนเดียวฉันก็ไม่วางใจ ฉันไปอยู่เป็นเพื่อนเธอดีกว่า”
ขณะที่พูด เขาก็กำลังจะวางสาย
มายมิ้นท์รีบห้ามเขา “อย่าดีกว่า นายห้ามมาเด็ดขาด ตอนนี้นายเป็นแฟนฉันในสายตาคนภายนอก ถ้านายปรากฏตัว สื่อพวกนั้นจะต้องจับนายไม่ปล่อยแน่ แล้วก็ตอนนี้บริษัทนายอาจจะมีสื่อไปถึงแล้วก็ได้”
“ประธานลาเต้!” สิ้นเสียงเธอ ก็ได้ยินมีคนเรียกลาเต้จากปลายสาย
ไม่รู้ว่าลาเต้คุยอะไรกับคนคนนั้นบ้าง สิบกว่าวินาทีต่อมาก็มีเสียงอีกครั้ง “มิ้นท์ เธอพูดตรงเผงเลยจริงๆ ใต้บริษัทฉันก็มีสื่อบางส่วนมาแล้วเหมือนกัน”
“ขอโทษนะเต้ ฉันทำให้นายลำบากไปด้วย” มายมิ้นท์ดึงมุมปากอย่างรู้สึกผิด
ลาเต้ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เอาล่ะ ฉันไม่โทษเธอหรอก แต่ฉันอาจจะต้องไปจัดการสื่อพวกนั้นก่อน”
“อืม ไปเถอะ” มายมิ้นท์พยักหน้า
วางสายไป เธอหยิบหูโทรศัพท์ตั้งโต๊ะที่วางไว้เมื่อครู่นี้ขึ้นมา “เลขาซินดี้ ตอนนี้เธอไปดูที่ห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งหน่อย เตรียมรปภ.เพิ่มจำนวนหนึ่ง ขวางสื่อพวกนั้นไว้ ห้ามให้พวกเขาบุกขึ้นมา!”
“ได้ค่ะประธานมายมิ้นท์” ซินดี้ตอบ
มายมิ้นท์วางหูโทรศัพท์กลับไปที่บนโทรศัพท์ตั้งโต๊ะ แล้วขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
เหมือนที่ลาเต้พูดเมื่อครู่นี้ ผู้หญิงอย่างส้มเปรี้ยวหน้าไม่อายเกินไปแล้ว ฟื้นขึ้นมาก็ก่อเรื่องเลย