ตอนที่ 355 เดินทัพ

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 355

เดินทัพ

“ฮ้าๆ จื่อหนิงคราวนี้ข้าไม่แพ้เจ้าแน่”ทู่เทว่หนึ่งในขุนพลของไป๋จูเหวินพูดพลางมองไปขึ้นไปบนท้องฟ้า กองทัพของทู่เยว่เป็นกองทัพที่เร็วที่สุดบนภาคพื้นดิน แต่ก็เป็นเพียงแค่บนพื้นเท่านั้น พวกนางยังแข่งความเร็วกับกองทัพของจื่อหนิงที่เคลื่อนไหวบนท้องฟ้าอยู่บ่อยๆ แม้จะชนะบ้างแพ้บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกนางเป็นกองทัพที่เร็วมากจริงๆ ถึงขนาดนำกองทัพของขุนพลอื่นๆผ่านเมืองหลวงของอาณาจักรเฉินไปก่อนนับชั่วโมง

“นั่นนะเพราะ กองทัพของอาณาจักรไป๋”จักรพรรดิของอาณาจักรเฉินออกมายืนบนกำแพงหน้าเมืองเพื่อดูภาพกองทัพที่บุตรชายตนเองและบุตรสาวสะใภ้หวาดกลัวนักหนา แต่สิ่งที่มันเห็นอยู่ตอนนี้คือฝูงอสูรที่กำลังวิ่งตะบึงไปยังอาณาจักรกู่ด้วยความเร็วที่มนุษย์ไม่น่าจะตามทัน แม้จำนวนจะค่อนข้างน้อยแต่หากมีอสูรจำนวนมากขนาดนี้ละก็ค่อนข้างน่ากลัวทีเดียว

“เปล่าเจ้าค่ะ พวกนางเป็น 2 ขุนพลใน 8 ขุนพลอสูรเท่านั้นเจ้าค่ะ ที่พวกนางนำมาก็มีเพียงกองทัพของพวกนางเท่านั้นเจ้าค่ะ”หลิวมู่เฉินตอบพลางยืนอยู่บนกำแพง ตอนวันประลองชิงตัวขุนพลนางก็เห็นแล้ว ยิ่งเห็นจำนวนของอสูรที่มากมายมหาศาลแบบนี้อีกยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าตนเองทำถูกแล้วที่พยายามให้พ่อสามีเข้ากับไป๋จูเหวิน

“เป็นกองทัพที่รวดเร็วจริงๆ ถ้าบุกโดยไม่ทันตั้งตัวละก็ต้องน่าเกรงขามแน่ๆ”จักรพรรดิเฉินว่าพลางกลืนน้ำลายลงคอ มันพึ่งได้ข่าวว่ากองทัพของอาณาจักรไป๋จะผ่านเมื่อครู่นี้เอง กว่ามันจะออกมาถึงประตูเมืองพวกทู่เยว่กับจื่อหนิงก็ผ่านไปแล้ว หากมันเปิดศึกกับอาณาจักรไป๋กว่ามันจะได้มาถึงหน้ากำแพงก็คงไม่เหลือกำแพงแล้ว แบบนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสั่งการกองทัพเลย แบบนี้มันไม่มีเวลาให้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ

ตึง….ตึง…..หลังจากนั้นอีกพักใหญ่เสียงเท้าหนักๆก็ดังมาจากทางตะวันออก ในที่สุดทัพหลักของอาณาจักรไป๋ก็เดินทางมาเสียที พวกมันไม่ได้รีบเร่งเดินทางชิงความเร็วเหมือนขุนพลทั้งสอง แต่เลือกจะเดินทางเกาะกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่ โดยด้านหน้านำโดยกองทัพของมังกรเขาเดียว พวกมันเต็มไปด้วยอสูรมีเขาที่พร้อมจะพุ่งปะทะทันทีที่สงครามเริ่ม พวกมันเหมือนพลหอกบนหลังม้าเลยทีเดียว ส่วนตรงกลางนั้นเป็นกองทัพของ 8 ขุนพลมนุษย์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมากองทัพมนุษย์พัฒนาขึ้นมาก แม้จะยังเทียบเหล่าทัพอสูรไม่ได้แต่จำนวนยอดฝีมือก็เพิ่มขึ้นและเหล่าทหารกล้าก็มีมากขึ้นจนนับเป็นกองทัพที่น่ากลัวได้ไม่แพ้กัน หากไม่โดนเหล่าอสูรบดบังเสียหน่อยคงจะน่าเกรงขามไม่น้อย

ด้านหลังของกองทัพมนุษย์คือกองทัพของขุนพลกิ้งก่า พวกมันเดินเท้าท่าทางเรียบเฉย แต่อสูรในกองทัพของขุนพลกิ้งก่านั้นเต็มไปด้วยอสูรที่มีความสามารถในการพลางตัว บ้างแนบเนียนไปกับธรรมชาติ บ้างถึงขั้นล่องหนหายตัวไปเหมือนอสูรแมงมุมที่ชิงชิวกลืนแก่นอสูรลงไปไม่มีผิด ในเหล่าขุนพลทั้งหมดผู้ที่ปล่อยจิตสังหารออกมามากที่สุดคงจะเป็นอสูรกิ้งก่าผู้นี้นี่เอง เพราะมันไม่ได้ข่าวจากอสูรแมงมุมเลยตั้งแต่ส่งมันไปช่วยเหลือชิงชิว หากเกิดอะไรขึ้นกับคนของมัน รับรองว่ามันจะฆ่าเจ้าพวกนั้นให้หมด

ถัดจากกองทัพของอสูรกิ้งก่าคือกองทัพใหญ่ของขุนพลอสูรระดับบรรพกาลทั้ง 3 ตนซึ่งพวกมันทำหน้าที่คุมกองทัพอสูรหลาดหลายรูปแบบคอยปกป้องไป๋จูเหวินผู้เป็นจักรพรรดิที่อยู่ด้านหลังกองทัพทั้ง 3 พร้อมๆกับพวกท่านน้าของมัน รวมถึงอสูรปักเป้าและหลินหลินปิงปิงอีกด้วย แม้พวกมันจะนั่งบนหลังหลินหลินอย่างเช่นเคย แต่ต้นเหตุที่เกิดเสียงสะเทือนแผ่นดินคือกองทัพด้านหลังสุดอย่างกองทัพของอสูรเต่า กองทัพของอสูรเต่านั้นเต็มไปด้วยอสูรเกราะหนักที่ทนทานต่อการโจมตี และมีกำลังมหาศาลรุนแรงกันทั้งนั้น แม้จะเคลื่อนไหวช้า แต่การหยุดกองทัพของอสูรเต่าเป็นเรื่องยากมากทีเดียว

“อสูรพวกนั้นแข็งแกร่งขนาดไหนกัน”เมื่อเห็นทัพอสูรเดินทางผ่านเมืองหลวงไป องค์จักรพรรดิก็เอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยท่าทีตกตะลึง

“ข้าเองก็ไม่ทราบทั้งหมดหรอกเจ้าค่ะ”หลิวมู่เฉินว่าพลางถอนหายใจออกมา แม้จะเคยเห็นพลังของเหล่าอสูรที่ลงประลองชิงตำแหน่งขุนพลมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นพวกน้าๆของไป๋จูเหวินหรือขุนพลทั้ง 3 ที่ได้รับตำแหน่งขุนพลโดยไม่ต้องลงประลองแต่อย่างไร

“แต่กองทัพของอาณาจักรหลิวเราพ่ายแพ้เพียงชั่วพริบตาเพราะอสูรปักเป้าตนนั้นเพียงตนเดียวเจ้าค่ะ”หลิวมู่เฉินว่าพลางชี้ไปที่อสูรปักเป้าที่ลอยอยู่เหนือหัวของไป๋จูเหวิน เพราะตอนนี้มันมีขนาดเล็กมากเลยสังเกตไม่ค่อยเห็น

“ตนเดียว…กองทัพของอาณาจักรหลิวน่ะนะ”องค์จักรพรรดิงุนงง แม้จะเป็นมิตรกันถึงขั้นหมั้นหมายบุตรสาวบุตรชายให้แต่งงานในอนาคต แต่ก็เคยมีช่วงเวลาที่หันดาบเข้าหากันมาบ้าง กองทัพของอาณาจักรหลิวเมื่อเทียบกับเฉินแล้วอ่อนแอกว่านิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ห่างชั้นขนาดนั้น

“เข้าค่ะ พวกทหารที่รอดมาได้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน เมื่ออสูรตนั้นโจมตี เพียงครั้งเดียวก็สังหารทหารของเราไปเกือบหมด การรบครั้งนั้นจบเพียงเสี่ยววินาทีเท่านั้นเจ้าค่ะ”หลิวมู่เฉินเล่าออกมาด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน นางไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้คนของอาณาจักรตนเองฟัง เพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าอาย แต่หากทำให้พวกท่านไม่ต่อต้านไป๋จูเหวินได้นางก็จะเล่าออกมา

“มิน่าเล่าเจ้าถึงได้หวั่นใจนัก”จักรพรรดิเฉินกลืนน้ำลายลงคอพลางมองกองทัพอสูรที่กำลังเดินลับตาไป

.

.

การเดินทางด้วยทัพใหญ่กินเวลามากกว่าที่คิด แต่หลังจากผ่านเมืองหลวงของอาณาจักรเฉินมา หลิวเมิ่งที่เป็นคนเสนอให้จัดทัพแสดงแสนยานุภาพให้อาณาจักรเฉินได้ดูก็บอกว่าไม่ต้องเดินทางด้วยม้าแล้ว ให้เหล่ามนุษย์และอสูรของกองทัพอสูรเต่าขึ้นหลังอสูรของทัพอื่นแล้วรีบเร่งเดินทางทันที ทำให้พวกมันใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็มาถึงชายแดนของอาณาจักรเฉินและกู่แล้ว แน่นอนว่าพวกทู่เยว่และจื่อหนิงเดินทางมาถึงก่อนนานแล้ว ทำให้เมืองชายแดนของอาณาจักรกู่รู้ตัวเสียแล้วว่ามีกองทัพมาบุกอาณาจักรของตนเอง และเตรียมเหล่าทหารรอรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“พวกเจารู้หรือไม่ว่ากำลังหันดาบใส่อาณาจักรใด”เมื่อเห็นทัพหลักเดินทางมา เจ้าเมืองชายแดนที่ทำหน้าที่คุมกองทัพก็รีบตะโกนออกไปทันที เพราะกองทัพขนาดนี้พวกมันคงไม่อาจรับมือได้แน่ๆ

“อาณาจักรโจรที่ลักพาตัวคนของเราไปยังไงล่ะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินออกมาแถวหน้าสุด

“เจ้าว่าอะไรนะ”เจ้าเมืองถามพลางเลิกคิ้ว ท่าทางพวกมันจะยังไม่ทราบว่าทำไมอาณาจักรไป๋ถึงยกคนมาบุก

“ไปบอกจักรพรรดิของเจ้า หากไม่ปล่อยตัวคนของเรา พวกเราก็จะไม่เกรงใจ”ไป๋จูเหวินว่าพลางชี้ไปทางตะวันตกที่เมืองหลวงของอาณาจักรกู่ตั้งอยู่

“พวกข้าจะมุ่งตรงไปยังเมืองหลวงของมัน ใครจะหยุดก็เข้ามา แต่เราจะไม่หันหลังกลับจนกว่าจะได้คนของเราคืน”ไป๋จูเหวินพูดจบก็เดินกลับไป ก่อนจะหยุดยืนตรงที่ทู่เยว่กับจื่อหนิงยืนอยู่

“เหลือเจ้าเมืองเอาไว้ แล้วก็อย่าฆ่าชาวเมือง”ไป๋จูเหวินพูดจบก็เดินกลับเข้าไปเช่นเดียวกับเจ้าเมืองของอีกฝ่าย แต่เพียงทันทีที่กลองศึกเริ่มรัวตี กองทัพของทู่เยว่และจื่อหนิงก็เริ่มออกตัวทันที จำนวนทหารของเมืองๆเดียวไม่อาจป้องกันกองทัพได้อยู่แล้ว เพียงแค่กองทัพของทู่เยว่และจื่อหนิงโถมเข้าไปก็จัดการพวกทหารได้จนหมด ก่อนจะตรงเข้ายึดเมืองประกาศชัยชนะในชั่วอึดใจ

“ไปบอกจักรพรรดิของเจ้าซะ”ตามคำสั่งของไป๋จูเหวิน พวกจื่อหนิงไม่มีใครแตะตัวเจ้าเมืองแม้แต่คนเดียว ทำให้สงครามที่จบในพริบตามีเพียงตัวมันเท่านั้นที่ยืนจังก้าอยู่กลางสนามรบ

“ขะ ขอรับ”เจ้าเมืองตอบรับพลางวิ่งกลับเข้าเมืองไปทันที ด้วยกำลังมหาศาลขนาดนี้ไป๋จูเหวินไม่จำเป็นต้องพึ่งแผนการรบใดๆทั้งสิ้น ไม่ต้องยึดเมือง ไม่ต้องตีวงล้อม เพียงแค่บุกตรงๆไปยังเมืองหลวงเท่านั้น

“จื่อหนิง เจ้ายอดเยี่ยมมาก”หลังจากจบการรบแรก ไก่ฟ้าหงอนทองก็ออกมาชื่นชมภรรยาของตนเองทันที

“โถ่ ข้าแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ท่านอย่าชมข้านักเลย”จื่อหนิงว่าพลางยิ้มเขินๆ ไก่ฟ้าหงอนทองโอ๋ไป๋จูเหวินอย่างไรก็โอ๋ภรรยาตัวเองอย่างนั้น มันมักจะชื่นชมจื่อหนิงอยู่เสมอจนนางไม่ชินเสียที

“ไม่หรอกๆ เพราะเจ้านำได้ยอดเยี่ยมต่างหาก”ไก่ฟ้าหงอนทองว่าพลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ ทำเอาจื่อหนิงได้แต่ถอนหายใจ การต่อสู้เมื่อครู่เรียกว่ารังแกอีกฝ่ายยังมากไปเลย ทั้งคนของนางทั้งคนของทู่เยว่แทบจะแย่งกันเล่นกับศัตรูเลยก็ว่าได้ แม้จะไม่ได้พูดออกมาแต่เหล่าขุนพลอสูรทุกตนอยากสร้างผลงานกันไม่น้อย แต่เพราะไม่มีใครกล้าโจมตีอาณาจักรไป๋ ทำให้พวกมันได้แต่ฝึกซ้อมและดูแลความปรอดภัยเท่านั้น การรบครั้งนี้นับว่าเป็นการแสดงฝีมือของพวกขุนพลอสูรเลยก็ว่าได้ หวังว่าอาณาจักรกู่จะทำให้พวกมันได้ผลงานตามที่หวังนะ

.

.

“ฮ้า…”ร่างของชิงชิวนอนแช่อยู่ในน้ำตกอย่างผ่อนคลาย หลังจากเดินทางผ่านป่ามาได้พักใหญ่มันก็ตัดสินใจพักผ่อนระหว่างทางทั้งกินอาหารชำระร่างกายเสียสะอาดสะอ้านดูแล้วผ่อนคลายอย่างมาก

“พวกน้องๆจะเป็นยังไงบ้างน้า”ชิงชิวว่าพลางแผ่หลาลอยตัวบนน้ำอย่างสบายใจ พอว่างๆแล้วมันก็อดคิดถึงน้องๆไม่ได้ เดือนที่ผ่านมามันไม่ได้ทำงานเลย ไม่รู้ว่าเงินจะถูกส่งไปให้แม่เหมือนเดิมหรือเปล่า หวังว่าน้องๆจะแข็งแรงและตั้งใจเรียนนะ

จ๋อม..ชิงชิวปล่อยตัวเองจมลงน้ำพลางนึกถึงเรื่องในวัง ไม่รู้ว่าองค์หญิงจะคิดถึงมันหรือเปล่า มันไม่อยู่แล้วนางทำตัวดีหรือไม่ หรือว่าตอนนี้ท่านกำลังแอบหนีเที่ยวอยู่กันนะ

ซ่า… ชิงชิวขึ้นมาจากน้ำพางเช็ดตัวให้แห้งอยู่ในป่าแบบนี้ก็สบายใจดีหรอก แต่มันก็ต้องรีบกลับอาณาจักรไป๋ให้ไวที่สุด

“……….”ชิงชิวเอื้อมมือไปหยิบชุดที่ทำจากใยแมงมุมของตนมาพลางมองไปที่น้ำตก

“ซักผ้าหน่อยก็แล้วกัน”ชิงชิวพูดจบก็เอาขุดของมันลงไปซักในน้ำตก ดูแล้วสบายใจเสียเหลือเกิน ทั้งๆที่ตอนนี้อาณาจักรไป๋กำลังยกกองทัพบุกอาณาจักรกู่เพราะมันแท้ๆ หากจักรพรรดิอาณาจักรเฉินที่โดนกดดันที่สุดในเหตุการณ์นี้มาเห็นภาพแบบนี้เข้ามันคงอยากมาเขกหัวชิงชิวอย่างแน่นอน