ตอนที่ 227 กระทบกระเทียบ

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

สถานการณ์ตรงหน้าทำให้เฉียวซือมู่ยิ้มค้างเล็กน้อย แต่เธอไม่ตื่นตระหนก ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน เธอไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน เธอเคยร่วมงานประเภทนี้มาไม่น้อย ตอนนี้เธอจึงเผชิญหน้ากับทุกอย่างอย่างสงบเยือกเย็น 

 

 

คริสเสียอีกที่กลายเป็นฝ่ายกระวนกระวายแทน เขากระซิบกระซาบกับเธอ “ไม่ต้องสนใจพวกเขา เดี๋ยวคุณไปพบคนคนหนึ่งกับผม จากนั้นคุณหาที่นั่งนั่งเล่นไปพลางๆ ก่อน คุณไม่ต้องกังวล ไม่มีใครกล้าดูถูกคุณแน่นอน”  

 

 

เธอยิ้มบางๆ พลางพยักหน้าเล็กน้อย ความสง่างามแบบลูกผู้ดีเปล่งประกาย “ค่ะ” 

 

 

ดวงตาเขาเป็นประกายวาบ กิริยาท่าทางของเธอทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย เขาใจเย็นลง ยื่นแขนซ้ายให้เธอพลางยิ้มอย่างสุภาพ เธอลังเลเล็กน้อยแล้วยื่นแขนออกไปควงแขนของเขา เธอยิ้มให้เขาตามมารยาท จากนั้นสองหนุ่มสาวเดินควงแขนมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายของเขาในคืนนี้ 

 

 

บรรยากาศในงานน่าเบื่อมาก อย่างน้อยก็สำหรับเธอ ชายหญิงแต่งตัวหรูหรา มือถือแก้วไวน์แดง คุยแต่เรื่องน่าเบื่อ สักพัก เธอสังเกตเห็นว่าไม่มีใครแตะต้องอาหารบนโต๊ะเลย 

 

 

เธอมองดูอาหารหน้าตาวิจิตรสวยงามพวกนั้นแล้วได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างปลงๆ นี่มันเสียของชัดๆ 

 

 

โชคดีที่วันนี้เธอรับประทานอาหารค่ำไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น เธอจึงตักขนมเค้กชิ้นเล็กๆ ลงบนจานแล้วเริ่มลงมือกินขนมเค้กพวกนั้น ตาเธอเป็นประกายหลังจากกัดขนมเค้กชิ้นเล็กคำแรก รสชาติไม่เลว อร่อยกว่าขนมเค้กที่เธอเคยกินเป็นไหนๆ 

 

 

ดูเหมือนงานนี้ก็ไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น เธอแอบคิดในใจ 

 

 

เธอใช้ส้อมคันเล็กจิ้มขนมเค้กแล้วใส่ลงบนจานในมืออีกหลายชิ้น จากนั้นเลือกนั่งลงบนที่นั่งที่ค่อนข้างลับตาคน 

 

 

ดูเหมือนแขกเหรื่อที่มาร่วมงานจะเป็นพวกไฮโซในพื้นที่ เพราะส่วนใหญ่พูดภาษาอิตาลีที่เธอฟังไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่ หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานหลายเดือน เธอพอจะเข้าใจภาษาอิตาลีอยู่บ้าง แต่ถ้าให้ฟังเยอะๆ เธอเองก็ฟังไม่เข้าใจเหมือนกัน 

 

 

เธอได้แต่ก้มหน้าก้มตากินขนมเค้กที่อยู่ในจาน จนกระทั่งได้ยินเสียงซุบซิบดังลอยเข้าหูเธอ “เธอดูสิ… กินอย่างกับไม่เคยกินมาก่อนแน่ะ…” 

 

 

“ได้ยินว่าที่ที่พวกเขาอยู่ล้าหลังมาก ต้องใช้ชีวิตอดๆ อยากๆ ไม่เคยกินอิ่มด้วยซ้ำ…” 

 

 

“ใช่ๆ แล้วลูกๆ ของพวกเขาไม่ได้เรียนหนังสือด้วยนะ ต้องออกไปทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครอบตั้งแต่เด็กแน่ะ…” 

 

 

“จริงเหรอ น่าสงสารจัง…” 

 

 

“น่าสงสารอะไรกัน… ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่นั่นทำอาชีพแบบนั้นด้วยนะ… เธอดูสิ ผู้หญิงคนนี้ก็คงเหมือนกัน…” 

 

 

“ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคริสถึงพาผู้หญิงหากินมาด้วย เสียศักดิ์ศรีเปล่าๆ…”  

 

 

ตอนแรกเธอไม่รู้ว่าผู้หญิงกลุ่มนั้นกำลังพูดถึงเธออยู่ เพราะพวกเธอพูดภาษาอังกฤษและนั่งใกล้เธอมาก เธอจึงได้ยินทุกอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอยังคิดอยู่เลยว่าผู้หญิงบนโลกคงชอบนินทาลับหลังคนอื่นเหมือนกันหมด แต่พอได้ยินชื่อๆ หนึ่งที่เธอคุ้นเคย ถึงได้ตระหนักว่า นั่นพวกเธอกำลังพูดถึงเธออยู่อย่างนั้นเหรอ? 

 

 

ความรู้สึกเธอช้าจนน่าโมโห จนถึงตอนนี้ เธอเพิ่งรู้ตัวว่าคนพวกนั้นกำลังนินทาเธออยู่ 

 

 

แต่ว่า ที่พวกเธอกล้านินทาเธอในระยะเผาขนแบบนี้ เพราะคิดว่าหูเธอไม่ดีหรืออย่างไร? 

 

 

เธอเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดหรูหรากลุ่มนั้น หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มเงยหน้าขึ้นมาพอดี ทั้งสองประสานสายตาเข้าอย่างจัง เธอเห็นชัดเจนว่าดวงตาของหญิงสาวคนนั้นมีแววตระหนกเล็กน้อย แต่ไม่ทันไร หญิงสาวคนนั้นก็รีบส่งยิ้มเป็นมิตรให้เธอ แววตาประจบเล็กน้อย 

 

 

เธอเห็นแล้วถึงกับตะลึงนิ่งอึ้ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ผู้หญิงพวกนั้นเป็นไบโพล่าร์หรืออย่างไร? 

 

 

เธอยิ้มตอบอย่างอัตโนมัติ ก้มหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย อย่าบอกนะว่าผู้หญิงพวกนั้นคิดว่าเธอไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ? อืม… น่าจะมีความเป็นไปได้สูง เพราะพวกเธอคิดว่าเธอทำอาชีพแบบนั้นนี่เอง มันก็เป็นธรรมดาที่พวกเธอจะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงหน้าอกใหญ่ไร้สมองที่ฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง แต่ที่หญิงสาวคนนั้นส่งยิ้มให้เธอน่าจะเป็นเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่คริสพามาด้วยมากกว่า 

 

 

แค่นี้ก็รู้แล้วว่าครอบครัวของคริสมีอิทธิพลมากมายขนาดไหน 

 

 

เธอไม่มีอารมณ์ไปสนใจพวกหน้าไหว้หลังหลอกหรอก หลังจากส่งยิ้มตอบแล้วจึงก้มหน้าลงเหมือนเดิม 

 

 

 แต่ดูเหมือนหญิงสาวกลุ่มนั้นจะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ พวกเธอยังคงคิดว่าที่เธอส่งยิ้มตอบเป็นเพราะเธอไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเธอพูด หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย หญิงสาวคนนั้นจึงตัดสินใจเดินเข้าไปตีสนิทกับเฉียวซือมู่ 

 

 

เฉียวซือมู่ไม่คิดเลยว่าแค่ยิ้มตามมารยาทจะสามารถดึงดูดคนน่ารำคาญได้ เธอรู้สึกสะอิดสะเอียนคนพวกนี้มาก เธอตอบคำถามหยั่งเชิงของหญิงสาวคนนั้นเพียงไม่กี่คำ จากนั้นรีบหาข้ออ้างปลีกตัวออกจากตรงนั้นทันที 

 

 

เฉียวซือมู่เกิดอคติกับหญิงสาวคนนั้นแล้ว จึงไม่คิดจะไว้หน้าเธอ เมื่อกี้คนพวกนั้นยังนินทาลับหลังว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างว่าอยู่เลย เพราะฉะนั้น ข้ออ้างของเธอจึงไม่ได้ฟังดูดีสักเท่าไหร่ แถมยังเป็นข้ออ้างที่ถูกจับโกหกได้ทันทีอีกต่างหาก 

 

 

หญิงสาวคนนั้นหน้าตึงทันที เธอมองตามหลังเฉียวซือมู่ที่เดินจากไปแล้วสบถออกมา “นังกระหรี่!” 

 

 

เพื่อนสาวที่คอยดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ เห็นเธอเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ต่างรีบกรูกันเข้าไปซ้ำเติมเธอด้วยความสะใจ “เป็นไงบ้าง? เอาเธอไม่อยู่หรือไง?” 

 

 

“เสน่ห์เธอใช้ไม่ได้ผลเหรอเนี่ย…” 

 

 

“หยุดพูดได้แล้ว!” เธอเอ่ยเสียงเข้ม “เธอจะต้องชดใช้ให้ฉัน เธอชื่ออะไรนะ มีใครรู้ชื่อเธอหรือเปล่า?” 

 

 

“ดูเหมือนจะชื่อ…เฉียวซือ…อะไรสักอย่าง…” ในที่สุดก็มีคนเอ่ยชื่อเธอออกมา แต่ก็ยังเป็นชื่อที่ไม่ถูกต้องนัก 

 

 

เธอฟังแล้วสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น จากนั้นปลีกตัวกลับไปหาคนในครอบครัวตัวเอง ชิ เธอก็แค่อยากจากใช้ผู้หญิงคนนั้นเป็นสะพานเชื่อมไปหาคริสหรอก นังกระหรี่นั่นคิดว่าตัวเองเป็นดาราใหญ่หรืออย่างไร? ฮึ! 

 

 

ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยสักนิดว่าหลังจากที่เธอจากไปแล้ว มีบริกรคนหนึ่งเดินถือถาดใส่แก้วไวน์เดินผ่านมาพอดี หลังจากได้ยินสิ่งที่พวกเธอคุยกันแล้ว บริกรคนนั้นชะงักเล็กน้อย เขาใช้มือลูบแขนเสื้อตัวเองอย่างแนบเนียน จากนั้นเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มตามหน้าที่ 

 

 

เฉียวซือมู่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องเล็กน้อยที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเธอในภายหลัง ตอนนี้เธอรู้สึกเบื่อมาก หลังจากสลัดชายหนุ่มหลายคนที่เข้ามาจีบเธอออกแล้ว เธอจึงหนีไปดูดาวตรงระเบียง 

 

 

ตอนแรกเธอขึ้นไปดูดาวเพราะความเบื่อหน่ายเท่านั้น แต่พอเธอตั้งใจดูดาวอย่างจริงจังถึงพบว่าเธอไม่เคยเห็นท้องฟ้าที่สวยงามขนาดนี้มาก่อน ดวงดาราเปล่งแสงพร่างพราวเต็มท้องนภากว้างใหญ่ ดุจม่านสีน้ำเงินเข้มผืนใหญ่ปักเพชรเม็ดเล็กๆ มากมาย เป็นภาพที่ทำให้คนหลงใหลและตราตรึงใจ 

 

 

ตอนอยู่ในประเทศเธอไม่เคยสังเกตดูภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้มาก่อน เธออุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ ความทุกข์ใจทั้งหลายมลายหายไปในพริบตา 

 

 

“สวยมากใช่ไหม?” 

 

 

ทันใดนั้น เสียงเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง เธอตกใจเล็กน้อย แต่ก็โล่งอกทันทีที่รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือคริส เธอเอ่ยเสียงเบา “มาอยู่ที่นี่ตั้งนาน เพิ่งเคยแหงนหน้ามองท้องฟ้าแบบนี้เป็นครั้งแรก” 

 

 

“ถ้าชอบก็ดูให้พอใจ” เขาเดินไปหยุดยืนข้างหลังเธอพลางเอ่ยขึ้นช้าๆ 

 

 

เธอกำลังจะอ้าปากพูด แต่พอได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ดังอยู่ทางด้านหลังแล้วจึงส่ายศีรษะเบาๆ “ช่างเถอะค่ะ” 

 

 

“ทำไมครับ เสียงดังเกินไปอย่างนั้นเหรอ? งั้นเราเปลี่ยนที่ดีกว่า”