บทที่ 1774+1775

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1774 ความคับข้องใจของเธอ 3

เธอเอนกายพิงต้นไม้ต้นหนึ่ง น้ำเสียงสะท้านเล็กน้อย “ตี้ฝูอีท่านรู้ไหม หลังจากข้าได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกว่าฟ้าถล่มแล้ว!”

ตี้ฝูอีวางมือข้างหนึ่งลงบนบ่านาง ดวงหน้าเฉิดฉันของนางยังซีดเซียวอยู่ ยืนเม้มริมฝีปากนิดๆ อยู่ตรงนั้น ดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่เขายังคงทราบถึงความอ่อนแอและหวาดกลัวได้จากดวงตาของนาง เขาถอนหายใจต่ำๆ “ซีจิ่ว ข้าเข้าใจเจ้า…”

เขาเข้าใจความรู้สึกของนางในยามนั้นได้

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า ดวงตาปานจะลุกเป็นไฟ “ไม่ ท่านไม่เข้าใจ! ตี้ฝูอี ข้ารู้ว่าท่านทำแบบนั้นเพราะหวังดีต่อข้า ไม่ให้ข้าต้องโศกเศร้าเสียใจหลังจากท่านล่วงลับไป ยินยอมละทิ้งข้า ทำให้ข้าเกลียดท่าน…แต่ว่า ท่านยังคงไม่เข้าใจข้าอยู่ดี…ข้าแทบบ้าแล้ว! ยามนั้นข้ามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ข้าอยากพบท่าน! หากว่าไม่อาจพบหน้าท่านได้ก่อนที่ท่านจะดับขันธ์ ข้า…”

น้ำเสียงเธอหวีดแหลมอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เมื่อนึกถึงความบ้าคลั่งในยามนั้น หากว่าไม่อาจออกมาพบหน้าเขาได้ทันกาล เธอต้องบ้าไปอย่างสมบูรณ์แน่! ตอนนั้นเธอถึงขั้นที่วางแผนไว้ว่าหากออกมาแล้วไม่เจอเขา เธอจะเข้าสู่วิถีมาร! เธอข่มขู่เสียงนั้นไปมากกว่าหนึ่งครั้ง บอกว่าหากเธอไปพบเขาไม่ทันกาล เธอจะเป็นมารแน่นอน!

บางทีความบ้าคลั่งของเธออาจทำให้เจ้าของเสียงนั้นหวาดกลัวได้ในที่สุด เกรงว่าแผ่นดินนี้จะมีเทพศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มคลั่ง ดังนั้นเสียงนั้นจึงสอนวิธีก่อร่างอย่างรวดเร็วให้แก่เธอ

“หลังจากข้ารู้วิธีนั้นแล้ว ข้าก็ทุ่มเทฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง ไม่หลับไม่นอน…” เบ้าตาเธอแดงเรื่อแล้ว “วิธีนั้นทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง ทุกๆ วันราวกับเลาะกระดูกออกมาแล้วต่อกลับเข้าไปใหม่ เหมือนเต้นรำอยู่บนคมมีดตลอดเวลา เจ็บปวดจนข้าอยากกลิ้งเกลือก แต่ข้าไม่เคยคิดจะยอมแพ้เลย…เมื่อเทียบกับการได้พบท่านอีกครั้งแล้ว ความทรมานเหล่านั้นข้าทนรับได้ทั้งสิ้น ทุกๆ วันข้าจะให้กำลังใจตัวเอง คอยบนับวันอยู่ตลอดเวลา เจ็บปวดปานนั้นทรมานถึงเพียงนั้น ทว่าข้ากลับรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ข้าเกรงว่าจะไม่ทันกาล…ทุกวันเมื่อเห็นดวงตะวันโผล่ขึ้นมา ข้าก็ไม่อยากให้มันตกดินเลย…ข้ารู้ว่าถ้ามันตกลงไปหนึ่งครั้งชีวิตของท่านก็ลดลงหนึ่งวัน ความหวังข้าก็จะลดน้อยลงอีกวัน…”

น้ำเสียงเธอสะอื้นขึ้นมาเล็กน้อย “ตี้ฝูอี ข้ากลัว! ข้าทั้งเจ็บปวดทั้งหวาดกลัวอยู่ทุกวัน…หลงโม่เหยียนบอกว่าจะขังข้าไปอีกสามเดือน เพื่อไม่ให้ข้าได้พบท่าน…ตี้ฝูอี ความจริงแล้วข้าเหนื่อยมากเลย ข้าไม่ได้พักผ่อนมากว่าหนึ่งเดือน เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แต่ข้าก็ปล่อยให้เขาขังข้าไว้ไม่ได้ ข้าไม่อยากล้มเหลวในขั้นสุดท้าย ดังนั้นถึงข้าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องทำลายเขตแดนนั้น…”

ตี้ฝูอีมองดวงหน้าน้อยๆ ที่ซีดเผือดของนางดั่งมีมีดเถือใจ “ซีจิ่ว…” ในใจราวกับมีน้ำเดือดพลุ่งพล่านอยู่ ซีจิ่วของเขา ทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อเขาจริงๆ!

ยื่นแขนไปรั้งนางเข้าสู่อ้อมอก กอดไว้แน่นๆ ทนปล่อยไปไม่ได้อีกแล้ว

ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้หวนคืนสู่อ้อมกอดนี้อีกครั้ง ความคับข้องหมองใจที่ทับถมซ้อนกันอยู่ในใจพลุ่งพลานขึ้นมาอีกครั้ง เธอเปล่งเสียงออกมาคราหนึ่งก็ร้องไห้แล้ว เริ่มผลักไสเขา “ข้าทุ่มเทลำบากลำบนอดทนอยู่นานถึงเพียงนี้กว่าจะออกมาได้ แต่ท่านบอกข้าว่าอะไรน่ะเหรือ? ท่านไม่ต้องการข้าแล้ว! ท่านแค่คิดจะถ่ายทอดทักษะให้ข้า…ตี้ฝูอี หากว่าข้าแค่หมายปองในทักษะของเทพศักดิ์สิทธิ์เช่นท่าน จะทุ่มเทอย่างสุดชีวิตเพื่อออกมาทำไมกัน? ถึงอย่างไรอีกหลายสิบปีให้หลังก็มีคนมาสอนให้ข้าเหมือนกัน…”

เธอถูกขังไว้ในเขตแดนนั้นมานานหลายวัน ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานและหวาดหวั่นอยู่ทุกวัน หากมิใช่ว่ามีความอดทนสูง เธอคงแตกสลายไปนานแล้ว!

ถึงแม้เธอจะผ่านพ้นมาได้อย่างยากลำเค็ญ แต่ความคับข้องหมองใจที่สะสมอยู่ในใจกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องการให้ใครสักคนมาโอบกอดปลอบโยนเธอ

แน่นอนว่าเธอเรื่องมากยิ่งนัก…

——————————————————————————–

บทที่ 1775 ความคับข้องใจของเธอ 4

แน่นอนว่าเธอเรื่องมากยิ่งนัก คนที่เธอต้องการให้มาปลอบโยนมีเพียงแค่ตี้ฝูอีคนเดียว คนอื่นไม่ได้

เธอเข้มแข็งเย็นชาเช่นวีรสตรีเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นได้ แต่ยามนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เธอก็เหมือนสาวน้อยที่แสดงอารมณ์คับข้องหมองใจอย่างยิ่ง หยาดน้ำตาที่ประเมินค่าไม่ได้รินไหลลงมา

เขาไม่อยากโอบกอดเธองั้นหรือ? เช่นนั้นเธอก็ไม่อยากให้เขากอดแล้ว!

ดังนั้นเธอจึงเริ่มผลักเขาออก “ตี้ฝูอี ท่านไม่ต้องการข้าแล้ว! ไม่ต้องมากอดข้าอีก…ข้าไม่ต้องการให้ท่านกอดข้า…”

เธอออกแรงไม่เบาทว่ายังผลักตี้ฝูอีออกไปไม่ได้ ยิ่งเธอผลักออก เขาก็ยิ่งกอดรัดเธอแน่นขึ้น!

หยาดน้ำตาแต่ละหยดของนางเสมือนลวกร้อนเข้าไปในหัวใจ ทำให้ทั้งหัวใจเขาหดเกร็งขึ้นมา! เขาโอบกอดนางไว้แนบแน่น แทบอยากจะผูกมัดนางเอาไว้ภายในร่างกายตน

“ซีจิ่ว…” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ก้มหน้าจุมพิตหยาดน้ำตาบนดวงหน้าของนาง “ขอโทษ ข้าไม่เคยไม่ต้องการเจ้า…สิ่งเดียวที่ข้าต้องการก็คือเจ้า…”

“ไม่ เมื่อกี้ท่านพูดว่าไม่ต้องการข้า…อีกทั้งยังอยากขีดเส้นแบ่งเขตแดนกับข้า แม้แต่เป็นลูกศิษย์ก็ไม่อยากรับ…” เธอร้องไห้จนหายใจไม่ทัน

“ข้าขอโทษ ซีจิ่ว ขอโทษ…” เขากอดนาง ตบหลังนางเบาๆ ช่วยให้นางหายใจได้สะดวก…

ยามนี้ เขาไม่ใช่เทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สู่งส่งไม่แปดเปื้อนโลกีย์อีกต่อไป ส่วนนางก็ไม่ใช่ว่าที่เทพศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ผู้เยือกเย็นทะนงตนและน่าหวาดกลัวอีกต่อไป

เขากอดเอาใจนาง ความอ่อนโยนและเศร้าหมองในใจราวกับเอ่อล้นออกมา เขาประทับริมฝีปากลงบนพวงแก้มของนาง บนตาของนาง บนจมูกของนาง…

กู้ซีจิ่วซบลงในอ้อมกอดเขา ร้องไห้ด้วยความอิ่มเอมใจ ราวกับร้องไห้เอาความคับข้องหมองใจที่ได้รับทั้งหมดในคืนวันเหล่านั้นออกมา

หยกนภามองจนทึมทื่อไปแล้ว!

กู้ซีจิ่วในสายตามันฉลาดหลักแหลม สุขุมเยือกเย็นโดยตลอด ไม่ว่าพบเจอความยากลำบากหรืออันตรายใดๆ ก็จะรับมืออย่างนิ่งสงบ เข้มแข็งหนักแน่นจนไม่เหมือนผู้หญิงในช่วงวัยนี้

เป็นครั้งแรกที่มันเห็นนางร้องห่มร้องไห้เสมือนสูญเสียการควบคุมเช่นนี้ จึงโง่งมอยู่ตรงนั้นชั่วขณะ ไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งแสงออกมา

มันมองเทพศักดิ์สิทธิ์อีกครา ดวงตาเทพศักดิ์สิทธิ์แดงก่ำ ถึงแม้เขาไม่ได้ร้องไห้ ทว่าสุ้มเสียงแหบแห้งนักยามเมื่อปลอบใจนาง

เขารักสะอาดมาโดยตลอด ทว่ายามนี้หยาดน้ำตาบนดวงหน้าน้อยๆ ของนางไหลรินดังสายธาร เขากลับไม่รังเกียจว่าสกปรกแม้แต่น้อย จุมพิตลงบนหยาดน้ำตาแต่ละหยดๆ ของนาง

บัดนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแม้แต่เข็มเล่มหนึ่งก็ไม่อาจแทรกแซงเข้าไปได้ จู่ๆ หยกนภาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน มันหมอบนอนอยู่บนข้อมือกู้ซีจิ่วแต่โดยดี อยากแสร้งทำตัวเองให้กลายเป็นก้อนหินธรรมดาที่ไม่รู้ไม่ชี้ก้อนหนึ่ง และลดการมีตัวตนของมันลงมา

สายตาของหยกนภาเฉียบแหลมยิ่งนัก มันมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง ถึงแม้กู้ซีจิ่วกำลังผลักตี้ฝูอีออกเหมือนอยากผลักไสเขาออกไป ทว่ามือน้อยๆ มือหนึ่งกลับกุมสาบเสื้อเขาไว้ เหมือนกลัวว่าเขาจะหนีไป…

สตรี มิแปลกที่คนบอกว่าสตรีเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปากไม่ตรงกับใจ ยามนี้ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ!

หยกนภาแอบทอดถอนใจ มันมองไปทั่วทั้งสี่ทิศ สถานที่แห่งนี้คือเนินเขาร่มรื่น เนื่องจากไม่ได้อยู่บนเส้นทางสายหลัก โดยปกติจึงแทบไม่มีผู้คนสัญจรไปมา

ยามนี้ยิ่งไม่มีคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง จึงไม่มีผู้คนมามุงดู

หยกนภาโล่งใจ ทั้งสองคนตรงหน้านี้ คนหนึ่งเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบัน อีกคนหนึ่งคือว่าที่เทพศักดิ์สิทธิ์ หากมีใครเห็นพวกเขาในสภาพเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์อันสูงส่ง ยามนี้ไม่มีใครเห็น ดีแล้ว ดีแล้ว!

บัดนี้ฟ้ามืดลงแล้ว มีดวงดาวบนท้องฟ้าไม่กี่ดวง โดยรอบค่อนข้างมืดสลัว

หยกนภามองอยู่ด้านข้างครู่หนึ่ง รู้สึกว่าค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ช่างไม่มีสุนทรียภาพเอาเสียเลย มันครุ่นคิดเล็กน้อย รู้สึกว่าถึงเวลาที่มันควรจะแสดงตนแล้ว อย่างไรเสียหลายวันก่อนหน้า มันก็รับรู้เจ้านายล่วงหน้าไม่ได้

——————————————————————-