มู่เฉียนซีเงยหน้าขึ้นมองจิ่วเยี่ย ดวงตาสีฟ้าราวกับน้ำแข็งคู่นั้น ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินแล้ว ทันทีที่มองก็ทำให้มีความรู้สึกตกลงไปในห้วงลึกก็มิปาน

“ซี!”

“ซี!”

“……”

จิ่วเยี่ยตะโกนเรียกด้วยเสียงแหบแห้ง และตะโกนเรียกติดต่อกันหลายครั้ง ชื่อนี้สามารถทำให้เขาเรียกสติกลับมาจากความบ้าคลั่งนั้นได้

มู่เฉียนซีเขย่งปลายเท้าเอาแขนโอบรอบคอเขา และกล่าวข้างหูเขาว่า “ข้าอยู่นี่แล้ว”

“จิ่วเยี่ย ข้าอยู่นี่ อีกไม่นานเจ้าก็จะไม่เป็นอะไรแล้วนะ”

จิ่วเยี่ยรู้สึกว่าความอ่อนโยนของคนตรงหน้านี้ไม่จริง เขากอดนางแน่น จากนั้นก็บรรจงจูบลง แค่บรรจงจูบ จะบรรเทาความต้องการของคำสาปอันมืดมิดที่กระตุ้นออกมาได้อย่างไรกัน ดังนั้น……

ฉึก!

เมื่อเสื้อผ้าของตัวเองถูกฉีกขาดเป็นชิ้น ๆ เช่นนี้ มู่เฉียนซีกลับไม่สามารถสลัดหลุดออกจากแขนที่ดุจดั่งเหล็กเย็นยะเยือกหมื่นปีของจิ่วเยี่ยได้ ร่องรอยจูบนั้นค่อย ๆ ลึกลงไป พิสูจน์ได้ว่าดินแดนแห่งนี้กษัตริย์จิ่วเยี่ยนั้นได้เคยมาเยือนแล้ว

อุณหภูมิที่ลุกไหม้นั้นก็ได้ลดลงอีกครั้ง

“เชอะ! ตอนนี้ก็ควบคุมได้ ที่รัก ชายผู้นี้ไร้ความรู้สึกต่อผู้หญิงใช่ไหม!” เสียงกล่าวหยอกล้อเสียงหนึ่งดังขึ้น

“หากเขาชอบไม้ป่าเดียวกัน เช่นนั้นข้าก็วางใจไปเปราะนึง”

มู่เฉียนซีกล่าว “นิรันดร์ เจ้าพอได้แล้ว แล้วตกลงนทีแห่งวิญญาณนี้มันใช้ยังไง ?”

มู่เฉียนซีผลักจิ่วเยี่ยที่ควบคุมตัวเองได้เล็กน้อยออก จากนั้นก็ได้เอานทีแห่งวิญญาณนั้นขึ้นมา

“เมื่อก่อนข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีเข็มเหมือนของเจ้าเช่นนั้นด้วย นทีแห่งวิญญาณนี้แน่นอนว่าต้องกินทางปาก”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

มู่เฉียนซียื่นขวดนทีแห่งวิญญาณให้กับจิ่วเยี่ย “จิ่วเยี่ย กินนทีแห่งวิญญาณนี้เข้าไปเจ้าก็ควบคุมมันได้แล้ว”

“รีบกินเร็วเข้า!”

ทว่า ตอนนี้จิ่วเยี่ยเอาแต่จ้องมองนางราวกับไม่ได้ยินเสียงที่นางพูดก็มิปาน มู่เฉียนซีรู้สึกได้ว่าจิ่วเยี่ยไม่มีความสนใจในยานี้เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาปรารถนานั่นก็คือ อยากจะกลืนกินนาง

“จิ่วเยี่ย……” มู่เฉียนซีต้องการจะปลุกให้จิ่วเยี่ยตื่น แต่จิ่วเยี่ยก็ยังคงไม่สนใจนาง

“จิ่วเยี่ย ดื่มยา!”

ดูเหมือนว่าจิ่วเยี่ยจะไม่สนใจในคำพูดของมู่เฉียนซี และเข้าหามู่เฉียนซีคิดจะปล้นชิงริมฝีปากที่แดงระเรื่อนั้น มู่เฉียนซีรู้ดีว่ามิอาจหลบหลีกได้ ในใจก็ลุกลี้ลุกลนขึ้น จากนั้นนางก็เทยาในขวดนั้นเข้าปากตัวเอง

ยานี่ ขมยิ่งนัก!

“นิรันดร์!” มู่เฉียนซีกัดฟันกรอด

“ข้าคิดจะให้เขาดื่ม ก็เลยให้รสชาติมันออกมาแย่ แต่คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าเจ้า……”

อืม! จิ่วเยี่ยจูบริมฝีปากของมู่เฉียนซีอีกครั้งและมู่เฉียนซีก็ส่งนทีแห่งวิญญาณในปากทั้งหมดให้กับจิ่วเยี่ย

ใช้เข็มฉีดยาฉีดสองสามเข็มยังจะสะดวกกว่าเลย! ตอนนี้ขมไปทั้งปากแล้ว ช่างทรมานยิ่งนัก

จิ่วเยี่ยรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของมู่เฉียนซี กวาดล้างความขมในปากทั้งหมดของมู่เฉียนซีมา และความขมในปากของนางก็ค่อย ๆ จางลง

เพียงแต่ว่าการกินนทีแห่งวิญญาณทางปาก มันจะไม่ไม่เห็นผลได้เร็วนัก จิ่วเยี่ยอุ้มมู่เฉียนซีขึ้นและพานางกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง

ปัง! จิ่วเยียวางตัวมู่เฉียนซีลง

ความบ้าคลั่งที่ปรากฏขึ้นในดวงตานั้นมิได้ลดน้อยลงเลย ต่อมาก็เป็นความบ้าคลั่งที่ไม่ชัดเจนโดยสมบูรณ์

“นิรันดร์ ยาของเจ้า มีปัญหาหรือไม่!” มู่เฉียนซีกล่าวแผดเสียงคำราม

“นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าสงสัยหม้อเทพนิรันดร์อย่างข้า” นิรันดร์กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว

“แต่ว่าตอนนี้……”

“ผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับสาวสวย ต่อให้ไม่โดนคำสาป ไม่โดนยาพิษก็ต้องกระทำอะไรเช่นนี้เข้าใจหรือไม่ หากเป็นข้า ข้าลงมือเร็วกว่าเขาไปนานแล้ว!”

ใบหน้าของมู่เฉียนซีดำคล้ำด้วยความโกรธ นางไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเจ้าหมอนี้แล้ว!

“ตั้งสมาธิ!” จิ่วเยี่ยกัดติ่งหูมู่เฉียนซีและกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง

ต่อมา ทุกอย่างก็มิอาจควบคุมได้ ทุกอย่างวุ่นวายมากยิ่งขึ้น……

ในหัวของมู่เฉียนซีว่างเปล่า ปล่อยตัวเองและทำไปตามความรู้สึกของตัวเอง ไม่ขัดขืน และยอมรับ……

ผ้าไหมสีเขียวพันกันราวกับไหมรักที่กำลังพันกันก็มิปาน

ยิ่งลึกเข้าไปเพียงใด ก็มิอาจถอนตัวออกมาได้ ทว่า ทันใดนั้นเองดวงตาของมู่เฉียนซีก็ปรากฏแสงสีเลือดขึ้น!

ความทรงจำที่ถูกลืมก็ได้ปรากฏขึ้นในขณะที่นางได้ถลำเข้าไปอย่างสมบูรณ์

เป็นเวลาตีสี่แล้ว ภายในวิลล่าสไตล์ยุโรป ผู้หญิงผู้สง่างามผู้หนึ่งได้นั่งอุ้มลูกหน้าตาน่ารักวัยสามขวบอยู่บนโซฟา ดวงตาหมองคล้ำและนั่งอยู่อย่างเหม่อลอย

เด็กสาวตัวน้อยง่วงครั้งแล้วครั้งเล่า และกำลังจะเผลอหลับไปทั้งน้ำตา

“หม่ามี๊ หนูง่วง เราไปนอนกันเถอะค่ะ!” เด็กน้อยกล่าวพร้อมกับดึงแขนเสื้อของหญิงสาว

หญิงสาวลูบหัวเด็กน้อยเบา ๆ และกล่าวว่า “เสี่ยวซีต้องเชื่อฟังนะ รอให้แด๊ดดี้ของหนูกลับมาก่อน แล้วเราค่อยไปนอนพร้อมกัน”

“ฮือ ฮือ ฮือ! แด๊ดดี้ไปไหน ทำไมดึกป่านี้แล้วยังไม่กลับมา” เด็กน้อยร้องไห้หนักมาก ทว่าหญิงผู้นั้นยังคงชะเง้อมองไปที่ประตูด้วยความว่างเปล่า

มีเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากด้านนอก เพราะว่าประตูยังไม่ได้ล็อก ไม่นานนักคนที่อยู่ด้านนอกก็ย่างกายเข้ามา

ผู้ชายรูปร่างผอมเพรียว ดูดีมีสง่า สวมแว่นตา เมื่อเขาเดินเข้ามาเห็นผู้หญิงกับลูกยังไม่ได้นอน เขาก็ตกใจนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

“เสี่ยวอวี้ ซีเอ๋อร์ ทำไมยังไม่นอนกันอีกล่ะ!”

หญิงสาววางเด็กน้อยลงบนโซฟา และจ้องมองไปที่ชายหนุ่ม กลิ่นน้ำหอมโชยเข้ามาในจมูก แม้กระทั่งรอยลิปสติกสีแดงที่ประทับอยู่บนเสื้อก็ยิงไม่ได้ลบออก

หญิงสาวกล่าวว่า “จวิ้นเฉิง คุณ……ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้ ? ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่กลับบ้าน คุณไม่รักฉันแล้วใช่ไหม”

“เมื่อก่อนคุณเป็นคนพูดเองว่าจะรักฉันคนเดียวตลอดไป” น้ำตาของหญิงสาวหลั่งรินลงมาราวกับสายฝน ร้องไห้ออกมา

ชายหนุ่มกล่าวว่า “เสี่ยวอวี้ ผมยอมรับว่าตอนแรกผมรักคุณมาก แต่พอผมได้เจอกับเขา ผมก็ค้นพบว่าผมขาดเขาไม่ได้”

“ตอนแรกผมก็คิดว่ารอให้ซีเอ๋อร์โตก่อนแล้วค่อยบอกคุณ แต่นึกไม่ถึงว่าคุณจะรู้ก่อน เราหย่ากันเถอะ”

เมื่อได้ยินคำว่าหย่า สีหน้าของหญิงสาวก็นิ่งสงบจนน่ากลัว หญิงสาวกล่าวว่า “หย่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันเถอะ! คุณเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว ห้องครัวมีน้ำอยู่นิดหน่อย ไปดื่มน้ำแล้วรีบนอนเถอะ!”

หญิงสาวอุ้มลูกน้อยกลับไปที่ห้องและกล่อมนอน แต่ไม่ว่าอย่างไรลูกน้อยก็ไม่ยอมหลับสักที!

เขาพบว่าหม่ามี๊ไม่ได้นอนอยู่ข้างกาย จึงได้เดินไปที่ห้องข้าง ๆ ที่ประตูเปิดอยู่ และสิ่งที่ดึงดูดสายตานั่นก็คือเลือดสีแดงสด

“ฉันไม่ยอมเสียคุณไปให้ใครเด็ดขาด ฉันรักคุณมากขนาดนี้ จะยอมมอบคุณให้คนอื่นได้ยังไง”

“ยังไง เราก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปแล้ว”

ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด ชายผู้นั้นไร้ซึ่งลมหายใจแล้ว เด็กน้อยร้องตะโกนขึ้น “แด๊ดดี้!”

ในตอนนี้หญิงสาวผู้นั้นถือมีดที่เปื้อนเลือดหันมาทางลูกน้อยและกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ ผู้ชายก็เป็นดั่งสายลม ก็เหมือนกับแด๊ดดี้ของหนูนั่นแหละ เห็น ๆ กันอยู่ว่าหม่ามี๊ทำดีทุกอย่างแล้วแต่เขายัง……เขายัง ฮือ ฮือ ฮือ! เขาไม่รักหม่ามี๊แล้ว”

“หากไม่มีความรักจากแด๊ดดี้ หม่ามี๊ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ซีเอ๋อร์ ต่อไปอย่าได้ไปรักใครเด็ดขาด สายลมไปเคยหยุดเพื่อใคร ถึงตอนนั้นลูกก็จะไม่ต้องมาเป็นเหมือนหม่ามี๊”

หญิงสาวผู้นั้นยกคมมีดขึ้นและแทงหัวใจตัวเอง

เด็กน้อยวิ่งพรวดเข้าไปพลางตะโกนร้องว่า “หม่ามี๊ หม่ามี๊ อย่าทิ้งหนู”

“อย่า!”