บทที่ 126 โม่อ้ายหลี่มาถึงเมืองหลวง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 126

โม่อ้ายหลี่มาถึงเมืองหลวง

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!” ชางกวนโม่พูดอย่างเย็นชาแล้วก็เดินออกมา เขาต้องส่งคนไปตามหาป้าฟาง ทันทีที่เขาเห็นรูปในโทรศัพท์ของมู่หรงเสวี่ยและคนที่ส่งมาจากเบอร์โทรของป้าฟาง

ไป่เสวี่ยหลี่มองด้านหลังของชางกวนโม่และกัดริมฝีปาก จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง? มู่หรงเสวี่ยไม่ได้รับรูปพวกนี้หรือไง?! เธอกระทืบเท้าด้วยความเกลียดและหัวใจก็เป็นกังวลไปหมด ถ้าครั้งนี้เธอยังพลาดอีกเรื่องมันจะต้องแย่มากแน่ๆ แต่ตอนนี้เธอยังไม่กล้าที่จะทำอะไร ตอนนี้พี่โม่ยังสงสัยเธออยู่ ถ้าทำอะไรลงไปมีแต่จะยิ่งทำให้พี่โม่สงสัยมากขึ้นเท่านั้น เธอจะเอาตัวเองไปเสี่ยงแบบนั้นได้ยังไง

ทั้งๆที่ชางกวนโม่ไม่เคยอยากที่จะให้ลูกของไป๋เสวี่ยหลี่เกิดออกมาอยู่แล้ว ครั้งนี้เขาจะต้องสืบเรื่องนี้ให้แน่ใจ สำหรับ มู่หรงเสวี่ยช่วงนี้เขาจะไม่เข้าไปรบกวนเธอ บางทีมันอาจจะดีกว่าถ้าให้เวลาเธอได้สงบอารมณ์และค่อยอธิบาย ยังไงมู่หรงเสวี่ยก็ต้องเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น

อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าสักวันในอนาคตเขาจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจในวันนี้ ถ้าเขาไปอ้อนวอนขอให้มู่หรงเสวี่ยยกโทษให้เขาตอนนี้ ทุกอย่างคงจะต่างออกไป แต่ยังไงซะชีวิตก็เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ ไม่งั้นคงไม่มีคนมากมายที่ต้องอยู่กับความเสียใจที่แก้ไขอะไรไม่ได้หรอก

มู่หรงเสวี่ยอยู่ที่บ้านและไม่ได้ออกไปไหน ถึงแม้เธอจะบอกว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองมันจบไปแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้เข้มแข็งเหมือนกับที่แสดงภายนอก เธอเข้าไปในมิติลับอีกครั้ง ใส่พลังงานทั้งหมดลงไปกับงานวิจัยและเป็นอีกครั้งที่เธอใช้เวลาอยู่ในนั้นนานไม่รู้กี่ปี และอีกครั้งที่รูปลักษณ์ภายนอกของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ทำให้เธอรู้สึกแปลกไปด้วย เป็นรูปลักษณ์ที่สวยสง่าแต่ก็ไม่อ่อนโยน ออกจากเย็นชาด้วยซ้ำ

เพราะแบบนี้บางทีสิ่งที่ชูอี้เสิ่นคาดไว้มันคงจะดีที่สุด ถึงแม้เธอจะเปลี่ยนไปมากแต่ไม่ทรุดลงไปก็ถือว่าดีมากแล้ว

อีกไม่นานโรงเรียนก็จะเปิดแล้วและโม่อ้ายหลี่ก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว

ที่วิลล่าของมู่หรงเสวี่ย โม่อ้ายหลี่ตะโกนร้องอย่างเสียงดัง มู่หรงเสวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

“เสี่ยวเสวี่ย คุณปู่บอกฉันแล้ว ท่านไม่ยอมให้ฉันอยู่กับเธอแต่ฉันก็ไม่คิดว่าเธอจะหาวิลล่าที่สวยขนาดนี้มาได้ ฉันชอบที่นี่มากเลย…น่าเสียดายจัง…” โม่อ้ายหลี่พูด

มู่หรงเสวี่ยตกใจ เธอไม่คิดว่าคุณปู่โม่จะไม่ยอมให้โม่อ้ายหลี่อยู่ที่นี่ เธอจึงถามออกไป “มีเรื่องอะไรเหรอ? ทำไมเธอถึงอยู่ที่วิลล่าไม่ได้ล่ะ? ถ้าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย เธอบอกให้บอดี้การ์ดตามมาด้วยก็ได้นะ ไม่มีปัญหาเลย…”

โม่อ้ายหลี่ถอนหายใจ “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก คุณปู่บอกว่าฉันมีเพื่อนน้อยเกินไปตั้งแต่เด็กแล้วซึ่งไม่เอื้อกับการพัฒนาในอนาคต นอกจากนี้ที่วิทยาลัยอลิซเดิมเป็นระบบที่อยู่อาศัย ถ้าฉันออกมาอยู่ข้างนอก ฉันจะต้องใช้สิทธิพิเศษ คุณปู่ไม่อยากให้ตัวตนของฉันเปิดเผยออกไปเร็วนัก…ก็เลย…”

มู่หรงเสวี่ยคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพักและมันก็เป็นเรื่องจริง “แต่อลิซเป็นวิทยาลัยขุนนาง ทุกคนที่เข้าไปเรียนได้ต่างก็เป็นลูกขุนนางหรือคนรวย ต่อให้ไม่เปิดเผยตัวตนก็เถอะ…”

“คุณปู่สร้างตัวตนใหม่ให้ฉันเพราะนักเรียนทุกคนที่นั่นถ้าไม่เป็นลูกคนรวยก็ต้องเป็นลูกขุนนาง อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างทางทหารและการเมืองคือสิ่งที่นักธุรกิจทุกคนต้องการ คุณปู่ก็เลยสร้างตัวตนใหม่ให้ฉันเป็นลูกสาวพ่อค้าที่ร่ำรวย จะได้ไม่เด่นเกินไปและเราจะได้เห็นด้วยว่าใครที่ควรจะคบด้วยจริงๆ…แต่เธอต้องเก็บห้องที่นี่ไว้ให้ฉันด้วยนะ ช่วงวันหยุดฉันจะมาพักที่นี่ด้วย…”

“โอเค ฉันจะเก็บไว้ให้เธอ ที่นี่ต้อนรับให้เธอมาเมื่อไรก็ได้…” มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ

“แต่ เสี่ยวเสวี่ย มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอที่เมืองหลวงหรือเปล่า? ฉันรู้สึกเสมอเลยว่าเธอไม่ค่อยสดชื่นเลย…” อันที่จริงทันทีที่เธอมาถึง เธอรู้สึกว่ามู่หรงเสวี่ยมีบางอย่างที่ผิดปกติไปและท่าทางของเธอก็ดูเย็นชาอย่างมากด้วย จะพูดยังไงดีล่ะ เหมือนกับว่าเธอคล้ายกับคุณปู่ของเธออยู่นิดหน่อย ราวกับว่าเธอต้องเจอเรื่องที่มันผันผวนเป็นเวลานานนับหลายปี บางคนอาจจะมองไม่ออกถึงท่าทางที่ดูโตขึ้นที่แปลกออกไปแต่เมื่อเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยยังสวยอยู่เลยรู้สึกว่าพวกเขาอาจจะคิดมากไปเอง

มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้มซีดๆ “ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่เพิ่งเลิกกับชางกวนโม่น่ะ”

โม่อ้ายหลี่กระโดดลุกขึ้นทันที “อะไรนะ?! เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เธอรู้เรื่องมู่หรงเสวี่ยกับเจ้าชายแห่งเมืองหลวง ครั้งหนึ่งเธอเคยได้ยินเสี่ยวเสวี่ยพูดถึง ในตอนนั้นเธอยังเอาแต่ล้อเลียน มู่หรงเสวี่ย เธอรู้เพียงแค่พวกเขามีความสัมพันธ์กัน ตอนนั้นเธอคิดว่าชางกวนโม่ทั้งหล่อ รวยและทรงอำนาจ เขาช่างเป็นผู้ชายที่ดีจริงๆ

“มันก็แค่ไม่เหมาะกัน เราก็เลยเลิกกัน โอเค อย่าไปพูดถึงเขาเลยและก็อย่าถามถึงเขาอีกเพราะเราไม่ได้คบกันอีกแล้ว…” ใช่ ทุกอย่างหายไปเหมือนจุดเริ่มต้นที่สวยงาม แต่ไม่มีผลลัพธ์ที่ดีอะไร ในอนาคตก็จะไม่เหลือร่องรอยอะไรของเขา มีเพียงหัวใจที่แตกสลายที่เป็นหลักฐานถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

ช่วงที่ผ่านมานี้เธอไม่กล้าที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าจะเห็นข่าวของเขาบนหน้าหนังสือพิมพ์ ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่มาหาเธออีกเลย ไม่มีโทรศัพท์หรือข้อความใดๆ นี่ก็ดีเหมือนกัน ค่อยๆให้เวลาตกตะกอนกับเรื่องนี้ สักวันเวลาก็จะช่วยรักษาหัวใจที่เจ็บปวดของเธอเอง

“เป็นไปได้ยังไง…” ดวงตาของโม่อ้ายหลี่เปลี่ยนเป็นสีแดง เธอนึกภาพมู่หรงเสวี่ยที่ต้องอยู่กับช่วงเวลานี้ไม่ออกเลย เธอจะต้องเสียใจมากแน่ๆ ในฐานะเพื่อนเธอกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย ในเวลานั้นเธอควรที่จะมาอยู่กับเธอด้วย

มู่หรงเสวี่ยตกใจ “เฮ้ เด็กโง่ เธอจะร้องไห้เรื่องอะไร…” เธอรีบหยิบกระดาษทิชชูเพื่อมาช่วยซับน้ำตาที่ไหลออกมาของ โม่อ้ายหลี่

โม่อ้ายหลี่เอาแต่สะอื้น “เธอ…ฮือฮือ…ทำไมเธอไม่บอกฉัน…ฉันรู้สึกไร้ประโยชน์จริงๆ…ฮือฮือ…” ถ้าเธอรู้ เธอจะต้องรีบมาอยู่เป็นเพื่อนเธอทันทีเลย ถึงแม้เธอจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้แต่อย่างน้อยเธอก็ช่วยปลอบเธอได้

หัวใจของมู่หรงเสวี่ยอบอุ่นขึ้น เพราะมีเพื่อนแบบนี้ เธอควรที่จะพอใจ “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เป็นไรแล้วจริงๆ อีกอย่างฉันไม่ได้อยู่คนเดียวนะ ในเมืองหลวงฉันก็มีเพื่อนที่ดีมากๆอยู่ด้วย ต้องขอบคุณเขาที่คอยช่วยฉันในช่วงเวลาแบบนั้น ครั้งหน้าฉันจะแนะนำให้รู้จักนะ…”

“เธอไม่เป็นไรจริงๆนะ?” โม่อ้ายหลี่สูดน้ำมูกอีกครั้ง

มู่หรงเสวี่ยยิ้ม “ไม่เป็นไรจริงๆ ตอนนี้เธอเห็นว่าฉันไม่ดีงั้นเหรอ?”

ไม่ดี โม่อ้ายหลี่มองออกว่าเธอพยายามที่จะยิ้มออกมาแต่ก็ไม่อยากที่จะถามต่อ มีแต่จะสร้างปัญหาให้มู่หรงเสวี่ยเปล่าๆ “วันนี้ออกไปเที่ยวข้างนอกกันเถอะ ฉันอยากจะผ่อนคลายซะหน่อย ถึงแม้ฉันจะเกิดที่เมืองหลวง แต่ก็แทบจะไม่ได้อยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว ทุกครั้งฉันต้องรีบกลับตลอดเลย ยังไม่ได้เห็นเมืองหลวงอย่างแท้จริงเลย…”

“งั้นวันนี้เราออกไปเที่ยวกัน…”

เมื่อพูดว่าจะออกไปเที่ยว ทั้งสองก็แต่งตัวแบบลำลองและทะมัดทะแมง เดิมทีมู่หรงเสวี่ยอยากที่จะขับรถออกไปแต่ โม่อ้ายหลี่บอกว่าเธออยากที่จะลองประสบการณ์แบบคนธรรมดาทั่วไปบ้าง พวกเธอจึงเดินออกมาและไปรอรถที่ป้ายรถเมล์เหมือนกับคนมากมายที่กำลังยืนรอกันอยู่

น่าแปลกที่พวกเธอทั้งสองมีประกายแห่งความตื่นเต้นและคาดหวังราวกับว่าพวกเธอเพิ่งเจอกับของเล่น พวกเธอมองไปที่ข้อมูลต่างๆที่กระดาษข้อมูลด้วยความแปลกใหม่

“มู่หรงเสวี่ย เราจะไปที่ไหนกันดี?” ข้อมูลบนกระดาษข้อมูลนี่ทำให้เธองงไปหมด นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะนั่งรถเมล์จึงไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนกันดี

มู่หรงเสวี่ยเองก็งงไม่ต่างกัน เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็รีบตอบออกไป “ฉันไม่รู้ แต่เราใช้โทรศัพท์ฉันเช็กดูก็ได้นะ…” เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

“ว้าว เสี่ยวเสวี่ยนี่ฉลาดจริงๆเลย…เร็วเข้า ลองดูเถอะ…” โม่อ้ายหลี่เอนมาพิงอย่างมีความสุข

“สวัสดี มีอะไรให้ช่วยไหม? ฉันคุ้นเคยกับพื้นที่มากเลยนะ…” เสียงของเด็กหนุ่มหน้าตาดีดังขึ้นมา

มู่หรงเสวี่ยและโม่อ้ายหลี่เดิมก็สวยอยู่แล้ว แต่วันนี้เพื่อที่จะออกไปเดินเที่ยวอย่างสะดวก พวกเธอจึงสวมเพียงชุดกีฬาสบายๆยิ่งทำให้ดูเด็กและน่ารักขึ้นไปอีก ทันทีที่พวกเธอมาถึงป้ายรถเมล์ พวกเธอก็ดึงดูดความสนใจของคนอื่นได้มากมายแต่ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาทักทาย

บทสนทนาของทั้งสองไม่ได้เบาเท่าไรดังนั้นคนมากมายที่อยู่ใกล้ๆจึงได้ยินไปด้วย เด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาทักได้ยินว่าพวกเธอดูเหมือนจะไม่เข้าใจวิธีการอ่านแผนผังเท่าไร เขาจึงรวบรวมความกล้าที่จะเข้ามาทัก

มู่หรงเสวี่ยและโม่อ้ายหลี่มองไปที่เด็กหนุ่มพร้อมๆกัน เขาไม่แก่เท่าไร น่าจะประมาณ 18 เขายังสวมเครื่องแบบนักเรียนมหาวิทยาลัยการแพทย์ด้วย ท่าทางของเด็กหนุ่มนิ่งมากๆแต่ก็ยังมีท่าทางเขินๆอยู่ด้วยเหมือนกัน

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ คนที่จิตใจดีก็ควรที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างใจดีกลับ หลังจากการทรยศของเธอในชีวิตที่แล้ว ทำให้เธอหวงแหนความมีน้ำใจของผู้อื่นเป็นพิเศษ ในโลกนี้มีคนดีๆอยู่มากมาย เหมือนกับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอ “ขอบคุณนะ เราแค่เบื่อแล้วก็ไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวงด้วย ช่วยแนะนำที่เที่ยวให้เราทีได้ไหมคะ?”

เด็กหนุ่มหน้าแดงระเรื่อ “ด้วยความยินดี ในเมืองหลวงมีที่ที่น่าสนใจหลายที่เลย ฉันไม่รู้ว่าพวกเธออยากไปช้อปปิ้ง, กินหรือว่าเที่ยวเลยเฉยๆดีล่ะ?”

เมื่อเธอได้ยินคำว่ากิน ดวงตาของโม่อ้ายหลี่เบิกกว้างขึ้นมาทันที “กินสิ ที่ไหนอาหารอร่อยๆบ้างเหรอ?”

สายตาของมู่หรงเสวี่ยปิดลง เธอรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ เธอยิ้มอย่างอายๆให้เด็กหนุ่ม “งั้นเลือกไปกินแล้วกัน เราควรที่จะขึ้นรถคันไหนเหรอ?” โม่อ้ายหลี่เป็นแฟนเรื่องของกิน เธอไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่ที่รู้จักกัน ตราบใดที่เป็นเรื่องของกิน เธอจะสนใจมากเป็นพิเศษ โชคดีที่เธอไม่อ้วน

—————-