ตอนที่ 769 ชีวิตแสนสุขในคุก
บอกเป็นชุดนักโทษ แต่ชุดนักโทษก็ควรจะมีคำว่านักโทษสิ แต่บนชุดกลับไม่มีอะไรเสียอย่างนั้น
ซูหลีงุนงงอยู่นานถึงจะได้พบว่าตรงชายกระโปรงทางขวาปักคำว่านักโทษสีทองเอาไว้
ขนาดเล็กประมาณเล็บ แถมยังปักเอาไว้ด้านในด้วย
ซูหลี…
เข้าคุกครั้งหนึ่ง แถมยังอยู่คุกหลวงแบบนี้ สวมชุดผ้าแพรราคาสูงลิ่ว ถ้าอยู่แบบนี้แล้ว นางไม่อยากจะออกไปไหน อยากจะอยู่ในคุกหลวงนี้สบายๆ
“เตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว ใต้เท้าซูต้องการอาบน้ำไหมเจ้าคะ?” สาวใช้เห็นซูหลีไม่พูดไม่จาจึงเอ่ยถามเสียงแผ่ว
ซูหลีได้สติกลับมา นิ่งไปเล็กน้อย แล้วผงกศีรษะรับ
ตอนที่นางเดินตามสาวใช้มาแล้วเหลือบไปเห็นห้องอาบน้ำที่สร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ ใบหน้าก็ไร้ความรู้สึกใดๆ
เพียงแต่ว่าในใจกระตุกวูบอย่างอดไม่ได้ หากว่าฉินเย่หานไม่ได้สั่งเอาไว้อย่างครบถ้วนแล้ว ต่อให้ข้ารับใช้จะใส่ใจขนาดไหนก็คงไม่ได้ถึงขนาดนี้
คราวนี้ซูหลีเริ่มรู้สึกนึกถึงฮ่องเต้หน้าไร้อารมณ์คนนั้นมาตงิดๆ
หลังจากอาบน้ำแล้วนางรู้สึกสบายตัวขึ้นไม่น้อย นางกำนัลใช้ผ้าสะอาดเช็ดผมนางจนแห้ง เพราะอยู่ในคุกหลวงไม่สามารถทำผมยุ่งยากได้ ซูหลีก็ไม่อยากจะใส่เครื่องประดับผมหนักๆ จึงให้นางกำนัลปล่อยผมเช่นนี้
ซูหลีสวมชุดนักโทษสีขาวปลอดเดินกลับเข้าไปในคุกหลวง
หลังจากกินอาหารเย็นที่แสนสมบูรณ์แล้วก็หลับสนิทไป
นางยุ่งวุ่นวายอยู่นาน ตอนนี้นางเหนื่อยแล้วจริงๆ
นางอยู่ในคุกหลวงสุขสบายเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ แต่กลับไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดกระแสคลื่นถาโถมต่างๆ นานา
หลังจากวันที่ซูหลียอมรับว่าตนเองเป็นอิสตรี เรื่องราวก็แพร่ไปทั่วเมืองหลวง ผู้คนต่างถกเถียงกันเรื่องนี้ไปทั่วทุกหอน้ำชา หอสุราหรือกระทั่งหอบุปผากันทั้งสิ้น
ซูหลีตกเป็นเป้าความสนใจของทุกคนอย่างสมบูรณ์
ตัวนางไม่อยู่แต่กลับมีชีวิตอยู่ในคำพูดทุกคน
แต่พอพูดถึงซูหลีคนเหล่านี้ล้วนแต่ถกเถียงกันเป็นนานนม
แม้แต่ในวงชาวบ้านเองก็แบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่ายเช่นกัน ซึ่งฝ่ายหนึ่งนำโดยพวกบัณฑิตสำนักฉยงสือที่คิดว่าสิ่งที่ซูหลีทำนั้นไม่เหมาะสม เหมือนว่าเป็นการแปดเปื้อนพวกบัณฑิตเหล่านั้น
ส่วนอีกฝ่ายนั้นซาบซึ้งใจในสิ่งที่ซูหลีทำให้กับชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสตรีที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตนเอง ต่างบอกว่าซูหลีเป็นผู้สร้างคุณงามความดีอย่างใหญ่หลวง ถึงจะปกปิดความเป็นอิสตรีแต่ก็ไม่สามารถลบล้างความชอบของนาง จึงยืนอยู่ในฝั่งที่ยกโทษให้ซูหลี
ทั้งสองฝั่งถกเถียงกันอย่างออกรส
แต่ที่ผิดปกติก็คือมีคนกลุ่มหนึ่งที่เข้าร่วมการถกเถียงนี้ด้วย
นั่นก็คือศิษย์สำนักเต๋อซั่น
คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมสำนักของซูหลี ซึ่งหลังจากที่รู้เรื่องซูหลีเป็นอิสตรีแล้ว ก็ตกตะลึงกันอย่างยิ่ง หลังจากที่ตกตะลึงแล้ว ต่างก็สนับสนุนให้ปล่อยซูหลี
ถึงขนาดที่ว่าเกิดเหตุปะทะกับพวกคนสำนักฉยงสือ ก่นด่าว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นสุภาพบุรุษปลอม ริษยาในความสามารถของซูหลีดังนั้นหลังจากที่ซูหลีเกิดเรื่องถึงได้กระทืบซ้ำอีกฝ่าย
ทันใดนั้นเอง ทั้งเมืองหลวงก็ครึกครื้นอย่างยิ่ง ต่างคนต่างถกเถียงกันเกี่ยวกับปัญหาว่าจะจัดการซูหลีอย่างไร แต่ก็ยังไม่ได้ผลสรุปออกมา
มีบางคนนั่งไม่ติดแล้วไปทูลถามฝ่าบาท และถูกฝ่าบาทกริ้วจนเกือบไม่มีกระทั่งตำแหน่งขุนนางให้เกาะด้วยซ้ำ
ท่าทีฝ่าบาททรงเป็นเช่นนี้ทำให้คนงุนงง จนไม่เข้าใจว่าควรจะมีทีท่าต่อซูหลีอย่างไรดี
ทว่าซูหลีผู้นี้ทำผิดจริงๆ ถึงฮ่องเต้จะไม่ทรงทำอะไร แต่ก็ไม่สามารถปล่อยนางไปเช่นนี้
มิฉะนั้นก็จะอุดเหล่าคนปากมากไปไม่ได้ตลอด!
ตอนที่ 770 ก่อเรื่อง
อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ เพิ่งจะปรากฏภาพฮ่องเต้ที่ทรงพระปรีชา หากว่าปล่อยซูหลีไปเช่นนี้ ก็จะมีคำครหาไม่หยุดหย่อน ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องดีนักต่อโอรสสวรรค์ที่ทรงห่วงชื่อเสียงตนเองอย่างยิ่ง
แต่หากยังยื้อต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก…
คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องนี้ที่สุดย่อมต้องเป็นสกุลป๋าย
สกุลป๋ายลงทุนลงแรงไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาเลือกจะตระเตรียมอะไรต่างๆ ไปมากมายในตอนที่ซูหลีไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ซึ่งไม่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้เพียงแค่ซูหลีอยู่ในคุก
แต่ท่าทีของโอรสสวรรค์ก็ชัดเจนอย่างยิ่ง ทำให้คนจำนวนมากไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม
จนสุดท้ายแล้วป๋ายไต้ซือออกหน้ามาจัดการ และตัดสินใจทุกอย่าง
เรื่องนี้ไม่สามารถยื้อต่อไปเช่นนี้ อย่างไรฝ่าบาทก็ต้องทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากยิ่งยื้อไปเรื่อยๆ บรรดาขุนนางก็คงหมดความอดทน ซึ่งนั่นก็คือตอนที่ยื้อเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
พอถึงเวลานั้นถึงฮ่องเต้จะไม่อยากจัดการซูหลีก็ไม่ได้อีกแล้ว
คนของฝั่งบ้านสกุลป๋าย คิดอย่างละเอียดแล้วก็พบเห็นแต่จะมีแต่วิธีนี้จึงจำต้องยอมรับกัน
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาคาดคิดไม่ถึงเลยก็คือ หลังจากตัดสินใจได้เช่นนี้เป็นวันที่สองก็เกิดเรื่องขึ้น!
เรื่องนี้พูดไปแล้วเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
แต่เรื่องเช่นนี้ก็ทำให้เกิดความวุ่นวายใหญ่ๆ ขึ้นมานักต่อนัก
ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วันก็สามารถทำให้ไฟดวงเล็กๆ เผาผลาญทุกอย่างจนถึงขั้นที่ไม่อาจควบคุมได้อีก
เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าจากไม่กี่วันก่อนที่มีครอบครัวสี่คนพ่อแม่ลูกเข้าเมืองหลวงมา
ครอบครัวนี้ที่จริงไม่นับว่ามีอะไรพิเศษ เดิมทีพวกเขาเป็นคนจากอวิ๋นหนาน จากนั้นย้ายมาที่เจียงซี ตอนนี้ย้ายจากเจียงซีทางเหนือมาที่เมืองหลวง
แต่ทว่าครอบครัวนี้ วันที่สอง ที่มาถึงเมืองหลวง ก็ได้ยินเรื่องของซูหลีแล้ว
เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ในหอน้ำชา และโรงเตี๊ยมแต่ละแห่ง ล้วนแต่มีคนถกเถียงกันเรื่องนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีคนถกกันเรื่องนี้
อยากจะหาข่าวคราวก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ส่วนที่แปลกที่สุดในเรื่องนี้ วันที่สองหลังจากที่ครอบครัวนี้ได้ยินเรื่องนี้แล้ว พวกเขาจึงไปที่ศาลาว่าการ และตีกลองร้องทุกข์ที่หน้าประตู!
หลังจากที่ศาลาว่าการรีบร้อนส่งคนออกมาหา แต่พวกเขากลับพาแฝดชายหญิงมานั่งร้องกระจองอแงตรงหน้าประตูจวน
เมืองหลวงอยู่ในอำนาจของโอรสสวรรค์ ประชาชนที่ไม่เชื่อฟังมีน้อยนิดอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน
หลังจากศาลาว่าการรู้เรื่องนี้แล้วก็รีบเอาทหารตามไปด้วย
แต่ทว่าที่คิดไม่ถึงก็คือครอบครัวนี้พร้อมใจกันร้องไห้ไปเสียได้
ร้องร่ำไห้อะไรกัน?
ร่ำไห้ว่าชีวิตตนเองทุกข์ทน ร่ำไห้ว่าราชสำนักไม่ยุติธรรม!?
ทางศาลาว่าการบันดลโทสะ และสั่งให้สอบสวนคนในครอบครัวทันที
แต่ทว่าตอนนี้กลับเป็นเรื่องราวใหญ่โต ครอบครัวนั้นได้รับความช่วยเหลือจากรอบข้างช่วยกระพือเรื่องเหล่านี้ขึ้น!!
อันที่จริงครอบครัวนี้เป็นชาวนาของอวิ๋นหนาน เพราะเกิดโรคระบาด ลูกชายและลูกสาวของครอบครัวล้วนแต่ติดโรคระบาด คนทั้งสองทำใจทำร้ายสายเลือดในอกของตนทรมานไม่ได้ จึงดูแลรักษาด้วยตนเอง คิดไม่ถึงว่าฮูหยินของครอบครัวจะก่อเรื่องขึ้น
ทันใดนั้นเอง ชีวิตของทั้งครอบครัวก็ตกต่ำไปในระยะเวลาอันสั้น
และเพราะวิธีการจัดการโรคระบาดที่ราชสำนักประกาศใช้ และยังมีเงินทองที่ซูหลีส่งมาให้ช่วยชีวิตคนเหล่านี้
หลังจากหายดีแล้วครอบครัวนี้จึงไม่อยากอยู่อวิ๋นหนานอีก
คนทั้งครอบครัวจึงเลือกจะเดินทางไปที่เจียงซี
คิดไม่ถึงเลยว่าจะซวยอย่างยิ่ง ต้องมาเจออุทกภัยที่เจียงซี คนทั้งสี่เกือบจะตายเพราะภัยพิบัติครั้งนี้!
“โชคไม่ดีจริงๆ ชีวิตข้านี้ทุกข์ทรมานจริงๆ ยังมีเรื่องซวยเรื่องไหนที่ข้ายังไม่เคยเจออีก!”