ลู่หลีและเฉียวเหลียงจองห้องรับประทานอาหารค่ำที่โรงแรมจู เมื่อถังซีกับเฉียวเหลียงมาถึง ลู่หลี รออยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อเห็นถังซีเดินเข้ามาเขาก็ลุกขึ้นยิ้มให้ พร้อมกับส่งสัญญาณเชิญถังซีนั่งลง “ขอโทษนะ ที่ผมทำงานจนถึงตอนนี้”

 

 

ถังซีนั่งลงด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรเลยค่ะ คุณอุตส่าห์เดินทางมาถึงเมือง A เราควรเป็นฝ่ายเชิญคุณมาทานอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติกับคุณ แต่นี่กลับกลายเป็นคุณเลี้ยงอาหารค่ำฉัน”

 

 

ลู่หลีมีร่องรอยประหลาดใจในดวงตา เมื่อได้ยินถังซีพูดราวกับว่าเธอกับเฉียวเหลียงเป็นคู่สามีภรรยากันแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียงซึ่งดูเหมือนจะมีความสุขกับคำพูดเหล่านั้น ลู่หลียิ้ม “ผมยินดี คุณช่วยสั่งอาหารทีได้ไหม ผมไม่รู้ว่าคุณชอบทานอะไร เพราะฉะนั้น… คุณเป็นคนสั่งจะดีกว่า” จากนั้นเขาก็ส่งเมนูให้ถังซี “ผมชอบทานอาหารจีน เวลาออกมาทานกับเพื่อนๆ เพราะรู้สึกว่าจะให้บรรยากาศที่มีชีวิตชีวามากกว่า คุณคิดอย่างนั้นไหม”

 

 

ถังซีพยักหน้าเห็นด้วยกับเขาและยิ้ม “ใช่ค่ะ อาหารจีนมีรสชาติหลากหลาย ตอบสนองรสนิยมที่แตกต่างของเราได้ง่ายกว่า ในขณะที่อาหารตะวันตกรสชาติจะซ้ำๆ เสียส่วนใหญ่ ฉันก็ชอบอาหารจีนเหมือนกันค่ะ” เธอส่งเมนูให้เฉียวเหลียง ซึ่งรับมาอย่างคล่องแคล่ว และเริ่มทำเครื่องหมายที่รายการอาหารอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าเขาก็สั่งอาหารเสร็จ และลู่หลีรับเมนูไปจากเขา…

 

 

ลู่หลีมองเฉียวเหลียง หางตาเขาหรี่ลง “ไม่เห็นมีอาหารจานโปรดของผมเลย”

 

 

เฉียวเหลียงมองหน้าเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อ้าว ก็มื้อนี้คุณเลี้ยงพวกเราไม่ใช่เหรอ”

 

 

ลู่หลีมองเฉียวเหลียงและขมวดคิ้ว “กุ้งนางอบสมุนไพรรสเผ็ดเหรอ ผมจำได้ว่าคุณไม่ทานอาหารรสเผ็ด คุณมีปัญหากระเพาะอาหาร คุณก็เลยไม่ทานอาหารรสเผ็ดไม่ใช่เหรอ แล้วนี่คุณ…” ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นสายตาข่มขู่เขียวปั๊ดของเฉียวเหลียง เขาหุบปากทันทีและยิ้มให้ถังซี “อ้อ ผมชอบมากเลยกุ้งนางอบสมุนไพรรสเผ็ด ผมชอบอาหารรสเผ็ด แต่เขานั่นแหละที่ไม่ยอมให้ผมสั่งอาหารรสเผ็ด ผมไม่ได้ทานอาหารเผ็ดๆ มานานแล้ว”

 

 

ถังซีมองหน้าเฉียวเหลียง เฉียวเหลียงลูบผมเธอ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเขาเลย”

 

 

ใบหน้าถังซีสลดลง ในความทรงจำของเธอ ทุกครั้งที่ทั้งสองออกมาทานอาหารด้วยกัน เฉียวเหลียงจะสั่งอาหารรสเผ็ด เช่นกุ้งซอสต้นหอม กุ้งอบสมุนไพรรสเผ็ด หรือไม่ก็กุ้งที่ปรุงรสเผ็ดให้เธอ เมื่อเธอถามว่าเขาชอบอาหารพวกนี้ไหม เขาจะเม้มริมฝีปากแล้วบอกว่าอาหารพวกนี้ไม่เห็นน่าทานเลย แต่เมื่อเห็นเธอโกรธที่ได้ยินอย่างนั้น เขาก็จะบอกว่าเขาพูดเล่น จริงๆ แล้วเขาชอบ อาหารพวกนี้รสชาติดีจริงๆ …

 

 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเธอเคยขำกับอารมณ์ขันของเฉียวเหลียง แต่ตอนนี้ลู่หลีเปิดเผยกับเธอแล้วว่า เฉียวเหลียงทานอาหารรสเผ็ดไม่ได้จริงๆ เพราะถ้าทานแล้วเขาจะปวดท้อง

 

 

ลู่หลีสังเกตเห็นว่าสีหน้าถังซีหม่นหมองลงจึงรีบเสริม “ผมล้อเล่นน่ะ อย่าจริงจังกับคำพูดผมเลย โหรวโหรว ผู้ชายคนนี้น่ะนะ… เอ้อ… เอาละ ผมคิดว่าตอนนี้คุณทั้งสองก็คบกันแล้ว คุณควรบอกทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเองให้อีกฝ่ายรู้ เฉียวเหลียงมีปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร ทานอาหารรสจัดไม่ได้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว และในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขาดื่มจัด กระเพาะเขาก็ยิ่งอ่อนแอลง ผมคิดว่าคุณควรบอกเรื่องนี้กับโหรวโหรว ผมแน่ใจว่าเธอคงไม่อยากเห็นคุณทรมานจากอาการปวดท้องหรอก จริงไหม”

 

 

“ลู่หลี!” เฉียวเหลียงจ้องหน้าลู่หลีอย่างเยือกเย็น

 

 

“เฉียวเหลียง!” ถังซีมองหน้าเฉียวเหลียง และถามอย่างเย็นชา “ในความคิดคุณฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่มีเหตุผลเหรอ คุณคิดว่าฉันจะทิ้งคุณไปถ้าคุณป่วยอย่างนั้นหรือ! ในใจของคุณฉันเป็นผู้หญิงแบบนั้นใช่ไหม”

 

 

เฉียวเหลียงมองหน้าถังซี และกำลังจะพูดเมื่อถังซีลุกขึ้น แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “ฉันเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอเสมอในสายตาคุณ ไม่ว่าห้าปีก่อนหรือเดี๋ยวนี้ ใช่ไหม! ฉันเป็นผู้หญิงแบบนั้นใช่ไหม ผู้หญิงที่จะเดินไปจากคุณ เมื่อเห็นว่าคุณป่วยอย่างนั้นใช่ไหม”

 

 

“ไม่ใช่” เฉียวเหลียงจับมือถังซี “ผมแค่ไม่อยากให้คุณกังวลเรื่องของผม หรือรู้สึกผิดต่อผม… สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากเห็นคือการที่คุณฝืนใจตัวเอง ผมชอบเห็นคุณมีความสุขกับการทานอาหาร และชอบความรู้สึกเวลานั่งทานอาหารกับคุณ…”

 

 

“แต่สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ!” ถังซีจ้องหน้าเฉียวเหลียง “ฉันไม่อยากเห็นคุณทนปวดท้องเพื่อฉัน ฉันอยากให้คุณมีสุขภาพที่ดี!”

 

 

“ตกลง ผมจะบอกคุณทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผม” เฉียวเหลียงจ้องมองถังซี “อะไรที่ผมทานได้ และอะไรที่ทานไม่ได้ ผมจะบอกคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากรู้ นั่งลงเถอะนะ”

 

 

ถังซีหลับตาลง แล้วหันไปมองลู่หลี ซึ่งนั่งกระอักกระอ่วนดูทั้งคู่ทะเลาะกัน และยิ้มให้เขา “ขอบคุณนะคะ พี่ลู่ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันคงไม่มีวันรู้ว่าฉันทำอันตรายต่อร่างกายเขา ซึ่งถ้าเกิดอะไรขึ้นไม่รู้ว่าฉันจะต้องเสียใจมากแค่ไหน ขอบคุณนะคะ ที่บอกฉันเรื่องนี้”

 

 

ลู่หลียิ้ม “ยินดีครับ ผมคงวางใจ ที่ได้เห็นคุณดูแลเขาเป็นอย่างดี”

 

 

ถังซียิ้มและพยักหน้า จากนั้นบริกรก็มานำเมนูออกไป

 

 

เฉียวเหลียงและลู่หลีคุยกันเรื่องธุรกิจ ส่วนถังซีเล่นเกมที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในโทรศัพท์ เฉียวเหลียงมองดูโทรศัพท์ของเธอ เห็นเธอกำลังฆ่าศัตรู เขายิ้ม แล้วหันไปหาลู่หลี “ทันทีที่เงินเข้า บริษัทพวกนั้นก็จะหมดโอกาสสู้”

 

 

“เงินจะเข้าภายในอีกสามวันเป็นอย่างเร็วที่สุด ถึงตัวผมจะอยู่ที่นี่ แต่เงินจะโอนมาช้ากว่ามาก เพราะเรายังไม่มีสาขาในจีน ถ้าผมโอนเงินเข้าไปบัญชีเฉียวกรุปโดยตรง จะเป็นการกระตุ้นความสงสัยของเอฟบีไอ ถ้าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อเฉียวกรุป ความสูญเสียจะมีมากกว่าผลประโยชน์ที่เราจะได้รับ”

 

 

เฉียวเหลียงทำเสียงคำรามในลำคอ “ไม่ต้องรีบร้อน สองคนนั้นยังอยู่ในคุก ลู่หงคุนจะถูกตัดสินสัปดาห์หน้า เรายังมีเวลาจัดการกับลู่กวงสยง เขาเพิ่งชดใช้ความเจ็บปวดที่ทำไว้กับแม่ผมไปแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ผมจะให้เขาชดใช้ให้เราทีละนิด ทีละนิด”

 

 

ลู่หลีถอนหายใจเมื่อเห็นเฉียวเหลียงพูดถึงพ่อตัวเองด้วยความเคียดแค้น จากนั้นเขาก็หยิบแฟ้มขึ้นมาส่งให้เฉียวเหลียง “ผมเพิ่งรู้เรื่องนี้วันนี้ บริษัทนี้มีปัญหาใหญ่ คุณจะเข้าร่วมกับพวกเขาไหม”

 

 

ถังซีเหลือบไปเห็นชื่อแฟ้มและขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นกับหลิวกรุปเหรอคะ”

 

 

“รองประธานหลิวกรุปยักยอกเงินสดในระบบของบริษัทออกไปจนหมด ตอนนี้บริษัทนี้กำลังจะล้มละลาย แต่มีคนรู้น้อยมาก นอกจากพวกเราแล้วก็มีแต่หลิวเฉิงอวี่ ประธานหลิวกรุปเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะแก้ปัญหาได้ เงินสดหมุนเวียนจำนวนนี้เป็นเงินหลายพันล้านหยวน ไม่ใช่แค่หลายสิบล้าน… ไม่ว่าเขาจะเก่งแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางอุดช่องโหว่นี้ได้ง่ายๆ ”

 

 

ถังซีขมวดคิ้ว “รองประธานคนนั้นยังอยู่ในประเทศจีนหรือเปล่าคะ”

 

 

“ไม่ เขาหอบเงินทั้งหมดหนีไปแล้ว” ลู่หลียิ้มแล้วเลิกคิ้วขึ้น “แต่ถ้าอาเหลียงเข้าร่วมมือกับหลิวกรุป และอัดฉีดเงินเข้าไปในบริษัท พวกเขาก็อาจจะรอด”