พวกกัวเฟยน้อมรับคำ

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่เดินขึ้นหน้าไปรับกล่องและ**บมาจากอี้เซวียน

 

 

อี้เซวียนเบี่ยงตัวพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยน้ำเสียงห้ามปฏิเสธ “ให้ข้าไปส่งเจ้านะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฟังจากน้ำเสียงเขา รู้ว่าต่อให้ปฏิเสธก็ไม่มีประโยชน์ จึงพยักหน้าพูดว่า “ไปเถอะ ตอนขามาข้าไม่ทันได้สนใจดูทิวทัศน์โดยรอบพอดี เจ้าจะได้พาข้าเดินชมเมืองหลวงไปด้วยกัน”

 

 

อี้เซวียนผงกศีรษะ ยื่นมือออกไปหมายจะจับมือนาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลบเลี่ยง เดินขึ้นหน้าไป

 

 

อี้เซวียนลูบจมูกแก้เก้อ เดินขนาบข้างนาง

 

 

พวกกัวเฟยก้มหน้า ตามหลังไปด้วยใจจดจ่อ

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่เดินรั้งท้าย

 

 

คนทั้งหมดเดินอย่างไม่รีบไม่ร้อน ใช้เวลามากกว่าตอนขามาหนึ่งก้านธูปถึงมาถึงโรงเตี๊ยมอวิ๋นเค่อไหล

 

 

แขกในร้านที่ตามไปดูเรื่องสนุกเมื่อครู่ต่างกลับกันมาหมดแล้ว ใส่สีตีไข่เล่าเรื่องที่ตัวเองเห็นให้คนอื่นในโรงเตี๊ยมฟังอย่างออกรสออกชาติ

 

 

คนในโรงเตี๊ยมต่างใคร่รู้ว่า หญิงสาวนางนี้มีสถานะเช่นใด ถึงเป็นที่พึงใจของอี้เซวียนจวนอ๋องฉีได้ ในตอนนี้มีคนที่พอจะรู้เรื่องเล่าเรื่องที่ซื่อจื่อหายสาบสูญไปหลายปี กระทั่งสี่ปีก่อนถึงได้ตัวกลับมาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเมิ่งเชี่ยนโยวเลย

 

 

มีคนที่พอจะมีสติปัญญาคาดเดาว่าหญิงสาวนางนี้อาจจะเป็นบุตรสาวของครอบครัวที่เลี้ยงดูซื่อจื่อมาตลอดหลายปี พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ก่อเกิดสายใยผูกพันธ์กันก็เป็นได้

 

 

มีคนไม่น้อยเห็นด้วยกับการคาดเดานี้ บางคนอิจฉา บางคนก็ริษยา ทั้งมีคนนึกเสียดายแทนเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “ได้ยินว่าพอซื่อจื่อจวนอ๋องฉีถือกำเนิดก็หมั้นหมายกับธิดาราชเลขาฝ่ายการทหารไว้แล้ว ต่อให้หญิงสาวนางนี้ดีเพียงใด อย่างไรก็เกิดในครอบครัวชาวบ้าน อย่างมากก็เป็นได้เพียงอนุภรรยา น่าเสียดายยิ่งนัก”

 

 

ผู้คนต่างแสดงความคิดเห็น พูดไปต่างๆ นานา

 

 

หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมได้ฟังตื่นตกใจไม่น้อย ที่แท้แม่นางท่านนี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดา โชคดีที่ตัวเองปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพนอบน้อม มิได้มีสิ่งใดล่วงเกิน

 

 

พอมาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ๋อร์ต้อนรับเห็นพวกเขาในแวบแรก รีบเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม พูดว่า “หลงจู๊ขอรับ แม่นางท่านนั้นกลับมาแล้ว มีคุณชายสูงศักดิ์ท่านหนึ่งเดินขนาบข้างมาด้วย ไม่ทราบว่าจะใช้ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีหรือไม่”

 

 

ผู้คนที่กำลังนั่งวิพากษ์กันอยู่ในห้องโถงได้ฟังดังนั้น มีคนรีบวิ่งออกไปดู พอเห็นว่าเป็นอี้เซวียน ก็ร้องอุทานดังลั่น “ใช่ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีจริงๆ”

 

 

หลงจู๊ได้ยินเช่นนั้น ตกใจมือไม้อ่อน ฝืนยันร่างออกมาจากโต๊ะเก็บเงิน เดินมาถึงด้านนอกโรงเตี๊ยม

 

 

คนทั้งหมดเดินมาถึงหน้าโรงเตี๊ยมแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นหลงจู๊เดินตัวสั่นงันงกออกมา ยิ้มพูดทักทายกับเขา “หลงจู๊ พวกเรากลับมาแล้ว”

 

 

หลงจู๊ลนลานประสานมือขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพินอบพิเทา “ผู้น้อยไม่ทราบสถานะของแม่นาง หากมีสิ่งใดบกพร่องไป ขอแม่นางโปรดให้อภัย”

 

 

พูดจบ ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวพูด ก็หันไปหาอี้เซวียน ถวายคำนับชุดใหญ่ “ซื่อจื่อมาที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ ของพวกเรา ถือเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว”

 

 

อี้เซวียนยิ้มละไม ยื่นมือออกไปประคองหลงจู๊ พูดว่า “ข้ามาส่งโยวเอ๋อร์ หากเป็นการเพิ่มความยุ่งยากให้ท่าน ขอท่านอย่าได้ถือสา”

 

 

หลงจู๊ได้รับการปฏิบัติต่อด้วยมารยาท ตื้นตันใจ โบกมือที่สั่นเทิ้มนั้น “ไม่ยุ่งยาก ไม่ยุ่งยากเลย พวกเรายินดีอย่างที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ว่าแล้วก็แผ่มือออกมา พูดด้วยความอ่อนน้อม “ห้องของแม่นางอยู่ชั้นสอง เชิญซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

อี้เซวียนหันมองเมิ่งเชี่ยนโยว ส่งสายตาให้นางเข้าไปก่อน ตนเองเดินตามหลัง ส่วนคนอื่นๆ ก็เดินตามติดเข้าไป

 

 

หลงจู๊เพียงพูดเชิญพวกเขา ตัวเองยืนรอหน้าประตู มองดูแผ่นหลังของคนทั้งสอง ทอดถอนใจขึ้นอีกครั้ง “แม่นางท่านนี้ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากซื่อจื่อ ดูท่าจะมีสถานะภายในใจซื่อจื่อที่ไม่ธรรมดาเลยเชียว”

 

 

พอเห็นอี้เซวียนเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม ผู้คนที่วิพากษ์เซ็งแซ่ในห้องโถงต่างสงบปาก ทั้งห้องโถงเงียบกริบในพริบตา

 

 

อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่แยแส เดินนวยนาดขึ้นไปชั้นบน

 

 

กัวเฟยเปิดประตูห้องเมิ่งเชี่ยนโยวออก ทั้งสองเดินเข้าไป เหวินเปียวและเหวินหู่ก็เดินตามเข้าไป นำกล่องและ**บเหล็กวางไว้บนโต๊ะภายในห้อง แล้วโน้มคำนับถอยออกมา

 

 

กัวเฟยโน้มตัวปิดบานประตู ยืนเฝ้าหน้าห้องด้วยตัวเอง

 

 

คนในห้องโถงถึงถอนใจโล่งอก ส่งเสียงกระซิบกระซาบต่อ

 

 

ภายในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับอี้เซวียน “สถานะซื่อจื่อของเจ้าช่างมีประโยชน์นัก แม้แต่หลงจู๊ยังพินอบพิเทาต่อข้าไปด้วย”

 

 

อี้เซวียนคลี่ยิ้มน่าหลงใหล พูดยั่วเย้า “สถานะพระชายาซื่อจื่อก็มีประโยชน์ เจ้าอยากลองดูหรือไม่?”

 

 

ครั้นได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ของขึ้น ร้องเรียกชื่อเขาเต็มยศ “หวงฝู่อี้เซวียน ข้าขอบอกเจ้า หากภายในสามเดือนยังจัดการเรื่องการแต่งงานกับธิดาราชเลขาไม่ได้ ชาตินี้เจ้าอย่าหวังจะได้เห็นข้าอีก”

 

 

อี้เซวียนได้ฟังร้อนรนพลัน “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าครึ่งปีไม่ใช่หรือ? ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนเป็นสามเดือนเสียแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเล่นแง่ “เมื่อครู่ข้าอารมณ์ดี ไม่คิดหยุมหยิมกับเจ้า ตอนนี้ข้าหงุดหงิดแล้ว จึงเปลี่ยนให้เหลือแค่สามเดือน”

 

 

รู้จักกันมานาน อี้เซวียนไม่เคยเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเล่นแง่บิดพลิ้วมาก่อน ให้นิ่งอึ้งจังงัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้สึกว่าพูดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เห็นเขาตะลึงอึ้ง นึกว่าเขาลำบากใจ ยิ่งให้โมโหลมออกหู พูดว่า “ว่าอย่างไร? เวลาสามเดือนทำเจ้าลำบากใจ?”

 

 

อี้เซวียนตื่นจากภวังค์ รู้ว่านางเข้าใจผิดแล้ว ลุกลนพูดว่า “หาใช่ไม่ เมื่อก่อนเพราะข้ายังเยาว์ เจ้าก็มิได้อยู่ข้างกาย จึงทิ้งเรื่องเอาไว้เช่นนั้น ตอนนี้เจ้ามาแล้ว การแต่งงานนี้ย่อมไม่อาจปล่อยให้ยืดเยื้ออีกได้ เจ้าวางใจ ภายในสามเดือนข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ

 

 

อี้เซวียนรีบคลี่ยิ้มหวาน ประจบเอาใจนาง

 

 

“ตึงๆๆ” นอกห้องมีเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นดังเข้ามา ตามมาด้วยเสียงร้อนรนของหวงฝู่อี้ซักถามกัวเฟยดังลอดเข้ามา “ซื่อจื่ออยู่ด้านในหรือไม่?”

 

 

ได้ยินน้ำเสียงเขา อี้เซวียนขมวดคิ้วมุ่น ไม่รอกัวเฟยตอบก็เปล่งเสียงพูดว่า “อี้เอ๋อร์ มีอะไรเข้ามาพูดเถอะ”

 

 

กัวเฟยเปิดประตู หวงฝู่อี้เดินเหงื่อโทรมกายเข้ามา

 

 

กัวเฟยเพิ่งจะปิดประตู เขาก็พูดขึ้นทันควัน “ซื่อจื่อ ท่านอ๋องกลับมาแล้ว ได้ยินเรื่องที่ท่านสั่งขังพระชายารองและคุณชายรอง ก็ให้เดือดดาล ให้ท่านรีบกลับไปพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

คล้ายว่าอี้เซวียนจะคาดเดาทั้งหมดนี้ไว้แล้ว สีหน้าไม่ตื่นตระหนก ลุกขึ้นยืนอย่างจนใจ หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ ข้าต้องกลับไปก่อน พรุ่งนี้ข้าค่อยมาหาเจ้าใหม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็มิได้แสดงอาการใด ราวกับไม่ได้ยินเรื่องที่อ๋องฉีบันดาลโทสะ พูดเบี่ยงไปอีกเรื่อง “ช่วงนี้เจ้ายังไม่ต้องเข้ามา เลี่ยงไม่ให้พวกคนประสงค์ร้ายรู้เรื่อง จะสร้างความยุ่งยากให้โรงเตี๊ยมเปล่าๆ พรุ่งนี้ข้าจะให้เหวินเปียวและเหวินหู่ไปหาบ้าน เมื่อจัดการเรียบร้อยข้าจะให้กัวเฟยไปแจ้งเจ้า”

 

 

อี้เซวียนพยักหน้า มองนางอย่างอาวรณ์ หันหลังเดินมาถึงหน้าประตู สั่งการกัวเฟยอีกครั้ง “ระวังตัวให้มาก!”

 

 

กัวเฟยรับคำ อี้เซวียนก้าวเท้าไปชั้นล่าง

 

 

หวงฝู่อี้เร่งตามไปติดๆ

 

 

หลังเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม หวงฝู่อี้ถึงเร่งฝีเท้าเดินขนาบข้างเขา พูดกระซิบกระซาบ “ท่านอ๋องปล่อยพระชายารองและคุณชายรองออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ พอเห็นคุณชายรองถูกทำร้ายแทบไม่เหลือเค้าเดิม ก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ สั่งให้คนไปจับตัวแม่นางเมิ่งทันที โชคดีที่พระชายาเอกห้ามเขาไว้ บอกว่าแม่นางเมิ่งและคุณชายรองไม่รู้จักกัน ไม่มีทางทำร้ายคุณชายรองโดยไร้สาเหตุ ให้รอท่านกลับไปถามความให้แน่ชัดก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วลดความเร็วลง ถามหวงฝู่อี้ขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “อี้เอ๋อร์ เจ้าวิ่งตรงมาตั้งไกล เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่?”

 

 

หวงฝู่อี้มึนงงเล็กน้อย เช็ดเหงื่อที่หน้าผากแล้วตอบอย่างระวัง “ไม่เหนื่อยพ่ะย่ะค่ะ ไกลกว่านี้ข้าก็วิ่งมาแล้ว”

 

 

น้ำเสียงอ่อนโยนของหวงฝู่อี้เซวียนเริ่มแข็งกร้าว “ข้าบอกว่าเจ้าเหนื่อยเจ้าก็ต้องเหนื่อย พวกเราเดินช้าหน่อย เจ้าจะได้พักไปด้วย”

 

 

หวงฝู่อี้เข้าใจความหมายของเขาทันที หยั่งเชิงพูดขึ้น “ซื่อจื่อ เช่นนี้จะไม่ค่อยดีนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องโมโหมาก หากท่านกลับไปช้าเกรงจะถูกลงโทษได้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเบ้ปากอย่างไม่แยแส “สี่ปีแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะกระทำสิ่งใด ขอเพียงไม่แตะถูกขีดความอดทนของข้า ข้าไม่เคยถือสาพวกเขา ท่านพ่อลำเอียงเข้าข้างพวกเขาสองแม่ลูก ท่านแม่ไม่เคยปริปาก ข้าจึงยอมทน แต่วันนี้พวกเขาแตะโดนขีดความอดทนของข้า ข้าจักไม่ทนต่อไปแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้ตกตะลึง พูดเกลี้ยกล่อม “ซื่อจื่อ ตอนนี้ท่านหัวเดียวกระเทียมลีบ จะใช้ไม้แข็งปะทะกับท่านอ๋องไม่ได้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนแสยะยิ้มวิปลาศ

 

 

หวงฝู่อี้ไม่เคยเห็นเขายิ้มเช่นนี้มาก่อน หัวใจสั่นวูบ รีบปิดปากเงียบ ก้มหน้าเดินไล่หลังเขา

 

 

ทั้งสองเดินเรื่อยเฉื่อยกลับมา เพิ่งจะถึงหน้าประตูจวน พ่อบ้านก็กระวีกระวาดวิ่งออกมา พอเห็นหวงฝู่อี้เซวียนก็ลนลานพูด “ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้ว หากท่านยังไม่กลับมา ท่านอ๋องได้จับคนทั้งจวนไปขายทิ้งแน่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยกเท้าก้าวเข้ามาในจวน เดินไปถามไปว่า “พวกเจ้าทำเรื่องอันใด ท่านพ่อถึงระเบิดอารมณ์เช่นนี้”

 

 

พ่อบ้านเห็นเขาเดินเอ้อระเหย ยิ่งให้กระสับกระส่าย แต่ก็ไม่กล้าเร่งเร้า ทำได้เพียงเช็ดเหงื่อไปพลางตอบความ “พวกผู้น้อยไฉนเลยจะกล้ากระทำผิด ท่านอ๋องบอกว่าตอนที่ท่านสั่งให้ขังพระชายารองและคุณชายรองเอาไว้ พวกผู้น้อยมิได้ขวางรั้ง ไม่มีใจภักดีปกป้องนาย จึงจะจับพวกเราไปขายทิ้งพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหยุดชะงักเล็กน้อยอย่างไม่ทันสังเกตเห็น แล้วเดินต่อไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

 

 

ยังไม่ถึงเรือนหลัก เสียงเกรี้ยวกราดของอ๋องฉีก็ดังลอยมา “พวกไพร่สวะ ให้พวกเจ้าไปตามซื่อจื่อ เวลาล่วงมานานเช่นนี้ยังตามกลับมาไม่ได้ จะมีพวกเจ้าไปทำไมอีก”

 

 

สาวใช้และบ่าวในเรือนตกใจไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาในเรือน แสร้งตีมึนพูดว่า “ท่านพ่อบันดาลโทสะเช่นนี้ด้วยเรื่องอันใด ลูกอยู่นอกประตูเรือนก็ได้ยินแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

พูดจบ ก็ปรายตามองพระชายารองและหวงฝู่อวี้ที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้

 

 

อ๋องฉีแค่นเสียงหึ พูดอย่างกราดเกรี้ยว “เจ้าทำอะไรไว้เจ้าไม่รู้เรอะ อวี้เอ๋อร์ถูกทำร้ายจนไม่เหลือเค้าเดิม เจ้าไม่เพียงไม่แก้แค้นให้เขา ยังเอาตัวเขาไปขังในห้องเก็บฟืน เจ้ามีจุดประสงค์ใด?”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านพ่อกำลังเสียใจที่ตอนนั้นไม่ควรตามหาลูกกลับมาใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

สี่ปีที่ผ่าน หวงฝู่อี้เซวียนไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับใครมาก่อน อ๋องฉีให้ตะลึงงัน

 

 

พระชายาเอกก็ตะลึงค้าง

 

 

พระชายารองและหวงฝู่อวี้ต่างนั่งนิ่งอึ้งบนเก้าอี้ เบิกตาโพลงมองเขา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจ้องตาอ๋องฉี รอฟังคำตอบจากเขา

 

 

อ๋องฉีได้สติกลับมา ประเมินมองโอรสองค์โตที่ว่านอนสอนง่ายมีมารยาทในสายตาคนอื่นมาตลอด ให้รู้สึกว่าวันนี้เขามีบางสิ่งผิดแปลกไป สีหน้าไม่อ่อนโยน รอบกายฉาบแฝงรังสีสะพรึง

 

 

อ๋องฉีกะพริบตาปริบ เอ่ยคำตำหนิ “พูดเหลวไหลอันใดของเจ้า พ่อดีใจมาตลอดที่ตามหาเจ้าพบในตอนนั้น”

 

 

“เช่นนั้นท่านพ่อเสียใจที่ลูกได้รับสืบทอดเป็นซื่อจื่อหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หวงฝู่อี้เซวียนถามเสียงเย็นเยียบ

 

 

อ๋องฉีหัวใจกระตุกวูบอย่างประหลาด น้ำเสียงโอนอ่อนลงไม่น้อย “เจ้าเป็นโอรสองค์โตของข้า ตำแหน่งซื่อจื่อนี้เป็นของเจ้ามาตั้งแต่แรก ข้ามีอะไรต้องเสียใจ?”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนคาดคั้นไม่หยุด “เมื่อเป็นเช่นนี้ น้องอวี้กระทำผิด ลูกขังเขาในห้องเก็บฟืน มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง? เหตุใดท่านพ่อต้องถามว่าลูกมีจุดประสงค์ใด?”

 

 

อ๋องฉีถูกถามจนพูดไม่ออก

 

 

พระชายาเอกรีบเข้ามาแก้สถานการณ์ “เซวียนเอ๋อร์ นั่นเป็นคำที่ท่านพ่อกล่าวตอนโมโห มิได้…”

 

 

“ท่านแม่” หวงฝู่อี้เซวียนตัดบทนาง “ท่านพ่อยังไม่ทันไต่ถามเรื่องราว มาถึงก็ติเตียนว่าลูกมีจุดประสงค์ใด เพียงพลั้งปากพูดด้วยความโมโหเช่นนั้นหรือ?”

 

 

พระชายาเอกก็ถูกถามจนอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก

 

 

น้ำเสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ “ข้าในฐานะซื่อจื่อแห่งอ๋องฉี ย่อมต้องคิดคำนึงถึงชื่อเสียงของจวนอ๋องเป็นใหญ่ น้องอวี้กระทำความผิดร้ายแรง ข้าเพียงนำเขาไปขังในห้องเก็บฟืน มิได้ส่งเขาไปรับโทษในคุก นั่นเพราะเขาเป็นน้องชายข้า ข้าเห็นแก่ตัว หรือที่ข้าทำเช่นนี้มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง?”

 

 

อ๋องฉีถึงกับตอบไม่ถูก

 

 

พระชายารองเห็นอ๋องฉีไม่พูด กลัวว่าเขาจะหวั่นไหวไปกับคำพูดของอี้เซวียน จับตัวหวงฝู่อวี้ไปขังในห้องเก็บฟืนอีก ทำให้นางนั่งไม่ติด พูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ อวี้เอ๋อร์เป็นน้องชายแท้ๆ ของท่าน ต่อให้เขาไม่ทันยั้งคิดกระทำเรื่องผิด ท่านตักเตือนเขาก็พอแล้ว ให้นำตัวเขาไปขังในห้องเก็บฟืนได้อย่างไร เขาเติบโตมาอย่างสุขสบาย จะทนความลำบากเช่นนั้นได้อย่างไร”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่แยแสนาง แต่เอ่ยปากพูดกับอ๋องฉีว่า “ท่านพ่อ สมควรแก้ไขกฎระเบียบในจวนแล้วหรือไม่ เป็นเพียงพระชายารองกลับกล้ามายืนชี้นิ้วสั่งข้า ตำแหน่งจะมีไปเพื่ออะไร?”

 

 

หลายปีมานี้พระชายารองมีสิทธิ์ขาดในการดูแลกิจการภายใน คิดว่าตัวเองเป็นนายโดยสมบูรณ์ของจวนแห่งนี้นานแล้ว แม้ภายหลังพระชายาเอกจะมีสุขภาพดีขึ้น ก็หาได้ยุ่งย่ามเอาความกับนาง ทำให้นางยิ่งได้ใจ ทว่าที่ผ่านมานางปิดบังเอาไว้ได้ดี เบื้องหน้าทำตามระเบียบอย่างเคร่งครัด จึงไม่มีใครหาจุดบกพร่องของนางได้ วันนี้ด้วยความหุนหันพลันแล่นกล่าวประนามอี้เซวียน ไม่คิดว่าอี้เซวียนกลับนำข้อผิดพลาดนี้เค้นถามอ๋องฉี

 

 

พระชายารองตะลึงค้าง

 

 

อ๋องฉีก็ให้ตะลึงงันอีกครั้ง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองหวงฝู่อวี้แวบหนึ่ง จ้องตาอ๋องฉีกล่าวว่า “ตอนข้าเติบโตในชนบท พี่น้องรักใคร่ปรองดอง ถ้อยทีถ้อยอาศัย ดังนั้นหลังจากข้ากลับมา ก็เห็นอวี้เอ๋อร์เป็นน้องชายแท้ๆ มาตลอด รักใคร่เขาตามใจเขาเหมือนพวกท่านทุกอย่าง เพราะไม่อยากให้เกิดการแก่งแย่ง ห้ำหั่นกันเองระหว่างพี่น้องในภายหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปฏิบัติตัวไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้ได้ ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือว่าเขามีอายุเท่าลูก เขาสมควรที่จะต้องรู้ว่าเขาต้องเคารพกฎเช่นไรแล้วหรือไม่?”

 

 

อ๋องฉีอ้าปากค้าง ตะลึงค้างมองโอรสตรงหน้าที่คล้ายว่าจะโตขึ้นในชั่วพริบตา กลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพูดจบก็ยืนนิ่ง รอคำกล่าวจากอ๋องฉี

 

 

พระชายารองมองอ๋องฉีด้วยใบหน้าร้อนรน ขยิบตาถี่ๆ ให้เขา เสียแต่ว่าอ๋องฉีกำลังอยู่ในอาการตกตะลึง จึงไม่เห็นการบอกใบ้ของนาง

 

 

เงียบ

 

 

เงียบสงัด

 

 

เงียบสงัดราวกับอากาศค้างแข็ง

 

 

เงียบจนภายในห้องไม่ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจ

 

 

จวบจนตอนที่อ๋องฉีเปล่งน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นออกมา สาวใช้และบ่าวต่างได้ยินอย่างแจ่มชัดถึงน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของเขา

 

 

อ๋องฉีพูดว่า “เซวียนเอ๋อร์ หลังจากเจ้าหายไป ในบ้านมีอวี้เอ๋อร์เป็นเด็กเพียงคนเดียว เลี่ยงไม่ได้ที่พ่อจะตามใจเขาไปบ้าง แต่สิ่งของที่เป็นของเจ้าพ่อไม่เคยคิดจะให้แก่เขา แม้ในช่วงหลายปีนั้นจะยังหาเจ้าไม่พบ แม้เสด็จลุงเจ้าจะให้พ่อแต่งตั้งอวี้เอ๋อร์เป็นซื่อจื่อ พ่อก็ไม่เคยยินยอม เจ้าไม่รู้หรอกว่า สี่ปีก่อนหลังจากได้รับแจ้งข่าวเกี่ยวกับเจ้า พ่อดีใจเพียงใด แม้จะมิได้ปิติยินดีน้ำตาอาบแก้มเช่นท่านแม่เจ้า แต่น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า หลังจากเจ้ากลับมา พ่อเข้มงวดกับเจ้ามาก นั่นเพราะเจ้าเป็นซื่อจื่อแห่งอ๋องฉี เป็นเสาหลักของจวนอ๋องนี้ สำหรับอวี้เอ๋อร์ไม่เหมือนกัน เขาเพียงได้ใช้ชีวิตสุขสบายไปทั้งชีวิตก็พอแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ลดราวาศอก คาดคั้นด้วยเสียงเย็นชา “เช่นนั้นเมื่อครู่ท่านพ่อถามลูกว่ามีจุดประสงค์ใด หมายความว่าอย่างไรกัน?”