อ๋องฉีตอบอย่างกระท่อนกระแท่น “นั่นด้วยอารามโมโห ทำให้พ่อพลั้งปากพูดออกไป หาได้มีนัยแฝงอื่นไม่”
สีหน้าและน้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนยังคงเยียบเย็นดุดัน “ท่านพ่อทราบหรือไม่ว่า เหตุใดลูกต้องลงโทษน้องอวี้?”
อ๋องฉีส่ายหน้าตามตรง “พอพ่อกลับมาได้ยินว่าเจ้าขังอวี้เอ๋อร์ไว้ในห้องเก็บฟืน ก็เดือดดาลให้คนไปตามหาเจ้า มิได้ถามความว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้อวี้เอ๋อร์พูดต่อหน้าทุกคนเองเถอะ เดี๋ยวลูกจะพูดคลาดเคลื่อนไป” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว
พระชายารองเห็นอ๋องฉีจะพยักหน้าก็ทนต่อไม่ไหว บิดผ้าเช็ดหน้าในมือร้องกระซิกๆ “ท่านอ๋อง”
อ๋องฉีขมวดคิ้วมุ่น สั่งการสาวใช้ “ประคองพระชายารองกลับไปที่เรือนตัวเอง หากข้าไม่อนุญาตห้ามออกจากเรือนแม้แต่ครึ่งก้าว”
พระชายารองเป็นที่โปรดปรานมานาน ไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน โพล่งปากร้องตะโกนลั่นอย่างไม่เชื่อ “ท่านอ๋อง!”
อ๋องฉีโบกมือ
สาวใช้กำลังจะก้าวเข้ามา
หวงฝู่อี้เซวียนห้ามพวกนางไว้ หันไปพูดกับอ๋องฉี “ท่านพ่อ เพื่อให้มีความเป็นธรรม ให้พระชายารองอยู่รับฟังความเป็นมาเป็นไปด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
สาวใช้หยุดฝีเท้า
อ๋องฉีมองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง แล้วส่งสายตาให้พระชายารองนั่งลง
พระชายารองหย่อนก้นยังไม่ทันถึงเก้าอี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็เปล่งเสียงดังขึ้น “นับแต่บัดนี้ไป โปรดเคารพกฎของจวนอ๋องด้วยเถอะ”
พระชายารองค้างเติ่งอยู่ในท่านั้น มองเขาแล้วมองอ๋องฉีอย่างไม่เชื่อสายตา
อ๋องฉีเห็นนางเอาแต่อยู่ในอิริยาบถไม่น่ามอง ขมวดคิ้วว่ากล่าว “อยู่ต่อหน้าซื่อจื่อ ทำท่าทางอะไรของเจ้า ยังไม่รีบไปยืนอีกด้าน”
หลายปีมานี้พระชายารองและพระชายาเอกปฏิบัติตนเท่าเทียมมาจนชินแล้ว ลืมกฎที่ตนเองต้องรับใช้อยู่อีกด้าน เคืองแค้นจนเกือบขบฟันเงินหลุด
หวงฝู่อี้เซวียนชำเลืองหางตาเห็นกิริยาของนาง เจตนาถามขึ้น “พระชายารองมีความเห็นต่างต่อคำกล่าวของท่านพ่อ?”
พระชายารองได้ยินวาจาจงใจยุยงให้แตกแยกของเขา ก่นด่าเขาภายในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง
อ๋องฉีได้ยินคำพูดเขาเบือนหน้ามองไปทางพระชายารอง
พระชายารองรีบยกยิ้มหวาน พูดด้วยใบหน้ายิ้มใจไม่ยิ้มว่า “ซื่อจื่อเอาอะไรมาพูดเพคะ กฎของจวนอ๋องยิ่งใหญ่คับฟ้า ต่อให้ข้ามีความกล้าเป็นร้อยก็ไม่กล้าขัดต่อกฎระเบียบนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นก็ดี”
พระชายารองถอยไปยืนอีกด้าน บิดดึงผ้าเช็ดหน้าจนเกือบขาด
อ๋องฉีมองดูโอรสองค์โตที่นับวันก็ยิ่งคล้ายตนเอง แล้วหันมองโอรสองค์เล็กที่ยังอยู่ในภวังค์ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงมีความรู้สึกเอือมระอาต่อหวงฝู่อวี้ ตำหนิเขาเสียงเขียว “ไม่รู้จักกฎรู้จักระเบียบ ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก!”
หวงฝู่อวี้ผู้น่าสงสารไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรผิด ลนลานลุกขึ้นยืน ตัวสั่นสะทกมองอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนที่แตกต่างไปจากในอดีต
อ๋องฉีเอ็ดเขา “ยังไม่สารภาพสิ่งที่เจ้าก่อไว้ออกมาอีก?”
หวงฝู่อวี้ได้สติกลับมา แอ่นอกพูดอย่างมั่นใจ “หลายวันก่อน ท่านพ่อหารือกับพี่ใหญ่เรื่องการแต่งงานของเขากับเยียนเอ๋อร์มิใช่หรือ? พี่ใหญ่ไม่ยินยอม ท่านพ่อบันดาลโทสะ ข้าได้ยินทั้งหมด จึงสืบถามที่อยู่ของนังตัวดีคนนั้นจากบ่าวติดตามในอดีต นำองครักษ์ลับในเรือนเดินทางไป เดิมลูกมิได้คิดจะฆ่านาง เพียงคิดจะทำลายการค้าของนาง แล้วเจรจาต่อรองกับนาง ไม่คิดว่านังตัวดีนั่นจะจับไต๋ได้ ด้วยความจำใจลูกจึงส่งคนบุกเข้าบ้านนางยามวิกาล หมายจะฆ่านางให้ตาย ให้พี่ใหญ่ตัดขาดจากความคะนึงหานี้ แต่งกับเยียนเอ๋อร์ด้วยความยินยอมพร้อมใจ ใครจะไปรู้ว่านังตัวดีเจ้าเล่ห์เพทุบายนั่นจะจับลูกเป็นตัวประกัน ข่มขู่พวกเขากลับ”
พูดถึงตรงนี้ ยังปรับน้ำเสียงพูดขอความเป็นธรรมกับคนทั้งสอง “ท่านพ่อ ท่านพี่ นังตัวดีนั่นเ**้ยมโหดนัก หากข้าไม่เชื่อฟังนาง ก็จะถูกนางสั่งสอนจนสะบักสะบอม ท่านดูเอาเถิด…”
ยังพูดไม่ทันจบ อ๋องฉีก็โมโหควันออกหู ไม่แปลกที่วันนี้เซวียนเอ๋อร์เย็นชาต่อเขากว่าปกติ ที่แท้เป็นเพราะเจ้าลูกไม่ได้ความ มือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำคนนี้เกือบจะก่อภัยพิบัติครั้งร้ายแรง
หวงฝู่อวี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองจุดไฟโทสะของอ๋องฉีให้ปะทุแล้ว ยังคงพูดว่าร้ายเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นต่อยหอย
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วมุ่น คิดจะดุว่าเขา ครั้นเห็นสีหน้าอ๋องฉี กลืนคำพูดที่ปลายลิ้นกลับลงไป
อ๋องฉีที่ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งโมโห กระทั่งได้ยินว่าองครักษ์ลับหลายสิบนายถูกผู้ว่าการตำบลนำตัวไปขังคุก ก็ควบคุมไฟโทสะไม่อยู่อีกต่อไป ยกเท้าถีบเข้าไปเต็มรัก
หวงฝู่อวี้ผู้น่าสงสารถูกถีบล้มกลิ้งไม่เป็นท่าสองตลบ นอนแบหลามึนงง
พระชายารองที่กำลังจมดิ่งอยู่ในความคิดเคียดแค้นชิงชัง มิได้ตั้งใจฟังเลยว่าหวงฝู่อวี้พูดอะไรบ้าง เห็นอ๋องฉีถีบหวงฝู่อวี้ล้มกลิ้ง ตกใจกรีดร้อง วิ่งเข้าไปหมายจะพยุงเขาขึ้น
สาวใช้และบ่าวที่ยืนรับใช้อีกด้านก็คิดจะวิ่งเข้าไปช่วย อ๋องฉีตวาดเสียงลั่น “ใครก็ห้ามเข้าไป!”
สาวใช้และบ่าวหันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก ถอยกลับมายืนที่เดิม ก้มหน้าไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
พระชายารองประคองหวงฝู่อวี้ที่ยังอยู่ในภวังค์ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล หันไปหวีดร้องตำหนิว่าอ๋องฉี “ท่านอ๋อง ท่านทำเช่นนี้กับอวี้เอ๋อร์ได้อย่างไร เขาเป็นบุตรที่ท่านโปรดปรานตามใจมาจนโตนะเพคะ”
อ๋องฉีโมโหจนมือสั่น “เพราะว่าตามใจเขามากเกินไป ทำให้เขามีนิสัยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่ถามสาเหตุแน่ชัด ก็กล้าไปฆ่าคนส่งเดช”
พระชายารองแย้งกลับ “ก็แค่สาวชนบทไร้ราคาคนหนึ่ง อีกอย่างอวี้เอ๋อร์ก็ฆ่านางไม่สำเร็จ กลับถูกนางทำร้ายจนบอบช้ำไปทั้งร่าง”
อ๋องฉียิ่งให้เดือดดาล “โชคดีที่ฆ่านางไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเจ้าเตรียมรอประชาชีมาแช่งชักหักกระดูกข้าเถอะ”
พระชายารองเห็นเขาโมโหกระฟัดกระเฟียด ไม่กล้าโต้เถียงอีก ถามหวงฝู่อวี้เสียงแผ่ว “อวี้เอ๋อร์ เจ็บตรงไหนหรือเปล่าลูก?”
หวงฝู่อวี้ยังอยู่ในภวังค์ หันไปถามพระชายารองด้วยความตื่นตระหนก “ท่านแม่ เหตุใดท่านพ่อต้องถีบลูก…”
“หุบปาก!” อ๋องฉีตวาดเขา “เจ้าเด็กไม่รู้จักอาวุโส ไม่มีคนสอนกฎระเบียบเจ้าเรอะ? เจ้าควรเรียกใครว่าท่านแม่?”
หวงฝู่อวี้ถูกเขาเตะจนกลัวตัวสั่น ได้ยินเสียงของเขา ตกใจร่างสั่นสะท้าน ซุกเข้าไปในอ้อมกอดพระชายารอง
อ๋องฉีเห็นสภาพของเขายิ่งให้โกรธเกรี้ยว ออกคำสั่งเดียวกับหวงฝู่อี้เซวียน “ใครอยู่ข้างนอก เข้ามานำตัวคุณชายรองไปขังในห้องเก็บฟืน ห้ามกินห้ามดื่มสามวัน”
“ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป ห้องเก็บฟืนสกปรกเกินไป หาใช้ที่ให้คนอยู่อาศัยได้” หวงฝู่อวี้เขยิบซุกตัวเข้าไปในอ้อมอกพระชายารอง ปากร้องโวยวาย
พระชายารองก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เปล่งเสียงหวีดร้อง “ท่านอ๋อง วันนี้อวี้เอ๋อร์ถูกขังอยู่ในห้องเก็บฟืนมาตลอดช่วงบ่ายแล้ว ต่อให้กระทำผิดร้ายแรงก็ได้ชดใช้แล้ว เขาเองก็บาดเจ็บ เหตุใดท่านถึงยังทำใจสั่งขังเขาในห้องเก็บฟืนได้อีกเพคะ?”
“พ่อแม่รังแกฉัน เจ้านั้นตามใจลูกมากเกินไป ทำให้เขามีนิสัยลำพองไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดิน” อ๋องฉีกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด
พระชายารองสวนกลับเสียงลั่น “ท่านอ๋อง จะเป็นหม่อมฉันตามใจได้อย่างไร ที่ผ่านมาท่านเองก็ตามใจเขาทุกอย่าง บัดนี้เรื่องเกิดขึ้นแล้ว ท่านกลับโยนมาที่หม่อมฉันแต่เพียงผู้เดียวหรือเพคะ?”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมายามเมื่ออยู่ต่อหน้าอ๋องฉี พระชายารองมีแต่ความอ่อนโยนนุ่มนวล ว่าง่ายเอาอกเอาใจ กิริยาวาจาอ่อนหวาน ละมุนละไม ไม่เหมือนพระชายาเอก สมกับที่เป็นธิดาแห่งสกุลทหาร แม้ร่างกายจะทรุดโทรมอ่อนแอ แต่หาเปลี่ยนวิสัยองอาจห้าวหาญได้ กระทำตัวฉอเลาะเหนียมอายไม่เป็น บวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต อ๋องฉีละอายใจต่อพระชายารอง ทำให้โอนอ่อนตามใจนางมากกว่าปกติ ไม่คิดว่าวันนี้อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย พระชายารองจะกล้าโต้เถียงกับเขา อ๋องฉีด้วยอารามโกรธ สั่งสาวใช้ของพระชายารอง “นำตัวนางกลับไปยังเรือนตัวเอง จับตาดูให้ดี ไม่มีคำสั่งของข้าห้ามออกจากเรือนแม้เพียงก้าวเดียว”
นี่ถือเป็นการกักบริเวณนาง พระชายารองไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน ถามด้วยความขุ่นข้อง “ท่านอ๋อง หม่อมฉันทำอะไรผิด ท่านถึงสั่งกักบริเวณหม่อมฉัน?”
อ๋องฉีกล่าวเป็นข้อๆ “ไร้กฎระเบียบ ไม่รับใช้พระชายาเอก โต้เถียงข้า เหตุผลเท่านี้เพียงพอหรือไม่?”
พระชายารองโมโหกระฟัดกระเฟียด กำลังจะแย้งกลับอีกครั้ง
แม่นมที่เลี้ยงดูนางมารีบเดินจ้ำเข้ามา ขยิบตาส่งสัญญาณพลางพูดว่า “เหนียงเหนียง ท่านอย่าได้โต้เถียงท่านอ๋องอีกเลย รีบกลับเรือนไปกับผู้น้อยเถอะเพคะ”
คำพูดนี้หากเป็นในอดีตคงไม่มีปัญหา พูดแล้วก็แล้วกัน แต่วันนี้อ๋องฉีกำลังโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ยังระบายออกไม่ได้ ครั้นได้ยินคำเรียกของแม่นม ก็เจอข้ออ้างระบายโมหะทันที สั่งการบ่าวอีกคน “ลากตัวทาสผู้ไม่รู้จักอาวุโสออกไปโบยยี่สิบไม้”
แม่นมเรียกขานพระชายารองเช่นนี้มาโดยตลอด วันนี้ก็ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสม กระทั่งอ๋องฉีลั่นวาจาสั่ง ถึงเข้าใจว่าตัวเองเรียกผิด ตกใจคุกเข่าดัง “พลั่ก” โขกศีรษะเต็มแรง วิงวอนร้องขอ “ท่านอ๋องให้อภัยด้วย บ่าวสำนึกผิดแล้ว ต่อไปไม่กล้าอีกแล้วเพคะ”
พระชายารองได้รับสัญญาณที่แม่นมส่งให้ รู้สึกตัวแล้วว่าวันนี้ตนเองเกรี้ยวกราดเกินพอดี การปะทะกับอ๋องฉีเช่นนี้ไม่มีจุดจบที่ดี กำลังจะพูดปลอบหวงฝู่อวี้ แล้วตามสาวใช้กลับเรือนตนเอง อ๋องฉีกลับสั่งลงโทษออกมา กว่านางจะได้สติกลับมา แม่นมก็โขกศีรษะไปหลายครั้ง จนหน้าผากแตกมีเลือดซึมไหลออกมา
พระชายารองลุกลนประคองหวงฝู่อวี้ลุกขึ้นอย่างเบามือ จากนั้นก็คุกเข่าขอร้องอ๋องฉี “ท่านอ๋อง แม่นมอายุมากแล้ว ขอท่านเห็นแก่ที่นางทุ่มเทรับใช้หม่อมฉันอย่างเต็มที่มาหลายปี อภัยให้นางสักครั้งเถอะเพคะ หม่อมฉันรับประกัน เมื่อกลับไปจะสั่งสอนนางให้ขึ้นใจ ไม่ให้กระทำผิดอีกแล้วเพคะ”
แม่นมตกใจอกสั่นขวัญแขวน เอาแต่โขกศีรษะไม่หยุด
อ๋องฉีไม่เก็บคืนคำสั่ง โบกมือให้บ่าวลากแม่นมออกไป
บ่าวไม่กล้าลังเล เข้ามาลากตัวแม่นมที่ศีรษะชุ่มเลือดออกไป
“แม่นม” พระชายารองร้องลั่น แล้วโขกศีรษะสุดแรงให้อ๋องฉี ร้องคร่ำครวญ “ท่านอ๋อง ขอร้องท่านให้อภัยแม่นมด้วยเถิด ถูกโบยยี่สิบไม้นี้ จักถึงแก่ชีวิตนางได้นะเพคะ”
ที่ผ่านมาแม่นมปฏิบัติต่อหวงฝู่อวี้ราวกับลูกในไส้ ดังนั้นหวงฝู่อวี้จึงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อนาง เห็นแม่นมถูกลากออกไป ก็ฟุบตัวลงขอร้อง “ท่านพ่อ ท่านโปรดให้อภัยแม่นมสักครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องฉีชักสีหน้าไม่เอ่ยปาก น้ำเสียงอ่อนละมุนของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “ท่านพ่อ เมื่อน้องรองขอร้องแทนนางแล้ว ท่านก็โปรดลดโทษโบยลงเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องฉีมองพระชายารองที่คุกเข่าตรงหน้าแวบหนึ่ง แค่นเสียงหึ สั่งบ่าวที่ยังไม่ลงมือ “เมื่อซื่อจื่อเอ่ยปากขอร้องแทน ให้โบยสิบไม้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง”
สิบไม้ก็เพียงพอจะเอาชีวิตของแม่นมแล้ว แต่พระชายารองไม่กล้ารบเร้าอีก ตอนนี้อ๋องฉีกำลังโมโห หากนางช่วยแม่นมขอร้องอีก จะไม่มีผลดีอะไรเลย
บ่าวได้รับคำสั่งอีกครั้งจากอ๋องฉี กดร่างแม่นางกับพื้น ใช้กำลังที่มีทั้งหมดหวดไม้ไปบนร่างนาง
เพียงไม้แรก แม่นมก็ร้องโหยหวนดังลั่น เสียงนั้นทำเอาบ่าวคนอื่นๆ สะดุ้งตกใจตัวสั่น
หัวใจของพระชายารองดั่งถูกมีดกรีด น้ำตาไหลอาบเบี่ยงหน้าไปอีกด้าน
หลังจากโบยได้สี่ห้าไม้ แม่นมก็ร้องแผ่วลง พอโบยครบสิบไม้ แม่นมที่ก้นลายพร้อย นอนฟุบไม่ไหวติงอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
พระชายารองตะเกียกตะกายลุกขึ้น วิ่งไปหาแม่นม ยื่นมือสั่นระริกเข้าไปอังดู รู้สึกได้ถึงลมหายใจรวยริน รีบสั่งการสาวใช้ “เร็ว รีบหามแม่นมกลับไป”
สาวใช้ต่างตกใจกลัว ไม่มีคำสั่งอ๋องฉี ใครก็ไม่กล้าขยับ
พระชายารองวิงวอนร้องขออีกครั้ง “ท่านอ๋อง ท่านช่วยให้คนหามแม่นมกลับไปที่เรือนหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
อ๋องฉีสั่งการทุกคนในห้องเสียงกร้าว “ต่อไปหากใครกล้าไม่เคารพอาวุโส จะมีจุดจบที่น่าสังเวชกว่านาง จำได้แล้วหรือไม่?”
เสียงสั่นเครือของสาวใช้และบ่าวดังขึ้นพร้อมกัน “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”
อ๋องฉีเห็นพวกเขาขลาดกลัวบรรลุเป้าประสงค์ พยักหน้าพึงพอใจ แล้วโบกสะบัดมือ
สาวใช้ทยอยกันออกมา ช่วยกันยกแม่นมขึ้น สาวใช้อีกสองนางเข้าไปประคองพระชายารองกลับเรือนไปพร้อมกัน
ภายในห้องเงียบสงบลง
หวงฝู่อวี้มองอ๋องฉีที่ยังเคืองโกรธ เงยหน้าร้องเรียกหวงฝู่อี้เซวียนเสียงกระท่อนกระแท่น “ท่านพี่”
หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงละมุน “ไปเถอะ เจ้าเป็นผู้ชาย ทำผิดก็ต้องรับผิดชอบ”
หวงฝู่อวี้ไม่ยอมไป
อ๋องฉีได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยวาจาเรียบเรื่อย ยิ่งให้รู้สึกว่าสภาพหวงฝู่อวี้ในตอนนี้ยิ่งน่าเอือมระอา ตวาดสั่งบ่าวเสียงเข้ม “ยังไม่รีบพาตัวคุณชายรองไปห้องเก็บฟืนอีก”
บ่าวลนลานรับคำ เดินมาตรงหน้าหวงฝู่อวี้ กล่าวอย่างอ่อนน้อม “คุณชายรอง เชิญขอรับ”
หวงฝู่อวี้ไม่กล้าต่อต้าน เดินตามบ่าวออกไปแต่โดยดี
ภายในห้องเหลือเพียงอ๋องฉี พระชายาเอกและหวงฝู่อี้เซวียนสามคน บรรยากาศให้กระอักกระอ่วน
อ๋องฉีกระแอมหนึ่งครั้ง พูดว่า “เซวียนเอ๋อร์ เรื่องในวันนี้…”
หวงฝู่อี้เซวียนพูดตัดบทเขา “ท่านพ่อ วันนี้ท่านทำได้ดีมาก ต่อไปลูกจะเรียนรู้จากท่านพ่ะย่ะค่ะ”
วาจาชมเชยที่แฝงด้วยการจิกกัดนี้ทำเอาใบหน้าชราของอ๋องฉีแดงเรื่อ หัวเราะแห้งๆ แก้เก้อออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนทำความเคารพคนทั้งสอง พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกขอตัวลา”
ทั้งสองพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนหมุนตัวเดินออกไป
อ๋องฉีมองเขาเดินออกไปอย่างรักใคร่ คิดจะพูดกับพระชายาเอกเล็กน้อย
พระชายาเอกกลับลุกขึ้น ถวายคำนับเขา กล่าวอย่างเหินห่างเฉยชา “หากท่านอ๋องไม่มีอะไรแล้ว หม่อมฉันขอตัวลานะเพคะ”
ว่าแล้ว ไม่รอให้อ๋องฉีตอบรับ ก็ให้สาวใช้ประคองเดินออกไป
คำที่กำลังจะเปล่งออกมาของอ๋องฉีสะอึกค้างอยู่ในลำคอ ลูบจมูกตัวเองแก้เก้อ เดินออกไปห้องหนังสือ
หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนกลับไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งผ่อนคลายอยู่บนเก้าอี้ นำ**บเหล็กบรรจุเงินวางไว้อีกด้าน เปิดกล่องออก หยิบจดหมายตามวันที่ที่ระบุไว้ออกมาทีละฉบับ นั่งอ่านอย่างตั้งใจ
อ่านมาจนถึงกลางดึก กระทั่งเสียงของกัวเฟยดังขึ้นนอกประตู “นายท่าน นี่ก็ดึกมากแล้ว หากยังไม่นอนจะรุ่งเช้าแล้วขอรับ” เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถอนตัวออกมาจากห้วงคำนึงในจดหมาย รับคำเสียงเบา “รู้แล้ว ข้าจะนอนเดี๋ยวนี้ เจ้าเองก็กลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้พวกเราจะตามเหวินเปียวและเหวินหู่ไปหาบ้านกัน”
กัวเฟยน้อมรับคำ กลับรอจนเมิ่งเชี่ยนโยวเป่าดับตะเกียงในห้อง ถึงได้ยินเสียงเขาเดินออกไป
วันรุ่งขึ้น หลังจากคนทั้งหมดกินข้าวเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวนำพวกเขาเดินผ่านเสียงกระซิบกระซาบของคนในโรงเตี๊ยมออกไป นั่งบนรถม้าทั้งสองคัน เริ่มเสาะหาบ้านที่เหมาะสมทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งใต้ของเมืองหลวง ภายใต้การนำทางของเหวินเปียวและเหวินหู่
หนึ่งวันผ่านไป เห็นบ้านมาไม่น้อย กลับยังไม่มีที่เหมาะสม
หลังจากนั้นอีกสองวัน พวกเขายังคงออกไปหาบ้านแต่เช้าตรู่ กลางคืนถึงกลับมานอนที่โรงเตี๊ยม โดยที่ไม่รู้เลยว่าข่าวลือเกี่ยวกับเมิ่งเชี่ยนโยวได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว
ข่าวลือเสกสรรปั้นแต่งว่า “หลังซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีแบกเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าจวน ก็บดขยี้ร่างของนางโดยไม่รีรอ”
พูดว่า “เพราะซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีมีประสบการณ์ราคะเป็นครั้งแรก ทำเมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บ จึงให้หวงฝู่อี้คนสนิทข้างกายไปจัดยากลับมาต้มให้นางดื่ม เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านในตลอดช่วงบ่าย ถึงฟื้นตัวขึ้น”
ยังพูดอีกว่า “ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีรู้สึกว่าตนเองทำเกินกว่าเหตุ จึงชดใช้ของมีค่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นกล่องและ**บเหล็กหนึ่งใบ ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวก็รับไว้อย่างหน้าไม่อาย อีกทั้งเดินเคียงไหล่ พูดคุยหัวร่อต่อกระซิบออกมาจากจวน”
ข่าวลือโหมสะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง รวดเร็วราวสายลมพัด ไม่ถึงครึ่งวันก็แทรกซึมไปทั่วทุกหัวระแหงของเมืองหลวง
และข่าวลือนี้ก็แพร่มาถึงหูของฮูหยินราชเลขาฝ่ายการทหารและพระกรรณพระพันปีหลวง
ฮูหยินราชเลขาโมโหเขวี้ยงถ้วยชาในมือทิ้ง หายใจกระฟัดกระเฟียดพูดว่าจวนอ๋องฉีทำเกินไปแล้ว เริ่มจากคิดจะถอนหมั้น ตอนนี้ถึงกับทำเรื่องบัดสีให้ลือกันไปทั่ว
ภายในวังหลวงหลังจากพระพันปีได้ยินเรื่องข่าวลือ กลับดีใจยิ้มไม่หุบ ครึ้มใจเอาแต่พูดว่าหลานชายตนเองโตเป็นหนุ่มแล้ว
ข่าวลือย่อมลือมาถึงหูหวงฝู่อี้
หลังจากคิดรอบคอบแล้ว หวงฝู่อี้ก็ตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนสะท้อนแววตาดุดัน สั่งหวงฝู่อี้เสียงกร้าว “ไปนำตัวบ่าวทั้งหมดในเรือนเข้ามา ข้าจะสังคายนาเกลือเป็นหนอนพวกนั้นเอง!”