“ขอรับ ซื่อจื่อ” หวงฝู่อี้รับคำเสียงกังวาน เดินออกไป เปล่งเสียงลั่นบอกทุกคนในทุกแผนกหน้าที่ “ซื่อจื่อมีเรื่องจะพูด ให้ทุกคนรีบเข้ามายืนรวมกัน”
พวกบ่าวต่างทิ้งงานในมือ กระวีกระวาดเข้ามายืนรวมตัวกัน
หวงฝู่อี้มองสำรวจ เห็นบ่าวทุกคนในเรือนอยู่กันครบ จึงหันไปที่ห้องน้อมพูดว่า “ซื่อจื่อ รวมคนมาครบแล้วขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินแผ่รังสีอำมหิตออกมา
บ่าวในเรือนไม่เคยเห็นท่าทีเช่นนี้ของซื่อจื่อมาก่อน ต่างตื่นกลัว หันหน้าสบตากัน มีลางสังหรณ์ว่าวันนี้จะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
เป็นดังคาด หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก น้ำเสียงไร้ความอ่อนละมุนที่เคยมี “ดูท่าที่ผ่านมาข้าจะดีกับพวกเจ้ามากเกินไป ทำให้พวกเจ้าไม่รู้อะไรควรไม่ควร นำเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือนของข้าแพร่งพรายออกไป”
คนทั้งหมดตกใจงง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร มีเสียงบ่าวสองคนในนั้นที่ใบหน้าซีดเผือก ห่อหดตัว ก้มหน้างุด
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดตามองคนทั้งหมด สุดท้ายสายตามาหยุดที่บ่าวสองคนนั้น
บ่าวสองคนนั้นรับรู้ได้ถึงแววตาดุดันจากเขา ตกใจแข้งขาอ่อน “พลั่ก” คุกเข่าลงพร้อมพูดขอชีวิต “ซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วย ซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วยเถอะ”
“อ่อ พวกเจ้าลองพูดมาสิ พวกเจ้าทำอะไรผิด ถึงต้องให้ข้าไว้ชีวิตพวกเจ้า?” หวงฝู่อี้เซวียนผ่อนปรนน้ำเสียง ถามด้วยน้ำเสียงเช่นในอดีต
บ่าวสองคนนั้นกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหาร ตื่นตกใจร้องขอชีวิตตัวสั่น “ซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วย บ่าวมิได้ตั้งใจจะพูดเรื่องแม่นางเมิ่งออกไป วันนั้นบ่าวเพียงคุยสัพเพเหระกับคนข้างนอก เอ่ยออกมาประโยคเดียว บ่าวก็ไม่รู้ทราบว่าเขาป่าวประกาศออกไปได้อย่างไร”
หลายวันมานี้ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง บ่าวในจวนต่างรับรู้เรื่องนี้ พอได้ยินคำพูดของพวกเขา ถึงได้รู้ว่า ที่แท้ข่าวลือพวกนี้มากจากพวกเขาพูดออกไป มองพวกเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ ที่ทำความผิดมหันต์แพร่งพรายเรื่องของนาย ในจุดนี้ตอนที่พวกเขาจะเข้ามาทำงานในจวน พ่อบ้านได้ย้ำเตือนพวกเขาดิบดีแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนเก็บคืนรังสีดุดันรอบกาย
บ่าวสองคนนึกว่าเขาให้อภัยตนเองแล้ว ลอบถอนใจโล่งอก
คำสั่งต่อมาของหวงฝู่อี้เซวียนกลับทำให้ทั้งสองคนตกอยู่ในอาการขวัญผวาแห่งห้วงความเป็นตายอีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งหวงฝู่อี้เสียงเย็น “อี้เอ๋อร์ เจ้าจงไปตามพ่อบ้านมา”
หวงฝู่อี้รับคำ วิ่งจ้ำออกไปจากเรือน
บ่าวสองคนนั้นยิ่งให้สั่นผวา “โป๊กๆ”โขกศีรษะกับพื้นเต็มแรง “ซื่อจื่อโปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด อย่าเอาพวกเราไปขายเลย ต่อไปพวกเราไม่กล้าอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่หวั่นไหว กวาดตาเยียบเย็นมองบ่าวที่เหลือ
บ่าวที่เหลือสัมผัสได้ถึงลมเย็นวาบพัดผ่านต้นคอ ตกใจรีบก้มหน้างุด
พ่อบ้านลุกลนตามหวงฝู่อี้เข้ามา เห็นเหตุการณ์ในเรือนก็ชะงักเล็กน้อย แต่ภายในใจพอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว รีบถวายคำนับหวงฝู่อี้เซวียน โน้มตัวพูดว่า “ซื่อจื่อ เพราะผู้น้อยมิได้สอนสั่งบ่าวพวกนี้ให้ดี ทำให้ท่านต้องขุ่นเคือง”
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเขาทันที “พ่อบ้าน การที่บ่าวในจวนนำเรื่องของนายแพร่งพรายออกไปตามอำเภอใจ สมควรลงโทษเช่นไร?”
พ่อบ้านหัวใจกระตุกวูบ มองบ่าวสองคนที่โขกศีรษะจนหน้าผากมีเลือดไหลซึมอย่างเวทนา แล้วน้อมพูดว่า “เรียนซื่อจื่อ โบยจนตายพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียง บ่าวสองคนนั้นต่างตกใจจนลืมโขกศีรษะ เงยหน้ามองพ่อบ้านอย่างหวาดผวา
คนอื่นที่เหลือก็ตกใจเบิกตาโพลง
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งพ่อบ้านเสียงดุดัน “ไปเกณฑ์บ่าวทั้งหมดในเรือนเข้ามา ให้พวกเขาดูการลงทัณฑ์”
พ่อบ้านนิ่งตะลึงค้าง
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาด้วยแววตาอำมหิต
พ่อบ้านร่างกายสั่นเกร็ง รีบก้มหน้ารับคำ “ผู้น้อยจะให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
บ่าวทั้งสองคนได้ยินวาจาหวงฝู่อี้เซวียน ตกใจขวัญกระเจิง คลานเข่าขึ้นหน้า พร่ำวิงวอนร้องขอชีวิต
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเกร็ง
พ่อบ้านรีบโบกมือ ทหารสองสามนายเข้ามาปิดปากปิดจมูกบ่าวทั้งสอง แล้วลากตัวออกไป
พ่อบ้านรีบเดินตามออกไปเรียกระดมพลบ่าวในจวน
คนที่เหลือในเรือนตกใจจนไม่กล้าหายใจแรง ในตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าความคิดในอดีตของตัวเองนั้นเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ นายท่านตรงหน้านี้หาใช่คนสุภาพอ่อนโยนไม่ หากบังอาจแตะโดนขีดความอดทนของเขาเข้า ก็จะมีจุดจบที่น่าสังเวชเหมือนบ่าวสองคนเมื่อครู่
หวงฝู่อี้เซวียนไม่แม้แต่จะมองบ่าวที่ต่างตกใจตัวสั่นระริก ยกเท้าเดินไปยังลานกว้างของจวน
พ่อบ้านให้คนไปเรียกระดมบ่าวและสาวใช้ทั้งหมดของจวนเข้ามาโดยไวที่สุด แม้แต่คนสนิทข้างกายอ๋องฉีและพระชายารองก็ไม่ละเว้น ถูกเรียกเข้ามาทั้งหมด
คนทั้งหมดไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น กำลังวิพากษ์บ่าวสองคนที่ถูกปิดปากปิดจมูกกลางลานกว้างไม่หยุด
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา คนทั้งหมดถึงหยุดปาก ยืนเงียบราวจั๊กจั่นในเหมันต์ฤดู
หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่ง ออกคำสั่งทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “พ่อบ้าน เริ่มได้!”
พ่อบ้านโบกมือให้ทหารที่ปิดปากบ่าวทั้งสอง มีทหารอีกสี่นายเดินเข้ามา ผลักคนทั้งสองลง หวดไม้พองลงไปบนร่างพวกเขา
บ่าวสองคนส่งเสียงร้อยโหยหวน
สาวใช้ที่ขลาดกลัวตกใจหลับตาปี๋
บ่าวที่เหลือก็ทนดูสภาพน่าสังเวชของพวกเขาไม่ได้ ต่างเบือนหน้าหนีเป็นแถบ
ในช่วงแรกบ่าวสองคนยังส่งเสียงแผดร้องได้ ต่อมาเสียงค่อยๆ แผ่วเบาลง กระทั่งตอนที่ทหารโบยไม้ที่สามสิบ ทั้งสองก็ขาดใจตาย
ทหารหยุดมือ ทหารนายหนึ่งย่อตัวลง ตรวจลมหายใจของพวกเขา แล้วลุกขึ้นรายงานอย่างอ่อนน้อม “ซื่อจื่อ พวกเขาตายแล้วขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนมองดูกระบวนการทั้งหมดด้วยใบหน้าเรียบเฉย กวาดสายตามองบ่าวเกือบร้อยชีวิตที่ยืนโดยรอบ พูดว่า “หากภายหน้ามีใครกล้านำเรื่องของนายออกไปพูดโดยพลการ จะมีจุดจบเหมือนพวกเขาทั้งคู่”
บ่าวทั้งหมดมองบ่าวเนื้อแตกเหวอะหวะไร้ลมหายใจทั้งสองคน ตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม เกิดความพรั่นกลัวสุดจิตสุดใจต่อหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นแววตาพวกเขา ก็รู้ว่าเกิดเป็นความสั่นประสาทแล้ว สั่งการพ่อบ้าน “นำตัวพวกเขาไปฝัง แล้วนำตัวบ่าวที่เหลือในเรือนข้าไปขายทิ้งทั้งหมด”
พูดจบก็หมุนตัวเดินกลับเรือนตนเอง
หวงฝู่อี้เดินตามหลังไปติดๆ
พวกบ่าวที่อยู่รับใช้ในเรือนเขา ตกใจทรุดนั่งไปกับพื้น มองแผ่นหลังเขาอย่างสิ้นหวัง ไม่กล้าแม้แต่จะขอร้องวิงวอน
พ่อบ้านถอนหายใจ อย่าว่าแต่พวกบ่าวเลย แม้แต่เขาเองก็ตกใจกลัวไม่น้อย สี่ปีแล้ว ซื่อจื่อมีมารยาทสุภาพอ่อนโยนกับทุกคนมาตลอด จนทุกคนลืมไปแล้วว่าเขาเป็นโอรสของอ๋องฉี พ่อเสือไม่มีลูกสุนัข ในตอนนั้นอ๋องฉีสามารถนำกองกำลังบุกเข้าวังหลวงที่ถูกศัตรูดักซุ่มแน่นหนา สังหารโอรสกุ้ยเฟย สนับสนุนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้ครองราชย์ โอรสของเขาจะเป็นคนอ่อนโยนถ้อยทีถ้อยอาศัยได้อย่างไร
พอคิดได้เช่นนี้ พ่อบ้านก็หันไปพูดกับคนทั้งหมดว่า “พวกเจ้าได้เห็นจุดจบของทั้งสองคนนี้แล้ว นับแต่วันนี้ไป แยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ดี ห้ามปากมาก ห้ามนินทาเจ้านายลับหลัง”
หลายปีมาแล้ว ไม่เคยเกิดเรื่องโบยบ่าวจนตายคาจวนเช่นนี้มาก่อน วันนี้บ่าวทุกคนได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตา ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปนานแล้ว พอได้ยินคำพูดของพ่อบ้าน ต่างรับคำเสียงสั่นโดยพร้อมเพรียง
พ่อบ้านสะบัดมือ “กลับไปเรือนของตัวเอง ทำตามหน้าที่ตัวเองให้ดี”
บ่าวที่ตกใจจนมือเท้าอ่อนช่วยกันประคองกันและกันเดินกลับไปเรือนของนายตัวเอง
พ่อบ้านสั่งทหาร “อุดปากบ่าวที่เหลือพวกนี้ รอหยาผอ[1]มารับตัวพวกเขาไป”
ทหารรับคำ เดินขึ้นหน้า อุดปาก มัดแขนพวกเขาที่นอนแผ่หลาไม่รับรู้อะไรแล้ว โยนทิ้งไว้อีกด้าน
บ่าวรับใช้ในเรือนถูกเรียกตัวไปหมด เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลังจากบ่าวกลับเรือนของตัวเอง พระชายารองก็อดใจไม่ไหวซักถามสาวใช้ข้างกายว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
สาวใช้ฝืนสะกดกลั้นความหวาดผวา แล้วบอกเรื่องที่เพิ่งพบเห็นมาแก่นาง
พระชายารองได้ฟังโมโหกวาดถ้วยชา ชามชาทุกสิ่งทุกอย่างบนโต๊ะทิ้งลงพื้น ขบกรามก่นด่า “เป็นการเขียนเสือให้วัวกลัวได้ดีนัก เขาต้องการจะแสดงศักดากับข้า ข้าอยากจะดูนักว่าเขาจะมีชีวิตไปได้นานแค่ไหน?”
สาวใช้ได้ฟังหน้าเปลี่ยนสี ก้มหน้าขาวซีด ไม่กล้าโต้ตอบ
พระชายาเอกกลับไม่สนใจเรื่องนี้ ไม่คิดไต่ถาม เป็นแม่นมข้างกายที่ทนไม่ไหวบอกเรื่องนี้ด้วยความตกใจระคนดีใจ สุดท้ายกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “เหนียงเหนียง ซื่อจื่อน้อยโตเป็นหนุ่มแล้ว ท่านมีหลักพึ่งพาในจวนอ๋องแล้วเพคะ”
พระชายาเอกถอนหายใจ พูดว่า “แม่นม ท่านรู้หรือไม่เหตุใดวันนี้เซวียนเอ๋อร์ถึงกระทำการเ**้ยมโหด?”
แม่นมตอบความ “ผู้น้อยสืบถามมาแล้ว เห็นว่าเป็นเพราะบ่าวสองคนนั้นนำเรื่องของแม่นางในวันก่อนพูดออกไป ซื่อจื่อด้วยอารามโมโห สั่งโบยพวกเขาจนตายเพคะ”
พระชายาเอกส่ายหน้า “แม่นม ท่านรู้เพียงส่วนหนึ่ง ไม่รู้อีกส่วนหนึ่ง เซวียนเอ๋อร์นอกจากต้องการแจ้งเตือนบ่าวในจวน ยังด้วยเพราะเรื่องที่ทั้งสองพูดออกไปเป็นข่าวเสียๆ หายๆ ของแม่นางผู้นั้น แตะถูกขีดความอดทนของเขาเข้า”
รอยยิ้มบนใบหน้าแม่นมจางหาย ถามด้วยความประหวั่น “ซื่อจื่อปกป้องแม่นางผู้นั้นถึงขั้นนี้เลยหรือเพคะ?”
พระชายาพยักหน้า “เกรงว่าจะมากไปกว่านี้ เขากำลังบอกพวกเราว่าเขาตัดสินใจจะแต่งงานกับแม่นางผู้นั้นแล้ว”
แม่นมอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
หลังจากอ๋องฉีกลับมาจากท้องพระโรง ได้ยินรายงานจากพ่อบ้าน ก็มิได้คิดมากความ กลับพยักหน้าชื่นชม สั่งกำชับพ่อบ้าน “เลือกบ่าวที่มีไหวพริบสักสองสามคนส่งเข้าไปแทน”
พ่อบ้านรับคำ เลือกเฟ้นบ่าวที่มีไหวพริบจากบ่าวทั้งหมดเตรียมจะส่งไปที่เรือนหวงฝู่อี้เซวียน ยังไม่ทันก้าวพ้นประตู ก็ถูกหวงฝู่อี้ขวางเอาไว้ตรงหน้าประตู
หวงฝู่อี้พูดกับพ่อบ้านอย่างอ่อนน้อม “ท่านพ่อบ้าน ซื่อจื่อกำชับไว้ ภายในเรือนนี้ให้มีข้าคอยดูแลเพียงคนเดียวก็พอแล้วขอรับ”
หวงฝู่อี้ไม่มีสัญญาทาส ไม่ถือเป็นบ่าวในเรือน พ่อบ้านไม่เข้าใจความหมายของเขา จึงพูดประเหลาะขึ้นว่า “คุณชายอี้ เรือนหลังใหญ่เช่นนี้มีท่านคอยปรนนิบัติเพียงคนเดียว จะเหนื่อยเกินไปหรือไม่ เอาอย่างนี้ ท่านรับผู้ช่วยเก็บไว้คอยช่วยท่านปัดกวาดเรือนสักสองคนดีหรือไม่”
หวงฝู่อี้โบกมือ “ไม่ต้อง คำสั่งซื่อจื่อข้าไม่อาจฝ่าฝืน”
ตอนนี้ในใจพ่อบ้านก็ให้กริ่งเกรงหวงฝู่อี้เซวียน ได้ฟังดังนั้นก็ไม่ยืนหยัด สะบัดมือให้บ่าวพวกนั้นกลับไปทำงานตามเดิมของตัวเอง ส่วนตนเองเข้าไปรายงานเรื่องนี้กับอ๋องฉี
อ๋องฉีได้ฟังเงียบงันครู่หนึ่ง พูดว่า “ตามใจเขาเถอะ หากเขาต้องการ เจ้าค่อยส่งคนเข้าไปรับใช้”
พ่อบ้านรับคำ น้อมคำนับถอยออกไป
ไม่นานข่าวนี้ก็ถึงหูพระชายารอง
ในขณะนั้นพระชายารองกำลังตรวจดูบาดแผลบนร่างแม่นม ได้ฟังก็หัวเราะเยาะหยัน พูดกับแม่นมที่เพิ่งจะฟื้น “เขาคิดว่าทำเช่นนี้ก็จะป้องกันชีวิตตนเองพ้นหรือ? คิดในแง่ดีเกินไปแล้ว”
แม่นมสะท้อนแววตาเคียดแค้น สะใจ
พระชายารองถามสาวใช้คนสนิท “คุณชายรองเป็นอย่างไรบ้าง?”
สาวใช้ย่อตัวตอบความ “เรียนเหนียงเหนียง คุณชายรองพักฟื้นได้หนึ่งวัน พอจะมีเรี่ยวแรง ก็ไปหาซื่อจื่อที่จวนทันทีเจ้าค่ะ”
สาวใช้นึกว่าพระชายารองจะโมโห ไม่คิดว่านางเพียงแสยะยิ้มวิปลาสออกมา
สาวใช้ตกใจตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่รู้ตัว ก้มหน้าถอยไปยืนอีกด้าน
ส่วนหวงฝู่อวี้ในตอนนี้นั้น กำลังจ้องมองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยแววตาน้อยเนื้อต่ำใจ และใบหน้าที่ยังช้ำเขียวช้ำม่วง
หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร มองเขาด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
หวงฝู่อวี้ที่คิดถึงความทุกข์ทรมานที่ได้รับตลอดสามวัน เบะปากกำลังจะร้องไห้
น้ำเสียงนุ่มละมุนของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น ทว่ากลับทำให้หวงฝู่อวี้ตกใจสะดุ้งโหยง “หากเจ้ากล้าร้องไห้ ข้าจะให้อี้เอ๋อร์โยนเจ้าไปไว้ในห้องเก็บฟืนอีกครั้ง”
หวงฝู่อวี้ตกใจโบกมือเป็นพัลวัน “ข้าไม่ร้อง ข้าไม่ร้องแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนลูบศีรษะเขา ถามเสียงนุ่ม “ชิงชังพี่นักใช่หรือไม่?”
ความน้อยใจตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง หวงฝู่อวี้เบะปาก พูดเสียงสั่นเครือ “ท่านพี่ไม่เคยปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้มาก่อน แต่เพื่อนังสารเลวนั่นเพียงคนเดียว…”
“หุบปาก!” หวงฝู่อี้เซวียนชิงตัดบทเสียงกร้าว
หวงฝู่อวี้ตกใจตัวสั่น กลืนคำพูดที่ยังพูดไม่จบลงไป มองเขาตาปริบๆ
หวงฝู่อี้เซวียนชักสีหน้าเข้ม ไม่เหลือความอ่อนโยนนั้นแล้ว พูดว่า “ภายหน้าหากข้าได้ยินเจ้าพูดให้ร้ายโยวเอ๋อร์อีก ข้าจะให้นางจับเจ้ามัด แล้วเอาไปแขวนใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือน”
หวงฝู่อวี้ตกใจคอหัวหด ถอยหลังสองก้าว อยู่ให้ห่างจากเขาออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นเขาเริ่มหวาดกลัว ผ่อนสีหน้าลง พูดว่า “เจ้าจงจำไว้ให้ดี ในจวนอ๋องแห่งนี้มีพวกเราเป็นพี่น้องกันเพียงสองคน ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ขอเพียงไม่เกินขอบเขต ข้าก็จะโอนอ่อนผ่อนตามเจ้า แต่โยวเอ๋อร์ไม่ได้ นางจะเป็นพระชายาซื่อจื่อในอนาคต เป็นพี่สะใภ้เจ้า ดังนั้นต่อไปเมื่อเจอนางเจ้าจะต้องอ่อนน้อม มีมารยาท”
หวงฝู่อวี้เห็นสีหน้าเขาเป็นปกติแล้ว โพล่งปากถามอย่างลืมอาการบาดเจ็บ “เช่นนั้นเยียนเอ๋อร์จะทำอย่างไร เยียนเอ๋อร์รอท่านมาหลายปี หากท่านไปแต่งกับ…” กำลังจะพูดว่านังสารเลว พลันนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเขา รีบแก้คำพูดทันที “หากท่านไปแต่งแม่นางเมิ่งมาเป็นพระชายา เยียนเอ๋อร์จะกลายเป็นตัวตลกให้คนทั้งเมืองหลวง ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก”
หวงฝู่อี้เซวียนหาได้มีอารมณ์หวั่นไหว พูดว่า “หาได้เกี่ยวกับข้าไม่ การแต่งงานถูกกำหนดโดยพระมารดา ตอนข้ากลับมาก็บอกให้พวกเขาถอนหมั้นแล้ว เมื่อพวกเขาไม่ยินยอม ก็ปล่อยให้พวกเขาไปจัดการเองเถอะ สำหรับโยวเอ๋อร์นั้น ข้าแต่งกับนางแน่แท้แล้ว”
“ท่านพี่!” หวงฝู่อวี้ร้องเรียกอย่างไม่พอใจ “ท่านทำเกินไปแล้ว เยียนเอ๋อร์ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เหตุใดท่านถึงใจร้ายใจดำเช่นนี้?”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินประชิดตัวเขา ถามว่า “ข้ายังทำได้มากกว่านี้ เจ้าอยากรู้หรือไม่?”
หวงฝู่อวี้รู้สึกว่าหวงฝู่อี้เซวียนในตอนนี้เริ่มไม่น่าไว้วางใจ ก้าวถอยไปอีกสองก้าว แต่ก็ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ถามออกไปว่า “ท่านจะทำอะไร?”
หวงฝู่อี้เซวียนประชิดตัวเขาอีกครั้ง พูดเสียงเยียบเย็น “หากเจ้ากล้าเอ่ยถึงธิดาราชเลขานั่นต่อหน้าข้าอีก ต่อไปเจ้าอย่าหวังจะได้เข้ามาในเรือนข้าอีก”
หวงฝู่อวี้ทรุดนั่งลงกับพื้น แหงนหน้าตะลึงงันมองเขา
หวงฝู่อี้เซวียนก้มหน้าจ้องเขากลับ รอฟังคำตอบจากเขา
หวงฝู่อวี้กลืนน้ำลายหลายอึก เผยอปากออก กลับไม่มีคำพูดออกมา
พวกเมิ่งเชี่ยนโยวออกเดินหาบ้านหลายวัน ในที่สุดก็พบเรือนเหมาะสมหลังหนึ่งทางฝั่งใต้ของเมือง เจ้าของเป็นพ่อค้า ระยะหลังการค้ามีปัญหา ต้องการเงินมาหมุนเวียน จึงยอมตัดใจขายเรือนสี่ประสานสองชั้นที่อาศัยมานานหลายปีทิ้ง อีกทั้งไม่ต้องการเครื่องเรือนภายใน ยกให้ผู้มาซื้อทั้งหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกใจเรือนหลังนี้ตั้งแต่แวบแรก หลังจากเดินดูอย่างละเอียด ก็ซักถามราคา
เจ้าของบ้านกัดฟัน “หากเป็นเมื่อก่อนการซื้อเรือนเช่นนี้สักหลังต้องใช้เงินเจ็ดถึงแปดหมื่นตำลึง ข้าบอกเจ้าตามตรงแล้วกัน ตอนนี้ข้าร้อนเงิน เจ้าให้ข้าหกหมื่นก็พอ ทว่าข้ารับแต่ตั๋วเงินที่ขึ้นเงินได้ทั่วประเทศอู่เท่านั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันมองเหวินเปียว
เหวินเปียวพยักหน้า แสดงว่าราคานี้พอรับได้
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับทันควัน “ได้ ตกลงตามนี้ วันพรุ่งข้าจะนำตั๋วเงินมา พวกเราไปดำเนินเรื่องโอนบ้านให้เรียบร้อย”
เจ้าของบ้านรับคำ สั่งคนดึงประกาศขายบ้านออก นัดเวลาโอนบ้านในวันพรุ่งนี้
จัดการเรื่องบ้านเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง สั่งการกัวเฟย “วันพรุ่งหลังจากทำเรื่องโอนบ้านเสร็จ เจ้าจงไปแจ้งข่าวแก่อี้เซวียน”
กัวเฟยน้อมรับคำ คิดจะพูดบางอย่าง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน นึกประหลาดใจ พูดว่า “มีอะไรก็พูดออกมา อย่ามัวอมพะนำ”
กัวเฟยตัดสินใจ กัดฟันหน้าดำหน้าแดง พูดข่าวลือตลอดหลายวันในเมืองหลวง
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังแล้วตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วฉีกยิ้มเจิดจ้า พูดอย่างมีนัยแฝง “กัวเฟย พรุ่งนี้หลังจากย้ายเข้าบ้านแล้วค่อยส่งข่าวบอกซื่อจื่อ บอกว่าข้าอยากทดสอบเขาเสียหน่อยว่า ข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ?”
[1] หยาผอ คือ สตรีที่มีอาชีพเป็นนายหน้าค้ามนุษย์