กัวเฟยไม่เข้าใจ เงยหน้ามองเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นรอยยิ้มเจิดจ้าพิลึกพิลั่นบนใบหน้านาง พลันก็เกิดอาการสั่นสะท้านไปทั้งตัว ก้มหน้างุด เริ่มแสดงความเห็นใจซื่อจื่อ ดูจากท่าทีของแม่นางแล้ว วันพรุ่งซื่อจื่อคงไม่ได้อยู่เป็นสุขแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังคิดถึงเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ภายในห้องจู่ๆ ก็ตัวสั่นวาบอย่างประหลาด ถึงกับต้องออกไปดูท้องฟ้าด้านนอก แสงอาทิตย์จรัสจ้า เป็นต้นฤดูใบไม้ร่วงที่ลมเย็นสบาย ไร้ซึ่งลมหนาวแม้สักวูบเดียว จึงขยี้จมูกที่ทำท่าจะจามของตัวเอง แล้วกลับไปนั่งยิ้มหวานคิดถึงเมิ่งเชี่ยนโยวบนเก้าอี้ต่อ
ฮูหยินราชเลขานำเรื่องของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวบอกเล่าแก่ท่านราชเลขา ราชเลขาก็โมโหจนหน้าเปลี่ยนสี พูดว่า: “ซื่อจื่อโตเป็นบุรุษใหญ่แล้ว ต้องการหญิงสาวหาใช่เรื่องแปลกประหลาดไม่ แต่พวกเขาไม่สมควรป่าวประกาศอย่างเอิกเกริก ตบหน้าครอบครัวของพวกเราเช่นนี้ ภายหน้าข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบสหายร่วมงาน วันพรุ่งเจ้าจงไปจวนอ๋องฉี ถามพวกเขาว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ หากพวกเขากล้ายอมรับการแต่งงานนี้ ต่อให้ต้องเอาตำแหน่งของข้าเข้าแลก ข้าก็จะไปขอความเป็นธรรมต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทพร้อมอ๋องฉี”
ฮูหยินราชเลขาพยักหน้า: “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ตอนที่ซื่อจื่อหายสาบสูญไปนานหลายปี พวกเราก็หาได้มีความคิดจะถอนการหมั้นหมาย บัดนี้พวกเขากลับให้ท้ายเขาทำเรื่องบัดสี พรุ่งนี้พอเจอหน้าพระชายาอ๋องฉี ข้าจะเค้นถามให้ได้ความ หากนางยังคิดถึงความสัมพันธ์ของพวกเรา ก็ให้รีบกำหนดการแต่งงานของเยียนเอ๋อร์และซื่อจื่อให้เรียบร้อย หาไม่แล้ว จวนราชเลขาของพวกเราก็ไม่ใช่จะรังแกกันได้ง่ายๆ”
ทั้งสองปรึกษากันเสร็จ ราชเลขากำชับฮูหยินอีกว่า: “บอกพวกบ่าวเก็บเรื่องนี้ให้มิดชิด ห้ามให้เยียนเอ๋อร์รู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
ฮูหยินราชเลขาพูดว่า: “ข้ากำชับพวกบ่าวไว้แล้ว หากมีบ่าวคนไหนกล้าปากมากไปบอกนาง ข้าจะส่งตัวนางไปขาย”
เช้าวันถัดมาหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ฮูหยินราชเลขาให้คนเตรียมของกำนัล นั่งเกี้ยวมาถึงจวนอ๋องฉี
พระชายาเอกและฮูหยินราชเลขานับได้ว่าเป็นสหายรักต่อกันตั้งแต่ยังเด็ก ภายหลังคนหนึ่งแต่งงานกับอ๋อง คนหนึ่งแต่งงานกับราชเลขา ความสัมพันธ์ยิ่งให้แนบแน่น กระทั่งในตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนหายสาบสูญไป พระชายาเอกนอนซมอยู่บนเตียง ฮูหยินราชเลขาก็คอยมาเยี่ยมเยียนไม่ได้ขาด ดังนั้นคนเฝ้าประตูจึงย่อมรู้จักฮูหยินราชเลขา
ฮูหยินราชเลขาลงจากเกี้ยว คนเฝ้าประตูรีบเดินเข้ามาน้อมคำนับ พูดว่า: “ฮูหยิน ท่านมาแล้ว”
ฮูหยินราชเลขาผงกศีรษะเล็กน้อย: “ไปเรียนพระชายาเอกของพวกเจ้า บอกว่าวันนี้ข้าตั้งใจจะมาหานาง”
คนเฝ้าประตูน้อมรับคำ พูดว่า: “ฮูหยิน เชิญรอสักครู่ บ่าวจะเข้าไปรายงานเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ว่าแล้วก็ก้าวถอยหลัง แล้วหันหลังวิ่งตรงไปเรือนใหญ่
พระชายาเอกได้ยินรายงานจากบ่าว รู้ว่าฮูหยินราชเลขาเข้ามาคาดคั้นถามความแล้ว ลุกขึ้นออกไปต้อนรับถึงนอกประตู
แม้พระชายาเอกจะสุขภาพดีขึ้นมากแล้ว แต่การเดินติดต่อกันเป็นระยะทางยาวเช่นนี้ ก็ทำเอาเหนื่อยหอบไม่น้อย
ฮูหยินราชเลขาเข้าใจสุขภาพของนางดี เห็นนางออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ความขุ่นเคืองจางหายไปกว่าครึ่ง กล่าวตำหนิว่า: “เจ้าข้าหาใช่คนอื่นไกล ข้ารู้สุขภาพร่างกายเจ้าดี ข้าเข้าไปเองก็ได้แล้ว ไยต้องให้เจ้าออกมาด้วยตัวเอง”
พระชายาเอกผ่อนลมหายใจจนหายใจเป็นปกติ ถึงยิ้มตอบว่า: “ตอนนี้สุขภาพของข้าดีขึ้นมากแล้ว หมอหลวงก็บอกให้ข้าเคลื่อนไหวมากๆ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลดอก”
ว่าแล้วก็คว้ามือฮูหยินราชเลขา พานางเดินเข้าเรือนไปด้วยตัวเอง
สาวใช้จวนราชเลขายกของกำนัลเดินตามหลังไป
ด้วยเป็นห่วงสุขภาพของพระชายาเอก ทั้งสองนวยนาดไปอย่างช้าๆ สาวใช้และบ่าวตามทางเห็นฮูหยินราชเลขาบุกมาถึงเรือน ต่างส่งสายตาเป็นประกาย
พระชายาเอกพาฮูหยินราชเลขาตรงเข้ามาในห้องตัวเอง หลังจากนั่งลงแล้ว ก็สั่งสาวใช้ออกไปชงน้ำชา แล้วยิ้มพูดว่า: “เจ้าไม่ได้มาระยะหนึ่งแล้วนะ”
ฮูหยินราชเลขาส่งสายตาให้สาวใช้วางของกำนัลไว้บนโต๊ะ ถึงยิ้มพูดว่า: “ช่วงที่ผ่านค่อนข้างยุ่ง ข้าปลีกตัวมาหาเจ้าไม่ได้เลย พอดีวันนี้มีเวลาว่าง จึงได้เข้ามา นี่เป็นโสมคนหนึ่งร้อยปีสองต้นที่ข้าเพิ่งได้มา มอบให้เจ้าไว้บำรุงร่างกาย”
พระชายาเอกรีบกล่าวขอบคุณ
ฮูหยินราชเลขาปัดมือ แล้วเปิดอกพูดอย่างไม่อ้อมค้อมทันที: “เจ้าข้าไยต้องเกรงใจกันอีก คิดว่าเจ้าคงเดาจุดประสงค์การมาในวันนี้ของข้าออกแล้ว ตอนนี้ข่าวลือโหมสะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ลือกันไปต่างๆ นานา ข้าใคร่ถามความ ซื่อจื่อกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา เช่นนั้นการแต่งงานของเขาและเยียนเอ๋อร์จะทำเช่นไร?”
พระชายาเอกยกยิ้มหวาน: “ฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เซวียนเอ๋อร์ไม่มีทางกระทำเรื่องเช่นนั้น เรื่องนี้เป็นการเดาส่งเดชของบ่าวในเรือน ถูกคนไม่ประสงค์ดีนำไปพูดต่อ สองวันก่อนเซวียนเอ๋อร์ลงโทษโบยบ่าวปากมากสองคนนั้นจนตายไปแล้ว นับแต่นี้ไป จะไม่มีข่าวลือเช่นนั้นอีก”
เดิมเป็นเพียงคำพูดปัดให้พ้นตัวของพระชายาเอก ไม่คิดว่านางจะเดาถูก แต่ตอนนี้นางกลับไม่รู้ ดังนั้นพอพูดจบก็ร้อนตัว ยกถ้วยชาขึ้น แสร้งทำเป็นดื่มชา
ฮูหยินราชเลขารู้ว่าพระชายารองเป็นผู้ดูแลจวนอ๋องฉี หลังจากได้ฟังพระชายาเอกพูดก็คิดปะติดปะต่อเรื่องราว เชื่อในถ้อยวาจาของนาง ถอนใจโล่งอก พูดว่า: “ข้าว่าแล้ว ซื่อจื่อจะทำเรื่องไร้ศีลธรรม ทำลายชื่อเสียงตัวเองเช่นนั้นได้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นการลือด้วยความเข้าใจผิด ครานี้ข้าค่อยวางใจลงหน่อย แต่ว่าเรื่องของเขากับสตรีนางนั้นเป็นมาอย่างไรกันแน่”
พระชายาเอกเห็นนางเชื่อสนิทใจ ก็ให้โล่งใจ วางถ้วยชาลง พูดว่า: “สตรีนางนั้นเป็นบุตรสาวของครอบครัวที่เลี้ยงดูเซวียนเอ๋อร์มา พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ไม่เจอกันสี่ปี เซวียนเอ๋อร์คิดถึงพวกเขามาตลอด ดังนั้นพอได้เจอสตรีนางนั้น จึงไม่ทันยั้งคิด กระทำเรื่องไม่เหมาะสมออกไป”
ฮูหยินราชเลขาพยักหน้า: “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ซื่อจื่อทำเช่นนี้ก็มิใช่ความผิดอะไร จะโทษก็ต้องโทษพวกปากไม่สุข กล้าโพนทะนาข่าวลือเสียๆ หายๆ นี้ พอข้าได้ยินก็เลยไม่สบายใจ”
พระชายาเอกกำลังจะพูด ฮูหยินราชเลขากลับชิงพูดต่อ: “ทว่า ด้วยการกระทำของซื่อจื่อ เกรงว่าจะไม่ได้เป็นความสัมพันธ์ใสซื่อที่โตมาด้วยกันแต่เด็กเพียงเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อุ้มนางเข้าจวนต่อหน้าสายตาธารกำนัลเช่นนั้น”
พระชายาเอกเริ่มมีอาการใบหน้ากระตุก ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร
ฮูหยินราชเลขาไม่ทันสังเกตสีหน้านาง พูดว่า: “พวกเราก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร หากซื่อจื่อชอบสตรีนางนั้นจริงๆ รอให้เสร็จสิ้นงานแต่งของเขากับเยียนเอ๋อร์ ค่อยรับนางมาเป็นอนุก็ได้”
ฮูหยินราชเลขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว พระชายาเอกก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ฝืนยกยิ้มพูดว่า: “ต้องขอบใจความใจกว้างของพวกเจ้าแล้ว”
ฮูหยินราชเลขาโบกมือ ถามต่อว่า: “เมื่อนี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกเราก็ไม่ต้องเอ่ยอีก กลับไปข้าจะชี้แจงให้ท่านพี่ทราบเอง ที่มาวันนี้ด้วยอยากถามอีกว่า การแต่งงานของซื่อจื่อและเยียนเอ๋อร์จะกำหนดได้เมื่อใด?”
พระชายาเอกรอยยิ้มแข็งค้าง พูดเลี่ยงไปว่า: “เยียนเอ๋อร์เพิ่งจะสิบห้าปี อายุยังน้อย ข้าคิดว่ารอปีหน้า ค่อยหารือเรื่องการแต่งงานของพวกเขาเถอะ”
ฮูหยินราชเลขาพูดว่า: “พวกเราก็ไม่อยากให้เยียนเอ๋อร์รีบแต่งงาน ดังนั้นเรามากำหนดการแต่งงานไว้ก่อน พอมอบสินสอดแล้ว จะได้กำหนดวัน พวกเราจะได้มีเวลาเตรียมเครื่องแต่งงานให้เยียนเอ๋อร์ด้วย”
พระชายาเอกไม่อาจหลบเลี่ยงได้อีก จำต้องพูดว่า: “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไม่ได้ รอท่านอ๋องกลับมา พอพวกเราหารือกันแล้ว จะให้คำตอบเจ้าอีกที”
เรื่องภายในเช่นนี้ไฉนเลยจะต้องหารือกับท่านอ๋องอีก ฮูหยินราชเลขาเคลือบแคลงขึ้นมาฉับพลัน ทว่าพอคิดได้ว่าพระชายารองมีอำนาจสิทธิ์ขาดภายในจวนอ๋องฉี คาดว่าจะต้องหารือเรื่องสินสอดทองหมั้นกับท่านอ๋อง จึงพยักหน้า: “ได้ หวังว่าพวกท่านจะกำหนดวันโดยไว แล้วรีบแจ้งข่าวแก่ข้า”
พระชายาเอกฝืนยิ้มแห้งๆ พยักหน้า
เมื่อเรื่องไม่ใช่ความจริง ฮูหยินราชเลขาหมดสิ้นความขุ่นมัว หลังจากพูดเรื่องนี้เสร็จ ก็พูดคุยสัพเพเหระกับพระชายาเอกต่อ
หวงฝู่อี้เซวียนขจัดคนในเรือนออกไปจนหมด ย่อมไม่รู้เรื่องการมาถึงของฮูหยินราชเลขา ในตอนนี้กำลังดื่มยาที่หวงฝู่อี้ต้มมาล้างพิษให้เขา
พอดื่มเสร็จ คืนชามให้หวงฝู่อี้ แล้วถามว่า: “ยังไม่มีข่าวจากโยวเอ๋อร์หรือ?”
ไม่มีคนนอก หวงฝู่อี้ก็เป็นตัวของตัวเองขึ้นมาก พูดแหย่เย้า: “ชั่วเวลาประเดี๋ยวนี้ท่านถามไม่รู้กี่ครั้งแล้ว หากพี่โยวเอ๋อร์ยังไม่ส่งข่าวมา คาดว่าแม้แต่ข่าวเที่ยงท่านก็คงจะกินไม่ลงแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนในตอนนี้จะต้องคิดไม่ถึงว่า เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังได้รับผลกระทบจากข่าวลืออย่างหนัก จนแทบอยากจะฉีกเนื้อเขาแล้ว
พอพวกเมิ่งเชี่ยนโยวจองบ้านเสร็จ ก็กลับมาโรงเตี๊ยม คนในโรงเตี๊ยมต่างใช้สายตาแปลกประหลาดมองนาง
แม้เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่แยแสสายตาเช่นนี้ แต่การที่เดินไปที่ไหนก็ถูกสายตาเช่นนี้จับจ้องทำให้รู้สึกไม่สบายตัว บัญชีแค้นนี้ย่อมต้องชำระกับหวงฝู่อี้เซวียน
พวกกัวเฟยก็รับรู้ได้ถึงแววตาพิลึกพิลั่นพวกนั้น ต่างรู้สึกเห็นใจซื่อจื่อ คิดว่าตอนที่ไปส่งข่าวบอกซื่อจื่อที่จวน ควรบอกเตือนเขาหรือไม่ ทว่าพอคิดถึงวิธีจัดการคนอย่างวิปริตของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็เลิกล้มความคิด เมื่อซื่อจื่อมาถึงอย่างมาก็ถูกสั่งสอนสักยก แม่นางคงไม่ลงมือหนัก แต่หากรู้ว่าพวกเขาแอบเตือนซื่อจื่อก่อน คาดว่าจะต้องจัดการพวกเขาไม่ไหนไม่ได้ไปครึ่งเดือน
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่ากัวเฟยกำลังคิดมากมายหลายตลบ สั่งการเขา: “ไปบอกหลงจู๊ว่าพวกเราได้บ้านแล้ว พรุ่งนี้หลังจากโอนบ้านก็จะย้ายเข้าไปอยู่ทันที ให้เขาสรุปยอดเงินค่าที่พักและอาหารของหลายวันนี้เตรียมไว้”
กัวเฟยรับคำ รีบลงไปชั้นล่างบอกหลงจู๊
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในห้อง นั่งบนม้านั่ง เปิดกล่องออก หยิบจดหมายที่เหลือไม่กี่ฉบับออกมาอ่านด้วยใจจดจ่อ
เช้าวันถัดมา หลังจากกินอาหารเช้าในห้องตัวเองเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็นำทุกคนเดินลงมา
เหวินเปียวและเหวินหู่และองครักษ์หลวงอีกสามนายแยกไปจูงรถม้าออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวยืนรอหน้าโต๊ะคิดเงิน
หลงจู๊สรุปยอดเงินเตรียมไว้แล้ว พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ก็หยิบสมุดบัญชีออกมา วางไว้ตรงหน้านาง ชี้ยอดเงินแล้วพูดว่า: “นี่เป็นค่าใช้จ่ายตลอดหลายวันที่ผ่านมา แม่นางเชิญตรวจดูก่อน?”
ราคาห้องพักได้ตกลงกันตอนเข้าพักแล้ว พอเห็นสมุดบัญชี ที่มีเพียงค่าห้องพักสองสามวันมานี้ ไม่มีค่าอาหาร จึงยิ้มพูดว่า: “หลงจู๊คิดผิดแล้ว ค่าอาหารของพวกเราท่านยังไม่ได้คิดรวมเข้าไป”
หลงจู๊ปัดมือยิ้มพูด: “ทุกท่านเพียงกินอาหารเช้าของโรงเตี๊ยมไม่กี่มื้อเท่านั้น ไม่ต้องคิดเงินก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังยิ้มพูดว่า: “เช่นนั้นก็ขอบคุณหลงจู๊แล้ว”
“แม่นางไม่ต้องเกรงใจ ท่านเป็นคนมีบุญวาสนา การที่พวกท่านมาพักโรงเตี๊ยมของพวกเรา จักต้องนำพาโชคลาภมาให้โรงเตี๊ยมของพวกเราขอรับ” หลงจู๊พูดประจบสอพลอ
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาหมายความถึงสิ่งใด ยิ้มอ่อนไม่ได้พูดอะไร พอจ่ายเงินเสร็จก็เดินออกมา
พวกเหวินเปียวบังคับรถม้าออกมาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปบนรถม้า รถม้าขบวนใหญ่มุ่งหน้าไปฝั่งใต้ของเมือง
คนในโรงเตี๊ยมเห็นรถม้าไปไกลแล้ว เสียงวิพากษ์อื้ออึงดังระงม
มาถึงฝั่งใต้ของเมือง เจ้าของเรือนยืนรออยู่แล้ว พอเห็นพวกเขาเข้ามาก็พูดทักทายเล็กน้อย แล้วพาพวกเขาไปโอนบ้าน
เหวินเปียวบังคับรถม้า กัวเฟยและองครักษ์หลวงสองนายเดินตามหลัง คนที่เหลือเฝ้ารถม้ารอหน้าประตูเรือน
เอกสารการโอนบ้านครบถ้วน หลังจากจ่ายเงินค่าโอน ไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยววางตั๋วเงินหกหมื่นตำลึงให้เจ้าของบ้านเดิมต่อหน้าเจ้าหน้าที่ดำเนินการ
เจ้าของบ้านนับเงินอย่างละเอียด ครบหกหมื่นตำลึงพอดี จึงประสานมือพูดว่า: “นับแต่นี้ไปเรือนหลังนั้นเป็นของแม่นางแล้ว หวังว่าท่านจะดูแลรักษามันอย่างดี สักวัน หากสภาพคล่องทางการเงินข้าดีขึ้น จะกลับมาขอซื้อคืนจากแม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด: “จากนี้ไปที่นั่นจะเป็นบ้านของข้า ข้าจักต้องดูแลรักษาเป็นอย่างดี สำหรับการซื้อคืนนั้น เอาไว้ท่านมีเงินค่อยว่ากันเถอะ”
เจ้าของบ้านเห็นนางพูดอย่างไร้ช่องโหว่ แหงนหน้าหัวเราะลั่น หลังจากมอบกุญแจให้นาง ก็นั่งรถม้าจากไป
พวกเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงเรือน
พอลงจากรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวก็มอบกุญแจให้กัวเฟย
กัวเฟยเดินมาหน้าประตู หลังจากปลดกลอนประตูก็ผลักประตูใหญ่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปก่อน
กัวเฟยเดินตามเข้าไปถึงประตูหลัง แล้วเปิดประตูหลังออก รถม้าห้าคันทยอยตามกันเข้ามาจากประตูหลัง
สภาพภายในเรือนยังเป็นเหมือนเมื่อวานที่เห็นไม่ผิดเพี้ยน
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในเรือนใหญ่ สำรวจมองสิ่งประดับภายในห้อง เดินออกมาสั่งพวกเขา: “พวกเจ้าขนย้ายสิ่งของลงจากรถม้าเสร็จ จงเข้าไปเก็บกวาดทุกซอกทุกมุมของทุกห้องให้สะอาด”
คนทั้งหมดรับคำ รีบขนย้ายสิ่งของ แล้วเดินไปตักน้ำหลังเรือน เข้าไปหาเศษผ้าจำนวนหนึ่งจากห้องบ่าว เริ่มจากปัดกวาดเช็ดถูสิ่งของในเรือนใหญ่ก่อน
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปทั่วเรือน สำรวจดูทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียด เกิดภาพแผนผังเรือนขึ้นภายในใจ
เดินครบหนึ่งรอบกลับมายังเรือนใหญ่ พวกกัวเฟยยังคงเช็ดถู เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า พูดว่า: “นี่ก็สายมากแล้ว ข้าเห็นหลังเรือนยังพอมีฟืน เหวินเปียวจงไปซื้อผัก ข้าจะทำของอร่อยให้พวกเจ้ากิน”
พวกกัวเฟยต่างรู้ดีว่า อาหารเลื่องชื่อของเหลาจวี้เสียนล้วนถูกสอนมาโดยเมิ่งเชี่ยนโยว ตอนนี้ได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะทำอาหารให้พวกเขาเอง ต่างดีอกดีใจ รีบรบเร้าเหวินเปียวให้ออกไปซื้อผัก
เหวินเปียวเข้ามาหยิบตระกร้าสานใหญ่สองใบในครัว ตะโกนเรียกเหวินหู่ให้ไปด้วยกัน
กัวเฟยนึกอะไรได้ ชะโงกหน้าไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างอ่อนน้อม: “แม่นางขอรับ ซื่อจื่อไม่ได้กินอาการที่ท่านทำมาสี่ปีแล้ว ข้าควรไปตามเขามาด้วยหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา พูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม: “ดูเจ้าจะพะวงถึงนายของพวกเจ้ายิ่งนัก”
กัวเฟยไหวพริบดี รีบปัดมือเป็นพัลวัน: “มิได้ๆ ตอนนี้แม่นางต่างหากที่เป็นนายของพวกเรา พวกเราเชื่อฟังแต่ท่านเท่านั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจลากเสียงยาวถาม: “อย่างงั้น…หรือ?”
บนหน้าผากมีเหงื่อไหลติ๋งๆ ลงมาแล้ว กัวเฟยรีบพยักหน้างุด: “ใช่ๆๆ จริงแท้แน่นอนขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงรอยยิ้มเดิมไว้ สั่งการเขา: “เมื่อเป็นเช่นนี้ ประเดี๋ยวเจ้าจงรับผิดชอบเผาไฟเถอะ”
กัวเฟยร้องโอดครวญในใจ แม่นางรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ถนัดการเผาไฟที่สุด ยังจะให้เขาไปเผา นี่เป็นการลงโทษที่เขาพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมา นึกเสียใจจนแทบอยากจะตบหน้าตัวเองสองสามฉาด เขาสาบานกับตัวเองในใจ ต่อไปจะไม่ยุ่งเรื่องนายผู้ชายอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาเขา หัวเราะชอบใจ เดินกลับมาเรือนใหญ่
พวกเหวินเปียวซื้อผักกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวดูเสร็จ ทำกับข้าวสี่อย่าง แต่ละอย่างจะทำสามจานใหญ่พูนๆ
รู้ว่าหากตนเองนั่งอยู่พวกเขาจะกินไม่สะดวก หลังจากทำอาหารเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบถาดตักอาหารบางส่วน ตักข้าวสวยเดินไปกินที่เรือนใหญ่
เพิ่งจะเดินออกมาจากครัว เสียงยื้อแย่งภายในห้องก็ดังลอดออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มส่ายหน้า เดินกลับมาเรือนใหญ่ หลังจากกินอาหารเสร็จก็สั่งกัวเฟยยกถ้วยตะเกียบเปล่าไปล้างให้สะอาด
กัวเฟยเดินก้มหน้าเข้ามา เก็บกวาดถ้วยชามออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีของเขา นึกได้ว่าผู้ชายอกสามศอกเยี่ยงเขาไม่เหมาะสมจะทำเรื่องพวกนี้ ครุ่นคิดเรื่องการซื้อสาวใช้จำนวนหนึ่งและแม่ครัว เพราะอย่างไรนางก็ไม่อาจทำกับข้าวให้พวกเขากินได้ทุกวัน อีกอย่าง เสื้อผ้าของพวกเขาก็ต้องมีคนคอยซักล้างให้
พอกินอาหารเที่ยงเสร็จ พักผ่อนเล็กน้อย มองดูท้องฟ้า คิดว่าตอนนี้หวงฝู่อี้เซวียนน่าจะกลับมาจากกั๋วจื่อเจียนแล้ว จึงไปสั่งกัวเฟย: “ไปเชิญนายของพวกเจ้ามาที่นี่”
กัวเฟยรับคำ จูงม้าออกไปจากประตูข้าง แล้วควบม้ามาถึงหน้าประตูจวนอ๋องฉี เขาพลิกตัวลงจากหลังม้า พูดกับคนเฝ้าประตูอย่างเกรงใจ: “รบกวนท่านไปเรียนซื่อจื่อหน่อยเถิด บอกว่าคุณหนูของพวกเราเรียนเชิญ”
วันนั้นพวกกัวเฟยยืนรอเมิ่งเชี่ยนโยวหน้าประตูจวนครึ่งวัน คนเฝ้าประตูต่างจำเขาได้ รีบวิ่งเข้าไปรายงานทันที
หลายวันแล้วที่ไม่มีข่าวคราวเลย หวงฝู่อี้เซวียนกำลังร้อนอกร้อนใจ ได้ยินคำรายงานจากคนเฝ้าประตู ก็รีบรุดออกไปพร้อมหวงฝู่อี้ทันที
กัวเฟยถวายคำนับ พูดว่า: “พวกเราซื้อเรือนใหม่ได้แล้ว แม่นางให้ข้าเข้ามาเรียนเชิญนายท่านเข้าไปขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนดีใจพูดว่า: “รีบนำทาง พาพวกเราไป”
กัวเฟยไม่ขยับ พูดว่า: “เรือนอยู่ฝั่งใต้ของเมือง ห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล นายท่านขี่ม้าไปจะดีกว่าขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว สั่งหวงฝู่อี้ไปจูงม้าสองตัวออกมา แล้วถามกัวเฟย: “เหตุใดถึงไปซื้อฝั่งใต้ของเมือง เงินไม่พอหรือ?”
กัวเฟยตอบความ: “นี่เป็นการตัดสินใจของแม่นาง ผู้น้อยไม่อาจทราบได้”
หวงฝู่อี้เซวียนคลายหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น: “ประเดี๋ยวเจอนาง ข้าจะถามให้กระจ่างเทียว”
กัวเฟยครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กัดฟันพูดออกมา: “แม่นางทราบเรื่องข่าวลือในเมืองหลวงแล้ว ขอนายท่านเตรียมตัวให้พร้อมด้วย”