เตรียมพร้อมอะไร ความหมายนั้นชัดแจ้งอยู่แล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนตกตะลึงเล็กน้อย พลันคิดถึงข่าวลือที่ยิ่งลือก็ยิ่งเสื่อมเสียหลายวันก่อน หัวใจกระตุกไหว ยื่นหน้าเข้าใกล้กัวเฟย หยั่งเชิงถามเขา “โยวเอ๋อร์โมโห?”
กัวเฟยส่ายหน้าแล้วพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนไม่เข้าใจ
กัวเฟยพูดว่า “ผู้น้อยก็ไม่ทราบ เห็นชัดๆ ว่าหลังจากแม่นางได้ยินก็โมโหมาก แต่นางกลับเอาแต่ยิ้ม ผู้น้อยไม่อาจตัดสินได้ขอรับ”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนถึงกับเสียวสันหลังวาบ รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโมโหเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว เขาเริ่มขลาดกลัว ถามเสียงแผ่ว “เจ้าว่า ข้าควรจะรออีกสองสามวันค่อยเข้าไปดีหรือไม่?”
กัวเฟยส่ายหน้า “นายท่าน ผู้น้อยว่าท่านอย่าทำเช่นนั้นเลย ด้วยนิสัยของแม่นาง หากท่านไม่เข้าไปวันนี้ เกรงว่าต่อไปคงจะไม่มีโอกาสเหยียบประตูใหญ่เรือนของพวกเราอีกนะขอรับ”
คนเฝ้าประตูเห็นทั้งสองกระซิบกระซาบเป็นนาน เกิดความระแวงสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถาม
หวงฝู่อี้จูงม้าสองตัวออกมา ทั้งสามกระโดดขึ้นหลังม้า มาถึงเรือนที่เพิ่งซื้อใหม่โดยมีกัวเฟยเป็นคนนำทาง
หวงฝู่อี้เซวียนพลิกตัวลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว โยนเชือกให้หวงฝู่อี้ เดินจ้ำเข้ามาถึงลานเรือน
ทั้งเรือนเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงจ้อกแจ้ก
หวงฝู่อี้เซวียนสำรวจโดยละเอียด แล้วเดินตรงไปเรือนใหญ่
เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าเรือนใหญ่ เห็นสภาพการณ์กลางลานเรือนก็หยุดชะงัก ขบคิดว่าหากตนเองหนีออกไปตอนนี้จะยังทันการหรือไม่
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่กลางลานเรือน
เหวินเปียวและเหวินหู่รวมถึงองครักษ์หลวงยืนขนาบข้างกลางลานเรือน ต่างมองมาที่เขาอย่างเห็นใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นความคิดของหวงฝู่อี้เซวียนหมดแล้ว มองเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มพูดว่า “ซื่อจื่อหวงฝู่ เดินมาถึงหน้าประตูแล้ว เหตุใดถึงยังไม่เข้ามา ต้องการให้ข้าส่งคนไปหามท่านเข้ามาหรือ?”
หวงฝู่อี้เซวียนฉีกยิ้มเจิดจ้า เดินเข้าไปด้านในอย่างไม่ลังเล ยกยิ้มพูดว่า “โยวเอ๋อร์ ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าแล้ว หลายวันมานี้ยาวนานราวผ่านไปหลายปี”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเข้าด้วยรอยยิ้มหวานหยดย้อย “อ่อ? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าซื่อจื่อหวงฝู่ดูจะระรี่ระริกนัก”
คำพูดนี้เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มเอ่ยความ แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอำมหิต บรรยากาศโดยรอบเยียบเย็นฉับพลัน
ส่วนองครักษ์หลวงที่ยืนขนาบทั้งสองด้านไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง พยายามลดการมีอยู่ของตัวเองลง
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือเป็นพัลวัน พูดอธิบาย “โยวเอ๋อร์ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด…”
พูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดตัดบท “เชิญซื่อจื่อหวงฝู่บอกหน่อยเถิด ที่ข้าคิดคืออย่างไรเล่า?”
หวงฝู่อี้เซวียนกลืนน้ำลาย พูดว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนพูดออกไป แต่เป็นบ่าวสองคนในเรือนข้าที่โพนทะนาออกไป…”
เขาไม่อธิบายยังดีเสียกว่า พอเขาเอ่ยปากอธิบาย ลมโทสะเมิ่งเชี่ยนโยวก็ปะทุพลุ่งขึ้น เดินเกรี้ยวกราดขึ้นหน้าสองก้าว
หวงฝู่อี้เซวียนพูดไปพลางจับจ้องเมิ่งเชี่ยนโยวเขม็ง เห็นนางเดินตรงเข้ามา สบถว่าไม่ได้การ แล้วหันหลังพุ่งพรวดออกไปจากลานเรือน
กัวเฟยและหวงฝู่อี้เพิ่งจะผูกม้าเสร็จ กำลังเดินมาถึงหน้าทางเข้าเรือนใหญ่ เห็นหวงฝู่อี้เซวียนพุ่งถลาออกมา ทั้งสองตื่นตะลึง กำลังจะเอ่ยปากถาม เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไล่ตามออกมา
ทั้งสองมึนงง
คนทั้งลานเรือนต่างข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า แล้วกรูกันออกไปโดยไม่นัดหมาย
เมิ่งเชี่ยนโยวไล่ตามเขาไม่ทัน ร้องก่นด่า “เจ้าตัวเสนียดใจดำอำมหิต แม้แต่กับข้าก็กล้าวางแผน วันนี้ข้าจะอัดเจ้าให้ไปไหนไม่ได้ไปครึ่งเดือน”
หวงฝู่อี้เซวียนน้ำท่วมปาก คิดจะหยุดเพื่ออธิบาย แต่ก็กลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะอัดเขาจริงๆ จำต้องเดินไปพูดไปว่า “โยวเอ๋อร์ ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย เป็นการเดาส่งเดชของบ่าวสองคนนั้น ข้าสั่งคนโบยพวกเขาตายไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังโกรธควันออกหู ฟังคำอธิบายของเขาไม่เข้าหูแล้ว เดินไล่หลังมาติดๆ หมายจะคว้าตัวเขามาอัดให้สาใจ ระบายความแค้นที่อัดแน่นเต็มอก
สี่ปีมานี้หวงฝู่อี้เซวียนมีวรยุทธ์ก้าวหน้าไปไม่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวไล่ตามจนหอบ ก็ทำอะไรเขาไม่ได้
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นแล้วให้ปวดใจ หยุดฝีเท้า พูดว่า “พอแล้วโยวเอ๋อร์ เจ้าฟังข้าพูด…” ยังพูดไม่ทันขาดคำ ก็เห็นลำแสงหนึ่งลอยพุ่งเข้ามา
หวงฝู่อี้เซวียนตกใจตัวสั่นวาบ ขวัญผวาจนต้องกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีกำลังภายใน ไม่มีวิชาตัวเบา ย่อมกระโดดขึ้นต้นไม้ไม่ได้ ใช้วาจากราดเกรี้ยวพูดใต้ต้นไม้ว่า “ข้าจะนับถึงสาม หากเจ้าไม่ลงมา ก็ไม่ต้องลงมาอีกตลอดไป”
หวงฝู่อี้เซวียนได้ฟังพูดต่อรอง “เจ้ารับปากก่อนว่า จะไม่ใช้กริช แล้วข้าจะลงไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา ตะโกนนับทันที “หนึ่ง”
หวงฝู่อี้เซวียนกระสับกระส่าย ลังเลว่าจะลงไปหรือไม่
เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นอีกครั้ง “สอง”
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงลังเล
เมิ่งเชี่ยนโยวแหงนหน้ายิ้มอ่อนให้เขา พูดว่า “สาม”
สิ้นเสียง หวงฝู่อี้เซวียนก็กระโดดลงมา พูดสอพลออย่างระแวดระวัง “ข้าลงมาแล้ว ข้าลงมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนถอยหลังหนึ่งก้าว
เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดกร้าว “ห้ามขยับ!”
หวงฝู่อี้เซวียนตกใจไม่กล้าขยับอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปเบื้องหน้าเขา น้ำเสียงเจือแววอำมหิต “ไม่เจอหลายปี วรยุทธ์ของซื่อจื่อรุดหน้าไม่น้อยเทียว”
หวงฝู่อี้เซวียนได้ฟังถึงกับขนหัวลุกชัน ก้าวถอยไปหลายก้าว เตรียมพร้อมเพื่อวิ่งหนีอีกครั้ง
เห็นเขาตั้งท่า เมิ่งเชี่ยนโยวแอบหัวเราะในใจ โทสะมลายหายไปหลายส่วน เก็บคืนกริช สืบเท้าเข้าหา บิดหูดึงเขาเดินไปเรือนใหญ่
หวงฝู่อี้เซวียนสูงกว่านางมาก ได้แต่ก้มตัวเดินกระย่องกระแย่งตามนางไป
เหล่าองครักษ์หลวงที่รอดูเรื่องสนุกเห็นทั้งสองคนกลับมาแล้ว รีบกลับเข้ามาในลานเรือน ยืนสงบนิ่งด้วยอาการไม่ปกติ เหลือเพียงหวงฝู่อี้และกัวเฟยที่ยังยืนอ้าปากตะลึงค้างไม่ได้สติกลับมาหน้าทางเข้าเรือน
ตอนอี้เซวียนที่ถูกดึงหูเดินผ่านพวกเขาทั้งสอง ได้ส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้พวกเขาช่วยพูดขอร้องแทนตัวเอง
กัวเฟยลนลานส่ายหน้า ก้าวถอยไปหลายก้าว ส่งสายตาให้เขาช่วยเหลือตัวเองไปก่อน
หวงฝู่อี้เม้มปาก ร้องเรียกเสียงแผ่ว “พี่โยวเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับมามองเขา แววตาดุดันนั้นทำเขาตัวสั่นสะท้าน คำพูดขอร้องแปรเปลี่ยนเป็น “คือว่า ซื่อจื่อต้องไปกั๋วจื่อเจียนทุกวัน” ความหมายคือนางอย่าลงมือหนักเกินไป หากคนอื่นรู้เข้าจะไม่ดี
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความหมายของเขา พูดว่า “วางใจ ข้าจะไม่อัดใบหน้าเขา”
หวงฝู่อี้ตะลึงงัน
เมิ่งเชี่ยนโยวดึงหูอี้เซวียนเดินเข้ามาในห้อง สั่งกำชับทุกคน “พวกเจ้าเฝ้าหน้าประตูเรือนให้ดี ไม่มีคำสั่งข้า ต่อให้ภายในห้องเกิดเสียงสะเทือนเลือนลั่นพวกเจ้าก็ห้ามเข้ามา”
คนทั้งหมดรับคำ ส่งสายตาเห็นใจให้หวงฝู่อี้เซวียนโดยพร้อมเพรียง
หวงฝู่อี้เซวียนถูกดึงหูเดินเข้ามาในห้อง “ปังปัง”เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวใช้เท้าปิดประตูทั้งสองข้าง
คนด้านนอกต่างตกใจสั่นผวา ยื้อแย่งกันสาวเท้าเดินออกไป กริ่งเกรงว่าหากเดินช้า จะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย ทว่าหลังจากเดินพ้นประตูลานเรือนออกมา ก็ทนความใคร่รู้ไม่ไหว ต่างเกาะประตูลานเรือนมองลอดเข้าไปด้านใน
หวงฝู่อี้ถูกเบียดจนไม่มีตำแหน่งที่ดี ให้งุ่นง่านว้าวุ่นใจ
หลังจากที่คนทั้งหมดได้ยินเสียงใสกังวานไม่กี่เสียง เสียงร่างหวงฝู่อี้เซวียนวิ่งหัวซุกหัวซุนไปทั่วห้องก็ดังแว่วผ่านหน้าต่างออกมา ตามติดด้วยเสียงโมโหโทโสของเมิ่งเชี่ยนโยว “ถือว่าตัวเองมีวิชาตัวเบา กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ ดูว่าภายในห้องนี้ข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร แน่จริงก็หลบไปอยู่บนขื่อคานเสียเล่า”
ด้วยวรยุทธ์ในตอนนี้ของหวงฝู่อี้เซวียน จะกระโดดขึ้นไปบนคานก็หาใช่เรื่องยากไม่ เพียงแต่เขาไม่กล้า คาดว่าหากตัวเองกระโดดขึ้นไปจริงๆ ชาตินี้ก็อย่าหวังจะได้ลงมาอีก ทำได้เพียงวิ่งไปทั่วห้อง ทั้งต้องคอยหลบถ้วยชา ชามชาที่เมิ่งเชี่ยนโยวเขวี้ยงเข้ามา
หวงฝู่อี้ได้ยินเสียงเอะอะภายในห้อง ร้อนใจกระสับกระส่าย เกาะตัวพวกเขาดันร่างเข้าไปด้านใน พูดว่า “พวกเจ้าหลีกทางให้ข้าดูบ้าง”
คนทั้งหมดกำลังลุ้นใจจดจ่อ ไฉนเลยจะได้ยินคำพูดเขา
ภายในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวที่ได้ระบายอารมณ์ โทสะในใจถึงได้ปลดปล่อยออกไปอย่างแท้จริง กระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นนางยอมรามือ เดินย่องเข้าไปเบื้องหน้านางอย่างระวัง พูดประจบเอาใจ “เหนื่อยแล้วสิ ข้าทุบหลังให้ดีหรือไม่?”
เห็นท่าทีฉอเลาะเอาใจของเขา “พู่” เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะออกมาดังพรืด
ในความเป็นจริงหวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยเลย เขาไม่รู้เลยว่าข่าวลือแพร่สะพัดออกไปได้อย่างไร ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่นแล้ว มองสีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวตะล่อมอธิบายอย่างระวัง “โยวเอ๋อร์ เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมีข่าวลือออกไปเช่นนั้นได้ หลังจากอี้เอ๋อร์บอกข้า ข้าได้สั่งโบยบ่าวปากพล่อยสองคนที่เดาส่งเดชจนตาย ส่วนคนที่เหลือในเรือนข้าก็ขายทิ้งไปทั้งหมด”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มถาม “จากนั้นเล่า…?”
หวงฝู่อี้เซวียนเริ่มประหวั่นร้อนตัว ดวงตาล่อกแล่ก ลูบจมูกตัวเองพูดอะไรไม่ออก
“เจ้าถึงกับโบยบ่าวจนตาย เหตุใดถึงไม่ออกมาแก้ข่าว อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่”
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะแหะ พูดว่า “ข้าก็แค่ไม่มีทางเลือก หากธิดาราชเลขาได้ยินข่าวลือนี้ ขอถอนหมั้นด้วยตัวเอง เช่นนี้มิเท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจบดขยี้เท้าไปบนหลังเท้าของเขา
หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียงร้องครวญ
กลุ่มคนที่คอยฟังความเคลื่อนไหวด้านใน ได้ยินเสียงร้องครวญของเขา ต่างตกใจสะดุ้งโหยง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “สี่ปีแล้ว ข้านึกว่าเจ้าจะเก่งกาจขึ้นสักเพียงไหน ที่แท้กลับรู้จักเพียงการใช้วิธีหน้าไม่อายนี้มาแก้ปัญหา”
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นนางโมโหขึ้นอีก ลนลานโบกมืออธิบาย “โยวเอ๋อร์ ข้าผิดไปแล้ว พอกลับไปข้าจะให้อี้เอ๋อร์ป่าวประกาศความจริงออกไป ไม่ถึงสองวันก็จะล้างมลทินให้เจ้าได้ สำหรับเรื่องการแต่งงานกับธิดาราชเลขา เจ้าวางใจ ภายในสามเดือนข้าจะต้องคิดหาวิธีถอนหมั้นได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวผ่อนคลายสีหน้าลง
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นเช่นนั้น รีบเข้าพูดปะเหลาะ “วิ่งตั้งนานคงหิวน้ำแย่แล้ว ข้าจะสั่งคนไปชงชามาให้เจ้านะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ไม่พูดอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาเปิดบานประตูออก ตะโกนสั่งออกไป “โยวเอ๋อร์กระหายน้ำแล้ว พวกเจ้าจงไปชงชาเข้ามา ส่วนอีกสองคนให้เข้ามาเก็บกวาดด้านใน”
คนทั้งหมดเห็นเขาเปิดประตู ต่างยืดตัวยืนหลังตรง ขานรับคำสั่งจากเขา แยกย้ายกันไปทำงาน
กัวเฟยนำองครักษ์หลวงสองคนเข้ามา หลังจากเก็บกวาดเศษข้าวของที่แตกกระจายภายในห้องเสร็จ ก็รีบถอยแนบออกไป
หวงฝู่อี้นำองครักษ์หลวงอีกสองคนยกน้ำร้อนเข้ามา เพื่อจะชงชา กลับพบว่ากาน้ำชาถูกเมิ่งเชี่ยนโยวขว้างแตกไปแล้ว ทำได้เพียงเทน้ำลงในชาม ประคองถือเข้ามา พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “แม่นางเมิ่ง ซื่อจื่อ ไม่มีกาน้ำชาแล้ว ชงชาไม่ได้ พวกท่านใช้ชามดื่มน้ำไปก่อนเถอะ เหวินเปียวกำลังออกไปซื้อมาแล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งวิ่งไล่ทั้งตบตี กระหายน้ำไม่น้อย จึงไม่พูดอะไร ยกชามขึ้นเป่า ค่อยๆ ดื่มลงคอไปทีละคำ
หวงฝู่อี้เซวียนก็ยกชามอีกใบขึ้นเป่า พอเมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำในชามนั้นหมด ก็ยื่นชามอีกใบให้นางทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง
หวงฝู่อี้เซวียนส่งยิ้มประจบเอาใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร ยกชามขึ้นดื่มจนหมด แล้ววางชามไว้บนโต๊ะ
หวงฝู่อี้เดินขึ้นหน้า เก็บชามออกไปอย่างว่องไว
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “วันนี้เพิ่งจะย้ายเข้ามา ยังไม่ได้ตระเตรียมข้าวของ หากเจ้าว่างไม่มีอะไรทำ ประเดี๋ยวออกไปซื้อของเข้าบ้านกับข้าก็แล้วกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนปรารถนาอย่างที่สุด สิ้นเสียงนางก็พยักหน้าหงึก “ได้ ข้าจะไปกับเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีกว่า “ข้ายังต้องการซื้อสาวใช้จำนวนหนึ่งและแม่ครัวหนึ่งอัตรา เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ไหนมีคนให้ซื้อขายบ้าง”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ พ่อบ้านเป็นคนซื้อบ่าวในจวนเข้ามา ข้าก็ไม่เคยซักถาม ทว่า อี้เอ๋อร์น่าจะรู้ว่าสถานที่เช่นนี้อยู่ที่ไหน พวกเราเรียกเขามาถามดู”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนออกไปด้านนอก “อี้เอ๋อร์ เจ้าเข้ามาหน่อยเถอะ”
หวงฝู่อี้ขานรับเดินเข้ามา น้อมถาม “ซื่อจื่อ ท่านมีเรื่องอะไรจะสั่งการขอรับ?”
“เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าสถานที่ค้ามนุษย์อยู่ที่ไหน โยวเอ๋อร์ต้องการซื้อสาวใช้หลายอัตราเข้ามา” หวงฝู่อี้เซวียนถาม
“สถานที่ค้ามนุษย์ในเมืองหลวงมีหลายแห่ง แต่ละแห่งจะมีการซื้อขายคนหลายระดับแตกต่างกัน ไม่ทราบว่าแม่นางเมิ่งต้องการซื้อสาวใช้เช่นใด?” หวงฝู่อี้ถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ข้าต้องการซื้อพวกนางมาช่วยดูแลบ้าน ปัดกวาดเช็ดถูเรือน ช่วยข้าทำอาหาร ซักเสื้อผ้าให้พวกองครักษ์หลวง ดังนั้นข้าไม่ต้องการเด็กที่อายุยังน้อย และไม่ต้องการพวกคุณหนูตกอับ”
หวงฝู่อี้พยักหน้า “ข้าทราบแล้ว เช่นนั้นพวกเราไปซื้อที่ฝั่งเหนือของเมืองเถอะ สตรีด้านนั้นล้วนเป็นเด็กครอบครัวแร้นแค้น ที่บ้านแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อถึงถูกขายออกมา การซักผ้าทำอาหารไม่เหนือบ่ากว่าแรงพวกนางเลย เพียงแต่ว่าระเบียบมารยาทอาจจะด้อยไปบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่แยแส “พวกเราก็ไม่ใช่ตระกูลสูงส่งอะไร ไม่มีกฎระเบียบมากมาย ขอเพียงพวกนางขยันขันแข็ง ทำงานที่มีได้เรียบร้อยถูกใจข้าก็พอ”
“เช่นนี้พวกเราจะไปตอนนี้ หรือรอท่านพักให้หายเหนื่อยก่อนค่อยไปขอรับ” หวงฝู่อี้ถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ทันได้ตอบ หวงฝู่อี้เซวียนก็ชิงเอ่ยปาก “ตอนนี้ยังมีเวลา ไม่ต้องรีบร้อน ให้โยวเอ๋อร์พักผ่อนสักหน่อยพวกเราค่อยออกไป”
หวงฝู่อี้รับคำ ก้าวถอยออกไป
เหวินเปียวซื้อกาชาและถ้วยชาใหม่กลับมา หวงฝู่อี้เช็ดล้างจนสะอาดเอี่ยม ชงน้ำชาหนึ่งกาเข้ามา เทให้ทั้งสองคนละถ้วย
เมื่อครู่เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำสุกเข้าไปสองชาม ไม่กระหายน้ำแล้ว ระหว่างรอหวงฝู่อี้เซวียนดื่มชาเสร็จ จึงหันไปสั่งเหวินเปียวนำกระดาษพู่กันเข้ามา
เหวินเปียวออกไปหาแล้วรีบกลับเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นลงบนกระดาษ ส่งให้เหวินเปียว พูดว่า “เจ้าให้เหวินหู่นำคนจำนวนหนึ่งบังคับรถม้าออกไปซื้อสิ่งของในกระดาษกลับมา จำไว้ว่า จะต้องเลือกซื้อผ้านวมชั้นดีเท่านั้น แล้วอีกประเดี๋ยวให้เจ้าและกัวเฟยตามพวกเราไปซื้อคนที่ฝั่งเหนือของเมือง”
เหวินเปียวรับคำ ถือกระดาษเดินออกมาหาเหวินหู่ ยื่นกระดาษให้เขา ถ่ายทอดสิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับแก่เขา
เหวินหู่รีบพาองครักษ์หลวงจำนวนหนึ่งบังคับรถม้าออกไปทันที
หวงฝู่อี้เซวียนดื่มน้ำชาเสร็จแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวสังการเหวินเปียวและกัวเฟยไปบังคับรถม้า สั่งองครักษ์หลวงสองนายให้ดูแลบ้านให้ดี พาหวงฝู่อี้และองครักษ์หลวงอีกสองคนขึ้นรถม้าออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนนั่งบนรถม้าที่เหวินเปียวเป็นคนบังคับ องครักษ์หลวงสองนายและหวงฝู่อี้นั่งบนรถม้าที่กัวเฟยบังคับ
รถม้าของเหวินเปียวนำหน้า รถม้ากัวเฟยตามหลัง ไม่นานรถม้าทั้งสองคันก็มาถึงฝั่งเหนือของเมือง
ฝั่งเหนือมีแต่คนแร้นแค้นอาศัยอยู่ เพิ่งจะพ้นเขตเมืองฝั่งเหนือมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็รับรู้ได้ถึงความล้าหลังของเมือง ไม่เจริญคึกคักเหมือนเมืองฝั่งตะวันออกและฝั่งใต้ไม่ว่า แม้แต่ผู้คนที่เดินผ่านรถม้าไปก็ล้วนแต่มีใบหน้าเศร้าหมอง
เหวินเปียวไม่รู้จักสถานที่ค้ามนุษย์ พอเข้าเมืองฝั่งเหนือมาก็หยุดรถม้า
หวงฝู่อี้ลงจากรถม้าคันหลัง เดินตรงมาข้างรถม้าคันหน้า กระโดดขึ้นไปนั่งบนคาน ชี้บอกทางแก่เหวินเปียว
ไม่นานรถม้าทั้งสองคันก็มาถึงสถานที่ค้ามนุษย์
เหวินเปียวหยุดรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนลงมาจากรถม้า เดินเข้าไปในเรือน
หยาผอมีอาชีพค้ามนุษย์มานานหลายปี ส่วนใหญ่จะทำการค้ากับเศรษฐีเจ้านายคนใหญ่คนโต เห็นพวกเขาที่แต่งกายไม่ธรรมดาเดินเข้ามา รู้ว่าจะต้องทำกำไรได้อีกก้อนโต รีบยกยิ้มเข้าไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้นทันที “ทั้งสองท่านจะซื้อคนหรือเจ้าคะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าอยากซื้อเด็กสาวจำนวนหนึ่งกลับไปเป็นสาวใช้ ไม่ทราบว่าพอจะมีที่เหมาะสมหรือไม่?”