หยาผอเปล่งเสียงแหลมสูง พูดมีจริตเกินงาม “แหม แม่นาง ท่านมาซื้อสาวใช้กับพวกเราถือว่ามาถูกที่แล้ว…” ว่าแล้วก็ยกนิ้วชี้เด็กสาวอายุหลากหลายวัยที่ยืนเรียงเป็นแถวอยู่อีกด้านในลานเรือน ทั้งพูดต่อว่า “เด็กๆ ของพวกเราที่นี่ล้วนมาจากครอบครัวแร้นแค้น ไม่ว่าซักผ้าทำกับข้าว ปัดกวาดเช็ดถูเรือน ล้วนไม่เป็นปัญหา ท่านซื้อกลับไปไม่ต้องสอนอะไรอีก สั่งพวกนางให้ทำงานได้ทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่เพิ่งก้าวพ้นประตูเข้ามาก็เห็นเด็กสาวพวกนี้ แต่ละคนตัวเหลืองซูบผอม เสื้อผ้าขาดวิ่น เห็นหยาผอชี้แนะนำมาที่ตัวเอง ต่างผวากลัวทว่าก็มองพวกเขาอย่างคาดหวัง
หยาผอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เด็กสาวพวกนั้น ถามนางอย่างเอาใจ “แม่นางอยากเข้าไปดูใกล้ๆ หรือไม่ หากมีที่เหมาะสมจะได้เลือกสองสามคนกลับไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกเท้าเดินเข้าหาเด็กสาวที่ยืนเรียงเป็นแถวซ้อนกันหลายแถวตรงหน้า มองประเมินพวกนางอย่างละเอียด
หยาผอก็คอยแนะนำนางไม่หยุดปาก
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวพินิจมองเสร็จ ไม่ได้บอกว่าต้องการกี่คน แต่ถามหยาผอว่า “ที่นี่มีแม่ครัวหรือไม่ ข้าต้องการซื้อกลับไปด้วยหนึ่งคน”
หยาผอได้ฟังว่ายังต้องการคนเพิ่ม ยิ่งแสดงความกระตือรือร้น “มีๆๆ ย่อมต้องมี ข้าจะไปพามาให้ท่านดูเดี๋ยวนี้” ว่าแล้ว ก็เดินยักย้ายร่างอวบอัดเข้าไปหลังเรือน ไม่นานก็พาสตรีวัยกลางคนจำนวนหนึ่งออกมา พูดว่า “คนพวกนี้ต่างทำอาหารเป็น แม่นางดูก่อนว่ามีที่เหมาะสมหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองสตรีกลางคนตรงหน้าที่ต่างแต่งกายมอซอ ใบหน้าอมทุกข์ คาดว่าคงจะอยู่ที่นี่มานานแล้ว สกปรกมอมแมมแทบดูไม่ได้ ส่ายหน้าอาลัย
แม้หยาผอจะผิดหวังไปบ้าง แต่ก็ยังร้องถามอย่างเอาใจใส่ “ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการแม่ครัวเช่นใด?”
“สะอาดหมดจด” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบสั้นๆ
หยาผอขบคิดครู่หนึ่ง พูดว่า “มีคนหนึ่งที่เหมาะสม ทว่าเงื่อนไขนางค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น แม่นาง…”
“นำตัวออกมาดูก่อนเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทนาง
หยาผอรีบพูดด้วยความยินดี “ได้ๆๆ แม่นางรอสักครู่ ข้าจะไปตามนางเข้ามา” ว่าแล้ว ก็พาหญิงสาวสองสามคนกลับเข้าไปหลังเรือนด้วย ไม่นานก็นำตัวสตรีนางนั้นเดินออกมา ในมือของสตรีนางนั้นยังจูงเด็กชายอายุสี่ห้าขวบคนหนึ่งออกมาด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวมองประเมินนาง แม้ว่านางจะแต่งกายมอซอ ใบหน้าทุกข์ตรม แต่จัดการบุตรชายของตัวเองได้อย่างสะอาดหมดจด เนื้อตัวไม่เลอะเทอะมอมแมมเลย
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “นางนี่ล่ะ”
หญิงสาวได้ฟังเงยหน้ามองนางด้วยสายตาประหลาดใจระคนดีใจ
หยาผอไม่คิดว่านางจะรับปากโดยง่าย ให้ดีอกดีใจ พูดยกยอ “แม่นางช่างมีสายตาแหลมคมนัก นางเป็นคนของที่นี่ที่ไม่ว่าจะซักผ้าทำอาหาร ล้วนทำได้อย่างไม่บกพร่อง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รอช้า ถามทันควัน “ราคาเท่าใด?”
หยาผอนิ่งอึ้งเล็กน้อย พูดว่า “แม่นาง เมื่อครู่ข้าบอกไปแล้ว นางมีเงื่อนไขที่พิเศษกว่าคนอื่น นอกจากเด็กน้อยคนนี้แล้ว นางยังมีสามีที่นอนป่วยหนักอยู่ด้านหลัง หากท่านจะซื้อ ก็จะต้องซื้อครอบครัวพวกเขาทั้งสามชีวิต”
เมิ่งเชี่ยนโยวนึกว่านางเพียงต้องซื้อเด็กเพิ่มอีกคน ไม่คิดว่าจะยังมีชายป่วยอีกคน ขมวดคิ้วขบคิดว่าจะซื้อดีหรือไม่
หญิงสาวเห็นสีหน้านาง คิดว่าครั้งนี้ครอบครัวนางคงไม่ได้ถูกซื้อไปอีก สีหน้ายินดีเหือดหาย ก้มหน้าลง เด็กน้อยก็เหมือนจะรู้บางสิ่ง เบียดร่างแนบชิดนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นทั้งหมดนี้ให้หัวใจไหวสั่น หันไปพูดกับหยาผอ “พาข้าไปดูหลังเรือนหน่อยเถอะ”
หญิงสาวเงยหน้าควับ มองนางอย่างไม่เชื่อ
หยาผอก็นึกว่าหมดหวังแล้ว หน้าคว่ำไหล่ตก กำลังจะให้สองแม่ลูกกลับไปหลังเรือน ครั้นได้ยินที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มหวานราวดอกเบญจมาศขึ้นอีกครั้ง หลีกทางให้เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความปิติ ผายมือเชื้อเชิญ สะกดกลั้นความยินดีไว้ไม่อยู่พูดว่า “แม่นาง เชิญทางนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกเท้าเดินเข้าไปหลังเรือน หยาผอตามหลังไปติดๆ
สองแม่นางก็เดินตามเข้าไป
หวงฝู่อี้เซวียนไม่วางใจ จึงเดินตามเข้าไปด้วย
ด้านหลังเรือนกว้างใหญ่ คนไม่น้อยยืนอัดแน่นเรียงราย มีทั้งผู้ชายผู้หญิง ทั้งเด็กคนแก่ ดูก็รู้ว่าเป็นคนบ้านนอก
หยาผอกลัวนางเข้าใจผิด รีบพูดอธิบาย “คนพวกนี้ล้วนหนีความลำบากมา ข้าเห็นพวกเขาน่าสงสาร จึงให้พวกเขาขายตัวเอง ข้าเป็นตัวกลางได้เงินค่าดำเนินการ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เสวนาต่อ
หยาผอพานางมาถึงมุมหนึ่งของลานเรือน ชี้ชายที่นอนไอกระเสาะกระแสะอยู่บนเศษผ้าผืนหนึ่ง พูดว่า “เขาก็คือชายคนนั้น ไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร เอาแต่ไอไม่หยุด ข้ากลัวเขาจะเอาไปติดคนอื่น จึงจัดให้ครอบครัวพวกเขาอยู่ตรงนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองสีหน้าชายคนนั้น รู้ว่าเขาไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงก็วางใจลง ซักถามต่อ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเขา?”
หยาผอสังเกตสีหน้าวาจา รู้ว่าพอมีหนทาง จึงพูดตามสัตย์จริง “ครอบครัวพวกเขาสามคนช่างอาภัพนัก เพื่อหาเงินแต่งภรรยาให้บุตรชายตนเอง แม่เลี้ยงจึงแอบขายพวกเขาทั้งสามคน ชายคนนั้นโมโหจนล้มป่วย กลายมามีสภาพเช่นนี้ ครอบครัวพวกเขาสามคนอยู่ที่นี่กับข้ามาสองเดือนกว่าแล้ว ทุกครั้งจะมีคนพึงพอใจหญิงสาวนางนี้ แต่พวกเขาไม่ยินยอมแยกจากกัน ข้าเองก็สงสารพวกเขา จึงไม่พูดให้พวกเขาแยกจากกัน”
“ครอบครัวพวกเขาสามชีวิตเป็นเงินเท่าใด ข้าซื้อแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
หยาผอดีอกดีใจ ถามขึ้น “แม่นางยินดีจะซื้อพวกเขาจริงๆ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบ
หยาผอก็รู้ว่าตัวเองพูดคำถามโง่ๆ ออกไป รีบพูดกลบเกลื่อน “ครอบครัวพวกเขาสามชีวิตข้ารับซื้อไว้ในราคาสิบตำลึง ข้าจะถือเสียว่าทำบุญ ไม่คิดกำไร ท่านให้ข้าสิบห้าตำลึงก็พอ อย่างไรพวกเขาก็กินใช้อยู่ที่นี่มาสองเดือนกว่าแล้ว”
สามชีวิตมีหญิงสาวคนเดียวที่ทำงานได้ เด็กยังเล็ก ส่วนผู้ชายก็ป่วย ซื้อกลับไปยังต้องดูแลรักษาให้เขา สิบห้าตำลึงออกจะมากเกินไปหน่อย หยาผอที่พอพูดจบก็นึกเสียใจ กลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่พอใจที่นางคิดแพงไม่ซื้อพวกเขา เช่นนั้นนางก็ไม่รู้ว่าจะต้องเลี้ยงดูพวกเขาไปอีกนานแค่ไหน
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็กำลังขมวดคิ้วมุ่น
หยาผอเห็นดังนั้น รีบกลับคำพูด “หากแม่นางคิดว่าแพงเกินไป ให้สิบตำลึงก็ได้” ว่าแล้วก็มองนางด้วยใจตุ๊มๆ ต้อมๆ
หญิงสาวก็มองนางด้วยความหวังล้นปรี่
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้บอกว่าได้หรือไม่ได้ แต่กลับถามว่า “ข้ายังถูกใจเด็กสาวอีกสองสามคนด้านนอก ท่านคิดดูว่า ทั้งหมดเป็นเงินเท่าใด?”
หยาผอค้ามนุษย์มานานหลายปี พบเจอคนมาทุกรูปแบบ รู้ดีว่าวันนี้พบยอดฝีมือให้แล้ว แม่นางท่านนี้กำลังต่อรองราคากับนาง นางมองดูชายที่ไอไม่หยุดตรงหน้า คิดว่าหากเขาต้องมาตายอยู่ที่นี่จริงๆ ตัวเองดวงซวยไม่ว่า ยังอาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงตัวเองด้วย ภายหน้าลูกค้าก็จะลดน้อยลง จึงกัดฟันพูดว่า “เด็กสาวที่อายุมากหน่อยเดิมคิดราคาคนละห้าตำลึง หากแม่นางต้องการข้าให้สี่ตำลึง ท่านอยากได้กี่คนก็เลือกเอาเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเลือกสามคนก่อนแล้วกัน รวมพวกเขาทั้งหมดเป็นยี่สิบตำลึง”
หยาผอแทบอยากจะร้องไห้แล้ว นางซื้อทั้งสามคนนี้มาด้วยราคาสิบตำลึง ส่วนเด็กสาวพวกนั้นคนละสองตำลึง ทั้งหมดสิบหกตำลึง แต่ก็กินนอนที่นี่มาเป็นเวลานาน เงินยี่สิบตำลึงยังไม่คุ้มต้นทุนเลย นางเผยอปาก คิดจะให้เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่มให้อีกนิด ครั้นเห็นท่าทีเจ้าขายข้าก็ซื้อ ไม่ขายก็เลิกกันของนาง หยาผอจำต้องกลืนคำพูดที่ปลายลิ้นลงไป ฝืนประคองรอยยิ้มกัดฟันพูดว่า “ได้ ยี่สิบตำลึงก็ยี่สิบตำลึง ต้องโทษที่ข้าเป็นคนจิตใจดี ทำใจเห็นพวกเขาต้องพลัดพรากกันไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการหญิงสาว “หน้าประตูมีรถม้าสองคัน เจ้าไปเรียกพวกเขาเข้ามาหามสามีเจ้าขึ้นไปไว้บนรถม้าก่อน”
หญิงสาวปลาบปลื้มดีใจ ดึงตัวบุตรชายมา แล้วคุกเข่าให้นางเสียงดัง“พลั่ก” ทั้งโขกศีรษะให้นางอย่างแรง น้ำตาแห่งความซาบซึ้งเอ่อคลอ พูดว่า “ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณแม่นาง จากนี้ไปพวกเราทั้งสามชีวิตจะตั้งใจทำงานให้ดี เพื่อตอบแทนท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวปัดมือ ส่งสายตาให้นางลุกขึ้น “รีบไปตามคนเข้ามาเถอะ”
หญิงสาวให้ลูกลุกขึ้น เดินไปเรียกองครักษ์สองคนที่ด้านนอกเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งพวกเขาให้มาหามคนไปไว้บนรถม้า
ทั้งสองรับคำ เดินมาตรงหน้าชายคนนั้น คนหนึ่งอยู่หัวคนหนึ่งอยู่ท้ายหามตัวเขาออกไป หญิงสาวและเด็กน้อยรีบตามไปติดๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินออกมาจากหลังเรือน มายืนตรงหน้าเด็กสาวที่ยืนเรียงเป็นแถว ยกมือชี้เด็กสาวหน้าตาหมดจดอายุสิบสามสิบสี่ปีสามคนออกมา พูดว่า “พวกนางสามคนนี้ก็แล้วกัน”
หยาผอเห็นนางเลือกแต่เด็กสาวที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหมดจด ร้องโอดครวญในใจ แต่ก็ต้องจำใจตะโกนเรียกทั้งสามคนออกมา พูดกับพวกนางว่า “แม่นางท่านนี้เลือกพวกเจ้าแล้ว นับแต่นี้ไปพวกเจ้าจะเป็นคนของนาง จำไว้ว่า หลังจากไปถึงบ้านนายหญิงต้องตั้งใจทำงานให้ดี หากพวกเจ้าถูกส่งกลับมาเพราะเกียจคร้าน พวกเจ้าคงรู้ว่าข้าจะจัดการเช่นไร”
คล้ายว่าเด็กสาวทั้งสามคนจะได้รับการสั่งสอนมา พอได้ยินคำพูดนางก็ตัวสั่นสะท้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวจับจ้องปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยๆ นี้ของพวกนาง หรี่นัยน์ตาลง
หยาผอหันกลับมา พูดประจบนาง “เมื่อแม่นางเลือกเสร็จแล้ว ก็จ่ายเงินเถอะ ข้าจะได้ไปเอาสัญญาทาสของพวกนางมาให้เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า กำลังจะล้วงมือเข้าไปหยิบเงินในอก ด้านนอกกลับมีเสียงชายกลางคนคนหนึ่งดังลอยมา “เจ้าเศษสวะชั้นต่ำ ถูกตัดสินเป็นทาสหลวงไล่ออกไปจากเมืองหลวงแล้ว ยังกล้ากลับมาอีก ดูว่าวันนี้ข้าจะจัดการเจ้าเช่นไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักค้างในท่าจับเงิน ขมวดคิ้วมุ่น มองออกไปพร้อมหวงฝู่อี้เซวียน ทั้งสองก้าวออกมาจากเรือนพร้อมกัน เห็นชายฉกรรจ์สิบกว่าคนกำลังล้อมเหวินเปียวและรถม้าของพวกเขาไว้
มือขวาของเหวินเปียวกำบังเ**ยนแน่น ส่วนมือซ้ายกำหมัดเกร็งแน่น มองคนตรงหน้าอย่างเคียดแค้นชิงชัง
พวกกัวเฟยคิดจะตรงเข้าไป กลับถูกเมิ่งเชี่ยนโยวยกมือห้ามไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวประเมินชายที่ออกคำสั่ง เห็นเขามีอายุอานามสี่สิบปีเศษ รูปร่างเจ้าเนื้ออวบอัด แต่งกายหรูหราสูงศักดิ์
ข้างกายเขายังมีชายสูงวัยอีกคนยืนอยู่ด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเกร็ง หวงฝู่อี้เซวียนกระซิบบอกข้างหูนาง “เขาเป็นบุตรชายคนโตของท่านราชครู เป็นลุงแท้ๆ ของอวี้เอ๋อร์ ปีใหม่ทุกปีจะเข้ามาสวัสดีปีใหม่พระบิดา ข้าเคยเจอเขาหลายครั้ง จึงจำเขาได้”
การคาดเดาเลือนๆ ลางๆ ในใจเมิ่งเชี่ยนโยว ตอนนี้ได้รับการยืนยันแล้ว จึงยืนหน้าประตูเรือน ลอบสังเกตการณ์เงียบๆ
หยาผอก็เห็นคุณชายใหญ่แล้ว รีบปั้นยิ้มวิ่งออกมา พูดประจบประแจง “คุณชายใหญ่ ท่านมาแล้ว ครั้งนี้ข้าเตรียมสินค้าชั้นดีไว้ให้ท่านไม่น้อยเลย ท่านรีบเข้าไปดูในลานเรือนเถอะเจ้าค่ะ”
คุณชายใหญ่ผลักนางออกอย่างไม่ปราณี “ไปๆๆ ไม่เห็นว่าข้ากำลังจัดการกับเศษสวะชั้นต่ำอยู่หรือไง?”
หยาผอถูกเขาผลักเซถลาไปหลายก้าว จนเกือบจะล้มคมำ ตกใจไม่กล้าปริปากอีก ได้แต่ยืนมองเหวินเปียวด้วยความเห็นใจ
เดิมเหวินเปียวเป็นนายน้อยแห่งสำนักคุ้มภัยเว่ยหยวน เดินไปไหนก็มีแต่คนเคารพยกย่อง หลังจากถูกตัดสินเป็นทาสถูกเมิ่งเชี่ยนโยวซื้อตัวไป เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่เคยเห็นพวกเขาเป็นบ่าว ตอนนี้ถูกคนเรียกคำก็เศษสวะสองคำก็เศษสวะ ให้โทสะพลุ่งพล่าน
คุณชายใหญ่เห็นเขาโมโหแต่ไม่กล้าปะทุออกมา ยิ่งให้กระหยิ่มยิ้มย่องใจ พูดสบประมาท “เจ้าเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ชอบช่วยเหลือคนที่ได้รับความอยุติธรรมไม่ใช่เรอะ วันนี้ข้าอยากเห็นนักว่า ใครที่มันกล้าล่วงเกินข้า เสนอหน้าเข้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมให้เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความนัยแฝงของเขา หรี่หลุบนัยน์ตาลง
เหวินเปียวอดกลั้นจนเส้นเลือดเขียวบนใบหน้าปูดโปน กลับไม่พูดอะไรสักคำ จ้องเขาด้วยความชิงชัง
คุณชายใหญ่แค่นหัวเราะสะใจ
น้ำเสียงใสกังวานของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น “เหวินเปียว ปกติข้าสอนให้เจ้าอดกลั้นเวลาถูกคนยั่วยุเช่นนี้หรือ?”
สิ้นเสียงนาง เสียงสูดลมหายใจโดยรอบดังขึ้นเป็นระลอก กลุ่มคนที่มาดูเรื่องสนุกมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา
คุณชายใหญ่ที่กำลังหัวเราะร่าถึงกับสะอึกกึก เลื่อนสายตามาที่เมิ่งเชี่ยนโยว กำลังจะบันดาลโทสะ กลับมองเห็นหวงฝู่อี้เซวียน เขาชะงักงันเล็กน้อย รีบยกมือประสานคำนับ “ซื่อจื่อ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเล็กน้อย ตอบกลับ “คุณชายใหญ่”
คุณชายใหญ่มองไปที่เขา แล้วมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว เริ่มเข้าใจบางสิ่ง ระงับโทสะภายในใจลง ถามตามมารยาท “เหตุใดวันนี้ซื่อจื่อถึงมาสถานที่แห่งนี้ได้ขอรับ?”
หวงฝู่อี้เซวียนตอบความ “โยวเอ๋อร์เพิ่งจะซื้อเรือน ต้องการสาวใช้ตั้งใจทำงานสองสามคน ข้ามาช่วยเลือกกับนางด้วย ไม่ทราบว่าวันนี้คุณชายใหญ่มาสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลใด?”
คุณชายใหญ่ทำตาล่อกแล่ก หันมองหยาผอ ส่งสายตาไม่ให้นางพูดพล่อย ถึงตอบว่า “ข้าเองก็เข้ามาคัดเลือกสาวใช้สองสามคนไปไว้ที่จวน”
“อ่อ” หวงฝู่อี้เซวียนร้องด้วยน้ำเสียงกังขา ถามว่า “จวนพวกท่านไม่มีพ่อบ้านหรือ? เรื่องเล็กพวกนี้ต้องให้ท่านมาด้วยตัวเอง?”
คุณชายใหญ่หน้าแดงวาบ ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วพูดว่า “เรื่องเล่นแค่นี้ย่อมไม่ต้องให้ข้าออกโรงเอง เพียงแต่ได้ยินพ่อบ้านพูดถึงสถานที่ค้ามนุษย์มาตลอด ให้เกิดความสนใจใคร่รู้ วันนี้จึงถือโอกาสซื้อคนเข้ามาแวะชม”
เมื่อครู่หยาผอยังเข้ามาทักทายเขาอย่างสนิทสนม เห็นชัดว่าเป็นคำโป้ปด หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่เปิดโปง กล่าววาจาแฝงนัยเสียดสี “ความอยากรู้อยากเห็นของคุณชายใหญ่ช่างมากนัก แม้แต่สถานที่แห่งนี้ก็ยังกล้าสนใจใคร่รู้”
คุณชายใหญ่หน้าแดงก่ำไปทั้งหน้าแล้ว หัวเราะแห้งๆ สองแอะ ไม่ต่อล้อต่อความ
กลุ่มคนที่มามุงล้อมเห็นคุณชายใหญ่ทักทายคุณชายน้อยท่านนั้นอย่างอ่อนน้อม ทั้งขานนามว่าซื่อจื่อ เริ่มคาดเดาได้คร่าวๆ แล้ว ต่างพินิจมองหวงฝู่อี้เซวียนไม่วางตา
หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้าสงบนิ่ง ให้พวกเขามองประเมินตามใจ
กระทั่งพวกเขาทักทายเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามเหวินเปียวอีกครั้ง “เหวินเปียว ปกติข้าสอนให้เจ้าอดกลั้นเวลาถูกคนยั่วยุเช่นนี้หรือ?”
เหวินเปียวเก็บคืนความโกรธเกรี้ยว น้อมตอบความ “แม่นาง หามิได้”
“เช่นนั้นเหตุใดวันนี้เจ้าถึงยอมถูกคนยั่วยุเล่า?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ
มือซ้ายที่คลายหมัดออก กำแน่นขึ้นอีกครั้ง
น้ำเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวเจือแววดุดัน “ตอบคำถามข้า”
เหวินเปียวตอบอ้อมแอ้ม “ผู้น้อย ผู้น้อยกลัวจะสร้างความยุ่งยากมาให้แม่นาง”
“นายหญิงของเจ้าเป็นคนที่กลัวเรื่องยุ่งยากเรอะ?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับเสียงเขียว
เหวินเปียวเข้าใจความหมายของนาง ตัดสินใจเด็ดขาด ตอบเสียงดังฟังชัด “ไม่ใช่ขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าควรจะทำอย่างไรเล่า?”
เหวินเปียวเริ่มมีความมั่นใจ ตอบกลับเสียงแจ๋ว “อัดพวกเขาให้ฟันร่วงหมดปาก”
ทั้งสองคนพูดจบ คนโดยรอบมองพวกเขาเหมือนมองสัตว์ประหลาด เกิดความคิดผุดขึ้นในใจ หญิงเสียสตินางนี้ กล้าท้าทายคุณชายใหญ่บุตรท่านราชครู
เดิมคุณชายใหญ่ก็เลือดขึ้นหน้าแล้ว เพียงแต่ว่าเห็นหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ที่นี่ด้วย จำต้องข่มกลั้นไว้ ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังเล่นไม่เลิก กล้าท้าทายเขาต่อหน้าคนมากมาย โทสะให้ปะทุ พลั้งปากพูดออกไป “ก็แค่หญิงบ้านนอกคนหนึ่ง กล้าพูดจากำเริบกับข้า เจ้าคงเบื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่นัยน์ตางามคู่นั้นลง สีหน้าไม่สบอารมณ์
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้ม เยาะเย้ยกลับ “คุณชายเสเพลไม่เป็นโล้เป็นพายคนหนึ่ง อาศัยใบบุญจากบิดาคุ้มกะลาหัว ถึงได้ตำแหน่งเล็กๆ มาประดับบารมี ยังมีหน้ามาคุยโว้โอ้อวดต่อหน้าข้า”
คุณชายใหญ่แห่งจวนราชครูไร้ความสามารถ นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้กันดี เพียงแต่ไม่เคยมีใครกล้าพูดต่อหน้าเขา ตอนนี้ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว กลุ่มคนที่มาดูเรื่องสนุกราวกับอีกประเดี๋ยวจะได้เห็นภาพนางเลือดท่วมตัว ต่างถยอยกันถอยหลังไปหลายก้าว
คุณชายใหญ่ถูกนางขยี้ปมด้อยอย่างไม่ไว้หน้า โมโหกระฟัดกระเฟียด สั่งคนที่อยู่ใกล้เมิ่งเชี่ยนโยว “พวกเจ้าทั้งหมด รีบเข้าไปซ้อมนังตัวดีไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้ให้ตายเดี๋ยวนี้”