แดนนิรมิตเทพ บทที่ 696
หวางเส้าหยู่ตกตะลึงเป็นเวลานาน เมื่อสักครู่เขาได้ยินหวงไต้ซือบรรยายความแข็งแกร่งของลุงสวี่ด้วยหูของตนเอง แม้แต่หวงไต้ซือก็เรียกลุงสวี่ว่าเป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริง

แต่ตอนนี้ยอดฝีมือคนนี้ สามารถรับมือซุนบาเทียนได้เพียงแค่สามหมัดเท่านั้น!

ไม่เพียงแค่หวางเส้าหยู่ที่รู้สึกตกตะลึงเท่านั้น แม้แต่หวงไต้ซือก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน

“เขาเป็นถึงปรมาจารย์! เป็นเหมือนมังกรที่อยู่บนท้องฟ้า ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกฝึกบู๊ แต่เขา……พ่ายแพ้แล้วเหรอ?”

ถึงแม้จะเห็นทั้งหมดนี้ด้วยตาตนเอง แต่หวงไต้ซือยังคงไม่อยากจะเชื่อ ราวกับอยู่ในความฝัน

ปรมาจารย์แดนแปรภาพ นี่คือความฝันที่เขาต่อสู้ดิ้นรนมาหลายสิบปี!

ตอนนี้ ความฝันนี้ถูกด้วยหมัดทั้งสามหมัดของซุนบาเทียนทำลาย

ถ้าเผชิญหน้ากับลุงสวี่ หวงไต้ซือยังมีความหวังว่าตนเองจะสามารถต่อสู้กับเขาได้ แต่ตอนนี้เมื่อมองซุนบาเทียนที่ยืนอยู่บนเวทีด้วยความเย่อหยิ่ง หวงไต้ซือไม่กล้ามีความคิดที่จะต่อต้านแม้แต่น้อย

การดำรงอยู่แบบนี้ อยู่เหนือขอบเขตของมนุษย์แล้ว บางทีอาจจะใช้คำว่าเทพเจ้ามาพรรณนาได้เท่านั้น

ทันใดนั้น หวงไต้ซือก็นึกถึงความเป็นไปได้บางอย่าง เพียงแต่ความเป็นไปได้นั้นมีอยู่ในตำนานเล่าขานเท่านั้น

นั่นก็คือเขาอยู่ในระดับแดนเทพ!

หวงเจิ้นหลงยืนขึ้นและหัวเราะด้วยความตื่นเต้น “ฮ่า ๆ ๆ กู้เฟิง ต่อไปอำนาจการปกครองเมืองเจียงเป็นเวลาสิบปีเป็นของผมแล้ว!”

กู้เฟิงพยุงลุงสวี่ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เมื่อยินยอมเดิมพัน ก็ต้องยอมรับเมื่อตนเองพ่ายแพ้ ผมรักษาสัญญาอย่างแน่นอน หลังจากงานพันธมิตรสิ้นสุดลงแล้ว คุณส่งคนมารับมอบงานจากผมได้ทันที!”

“โอเค!” สีหน้าของหวงเจิ้นหลงเต็มไปด้วยความลำพองใจ

จากนั้น หวงเจิ้นหลงละสายตาจากกู้เฟิง แล้วหันไปมองหน้ามู่หรงเค่อกับเสิ่นฉีเซิ่ง

เสิ่นฉีเซิ่งรีบก้มหน้า และยิ้มด้วยความประจบ เมื่อตกที่นั่งลำบากแล้ว สามารถยอมลดราวาศอกได้ชั่วคราว เพื่อจะได้ไม่เป็นเบี้ยล่าง เพราะตอนนี้หวงเจิ้นหลงมีซุนบาเทียนคอยสนับสนุน และหวงเจิ้นหลงอยู่ในช่วงโดดเด่น เขาไม่ต้องการตกเป็นเป้าหมายของหวงเจิ้นหลง

หวงเจิ้นหลงหันไปมองมู่หรงเค่อ และยิ้มด้วยความชั่วร้าย “มู่หรงเค่อ ทำไมคุณไม่พูดอะไร? งานพันธมิตรสี่ฝ่ายคราวที่แล้ว พ่อบ้านของคุณเก่งมากไม่ใช่เหรอ? ชนะผมไปสองเกมติดต่อกัน ทำให้ผมสูญเสียเงินไปหลายพันล้าน วันนี้ผมต้องการให้คุณชดใช้ทุกอย่างที่คุณเอาไปจากผมคืนเป็นสองเท่า!”

สีหน้าของมู่หรงเค่อเคร่งขรึม เขาจ้องหวงเจิ้นหลงด้วยความโมโห จากนั้นหันมองอินทรีคู่ขาวดำ “ท่านทั้งสองคน…… ”

ยังไม่ทันที่มู่หรงเค่อจะพูดจบ อินทรีใหญ่ก็รีบส่ายศีรษะปฏิเสธทันที “คุณมู่หรง ก่อนหน้านั้นพวกเราสัญญาและรับประกันกับคุณว่าพวกเราสามารถเอาชนะคนที่ต่ำกว่าปรมาจารย์ได้ แต่คนที่อยู่ตรงหน้าสามารถเอาชนะปรมาจารย์ได้ด้วยสามหมัด ซึ่งฝีมือแตกต่างจากพวกเรามาก ถึงแม้ว่าพวกเราจะขึ้นไปต่อสู้กับเขา เป็นเพียงการไปรนหาความตายเท่านั้น!”

มู่หรงเค่อถอนหายใจ และกลืนคำพูดที่เหลือลงท้อง ความจริงแล้ว การให้อินทรีคู่ขาวดำไปต่อสู้กับเขา เป็นเพียงการไปรนหาความตายเท่านั้น เว้นเสียแต่ตอนนี้เฉินโม่จะปรากฏตัวออกมา!

เพียงแต่จนถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเฉินโม่ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฉินโม่ไม่คิดที่จะลงมือช่วยเหลือเขา

ลุงสุ่ยเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และยิ้มด้วยความเด็ดเดี่ยว “ผู้นำตระกูล ให้ผมขึ้นไปสู้กับเขาเถอะ!”

มู่หรงเค่อมองลุงสุ่ยด้วยความประหลาดใจ ลุงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “พวกเราไม่สามารถยอมแพ้โดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้? เพราะถ้าเช่นนั้น มันจะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะว่าตระกูลมู่หรงขี้ขลาดตาขาว!”

“แม้แต่ปรมาจารย์ก็แพ้แล้ว ถึงคุณจะขึ้นไปต่อสู้ แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร!” มู่หรงเค่อกล่าวโน้มน้าว เพราะลุงสุ่ยไม่เหมือนอินทรีคู่ขาวดำ ระหว่างอินทรีคู่ขาวดำและตระกูลมู่หรง เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เท่านั้น แต่ลุงสุ่ยเป็นสมาชิกของตระกูลมู่หรง

ลุงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้นำตระกูล ถ้าผมแพ้แล้ว คุณหนูยานเอ๋อร์จะต้องเห็นอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น เธอต้องขอร้องให้เฉินไต้ซือช่วยอย่างแน่นอน และตระกูลมู่หรงก็จะไม่เป็นฝ่ายที่แพ้!”

มู่หรงเค่อรู้สึกตกตะลึง ลุงสุ่ยต้องการใช้ชีวิตของตนเองเพื่อให้เฉินไต้ซือลงมือช่วยเหลือ เพื่อสร้างรากฐานทางธุรกิจให้ตระกูลมู่หรง

“ผมมาขอคำชี้แนะจากยอดฝีมือ!” ลุงสุ่ยกล่าวเสียงดังแล้วเดินมุ่งหน้าไปที่เวที

สีหน้าของมู่หรงเค่อเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มองลุงสุ่ยที่ปกป้องคุ้มครองตระกูลมู่หรงด้วยความซื่อสัตย์มาหลายสิบปี แล้วเขาก็ตะโกนเสียงดังว่า “มู่หรงเค่อ สละสิทธิ์!”