แดนนิรมิตเทพ บทที่ 698
มู่หรงเค่อรู้สึกตกใจมาก แต่อย่างไรเขาก็เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่เคยเห็นโลกกว้าง เขาจึงพยายามสงบสติอารมณ์และกล่าวว่า “คุณคิดจะทำอะไร?”

ซุนบาเทียนใช้มือข้างหนึ่งจับคอของมู่หรงเค่อเอาไว้และกล่าวเยาะเย้ยว่า “ตอนแรกผมคิดจะจัดการตระกูลมู่หรงก่อน และค่อยบีบบังคับให้เฉินไต้ซือปรากฏตัวออกมา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ต้องทำเช่นนั้นแล้ว ในเมื่อเฉินไต้ซืออยู่ที่นี่แล้ว ถ้าเช่นนั้นผมก็จะจัดการเขาด้วย!”

มู่หรงเค่อถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณมีความแค้นกับเฉินไต้ซือเหรอ?”

ซุนบาเทียนกล่าวเยาะเย้ยว่า “ยังจำเหรินเทียนหยู่ที่ไปแก้แค้นคุณได้ไหม?”

“ผมเป็นศิษย์พี่ของเขา!”

สีหน้าของมู่หรงเค่อเต็มไปด้วยความตกใจ “อะไรนะ! คุณเป็นศิษย์พี่ของเหรินเทียนหยู่!”

ซุนบาเทียนไม่สนใจมู่หรงเค่ออีกต่อไป กวาดมองผู้ชมด้วยสายตาเย็นชาและตะโกนว่า “เฉินไต้ซือ ในเมื่อคุณอยู่ที่นี่แล้ว ก็ปรากฏตัวออกมาเถอะ! คุณฆ่าศิษย์น้องของผม พวกเรามาชำระบัญชีแค้นนี้กันเถอะ!”

ผู้ทรงอิทธิพลหลายคนมองหน้ากัน เฉินไต้ซือ? ใครคือเฉินไต้ซือ? นึกไม่ถึงว่าเขาจะกล้าฆ่าศิษย์น้องของซุนบาเทียน ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเฉินไต้ซือไม่ธรรมดาเช่นกัน

มุมหนึ่งของห้องโถง มู่หรงยานเอ๋อร์ถอดหูฟังแล้ว และมองเวทีด้วยสีหน้ากังวล

“เฉินโม่ ขอร้องนายช่วยพ่อของฉันด้วยเถอะ!” ใบหน้าสวยงามของมู่หรงยานเอ๋อร์เต็มไปด้วยความกังวล

เฉินโม่พยักหน้า “ยานเอ๋อร์วางใจเถอะ มีผมอยู่ ไม่มีอะไรหรอก!”

หลังจากกล่าวจบ เฉินโม่ลุกขึ้นและเดินมุ่งหน้าไปที่เวทีอย่างสงบ

สายตาของซุนบาเทียนจับจ้องไปที่เฉินโม่ทันที เพราะทุกคนที่อยู่ในห้องโถงนั่งอยู่ มีเพียงเฉินโม่คนเดียวที่ยืนเท่านั้น ซึ่งมันสามารถดึงดูดสายตาของทุกคน

ฉีเยว่หยูเห็นเฉินโม่ลุกขึ้นยืน เธอจึงตะโกนด้วยความตื่นตระหนกว่า “เฉินโม่ คุณบ้าไปแล้วเหรอ? เวลาแบบนี้แล้วคุณจะออกมาทำไม!”

ฉีหมิงซานพ่นลมออกมาอย่างเย็นชา “ฉีเยว่หยู นั่งลง เธอต้องการให้ตระกูลฉีประสบความหายนะเหรอ!”

ฉีเยว่หยูไม่แยแส เพราะคนที่อยู่บนเวทีเป็นคนที่โหดเหี้ยมและทรงพลังมาก เฉินโม่ปรากฏตัวออกมาตอนนี้ เท่ากับรนหาความตาย?

ถึงแม้ว่าเฉินโม่จะชอบมู่หรงยานเอ๋อร์ และต้องการออกหน้าแทนตระกูลมู่หรง แต่เขาก็ไม่ควรใช้ชีวิตตนเองเพื่อเอาใจตระกูลมู่หรงแบบนี้!

ฝั่งเจียงเป่ย กู้เฟิงมองชายหนุ่มที่เดินมาอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าสงบ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ตอนนี้ตระกูลมู่หรงกำลังตกอยู่ในอันตราย และไม่มีใครกล้าออกหน้าแทนตระกูลมู่หรง ถ้าไม่เอ่ยถึงฐานะครอบครัว ชายหนุ่มคนนี้มีคุณสมบัติที่จะเป็นลูกเขยของตระกูลมู่หลง!”

ลุงสวี่ที่อยู่ด้านหลังส่ายศีรษะ และมองเฉินโม่ด้วยสายตาเหยียดหยาม “มีความกล้าหาญ แต่น่าเสียดายที่มันเป็นเพียงความกล้าหาญของคนไม่มีสติปัญญาเท่านั้น สถานการณ์แบบนี้ แม้แต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วนับประสากับชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น รนหาความตายเปล่า ๆ”

เสิ่นหยูปิงมองเฉินโม่และขมวดคิ้วเล็กน้อย “นึกไม่ถึงว่าตอนนี้คนขี้ขลาดคนนี้จะปรากฏตัวออกมา เขาบ้าไปแล้ว! เขาคิดว่าตนเองเป็นเฉินไต้ซือเหรอ? ฮึ่ม โง่เขลาสิ้นดี!”

เสิ่นฉีเซิ่งกล่าวเบา ๆ ว่า “หยูปิง ลูกลดเสียงลงหน่อย เป็นการดีที่สุดที่จะมีคนโง่เขลาแบบนี้ออกไปรนหาความตาย เมื่อบุคคลนั้นได้ระบายความโกรธแค้นแล้ว บางทีเขาอาจจะไม่ทำให้พวกเราลำบากใจ!”

หวางเส้าหยู่อ้าปากกว้าง มองเฉินโม่ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ หลังจากนั้นสักครู่ เขาก็มองด้วยสีหน้าที่รู้สึกมีความสุขกับความโชคร้ายของคนอื่น และกล่าวเยาะเย้ยว่า “คนขี้ขลาดคนนี้ได้รับแรงกระตุ้นอะไร เงินแม้แต่หลักหมื่นเขาก็ยังไม่กล้าเดิมพันเลย นึกไม่ถึงว่าเวลาแบบนี้เขาจะกล้าเดินออกมารนหาความตาย!”

เฉินโม่มองฉีเยว่หยูที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล และกล่าวด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “เขาต้องการหาผม แล้วเขายังใช้ผู้นำตระกูลมู่หรงข่มขู่ผมอีกด้วย ทำให้ผมจำเป็นต้องปรากฏตัวออกมา!”

ฉีเยว่หยูรู้สึกโมโห ไม่สนใจสายตาพิฆาตของฉีหมิงซาน และตะโกนอีกครั้งว่า “คนที่เขาต้องการพบคือเฉินไต้ซือ นายคิดว่าตนเองแซ่เฉิน ก็คือเฉินไต้ซือเหรอ? รีบกลับไป อย่าทำอะไรโง่ ๆ ถึงแม้ว่านายอยากจะเอาใจตระกูลมู่หรง แต่ก็ไม่ควรเอาชีวิตของตนเองไปเสี่ยง เขาจะฆ่านายจริง ๆ!”

ฉีหมิงซานกดฉีเยว่หยูนั่งลง และคำรามเบา ๆ ว่า “ฉีเยว่หยู เพื่อเอาใจคุณหนูของตระกูลมู่หรงแล้ว คนไร้ประโยชน์คนนั้นเต็มใจที่จะไปตาย และมันไม่เกี่ยวอะไรเธอ ถ้าเธอยังคงเตือนเขาต่อไป แล้วถ้าคนที่อยู่บนเวทีคนนั้นโกรธขึ้นมา เธอจะทำให้ครอบครัวของพวกเราเดือดร้อน!”