บทที่ 723 : สอนฆ่าคน!

 

ร่างกายของหลิงหยุนนั้นสามารถดูดซับเอาพลังชีวิตที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับโลกเข้าไปได้เองอย่างต่อเนื่อง

 

หากเป็นการตั้งใจที่จะดูดซับเอาพลังชีวิตเข้าไปนั้นก็เรื่องหนึ่งแต่หลิงหยุนนั้นแม้ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นเวลากิน เวลานอน หรือแม้แต่เวลาที่ทำอะไร ร่างกายของเขาก็จะสามารถดูดซับเอาพลังชีวิตที่อยู่รอบๆตัวเข้าไปได้เองโดยไม่ต้องจงใจดูดซับ

 

อาจเรียกได้ว่าการดูดซับพลังชีวิตนี้ได้กลายเป็นสัญชาติญาณของหลิงหยุนไปแล้ว คล้ายกับมนุษย์เราที่หายใจได้เองโดยธรรมชาติโดยไม่ต้องจงใจ

 

หากจะอธิบายให้ชัดเจนก็คือ..ร่างกายของหลิงหยุนเวลานี้น่าจะเรียกว่าหลุมพลังก็ได้ ร่างกายของเขานั้นเปรียบได้กับแม่เหล็กขนาดใหญ่ และพลังชีวิตก็เปรียบเหมือนเหล็กน้อยใหญ่ ที่มักจะถูกแม่เหล็กดึงดูดเข้าหา

 

เวลานี้จุดตันเถียนของหลิงหยุนได้ขยายจนใหญ่มากและมีขนาดใหญ่กว่าร่างกายของเขาแล้ว จุดตันเถียนทรงกลมของหลิงหยุนที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่านี้ ขยายใหญ่จนปกคลุมร่างกายของเขาไว้ราวกับลูกบอลขนาดใหญ่!

 

มันใหญ่โตถึงขนาดที่ว่า..หากมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้วล่ะก็ จะต้องสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนที่ได้พบเห็นอย่างแน่นอน!

 

หากสามารถถ่ายรูปจุดตันเถียนของหลิงหยุนได้ด้วยกล้องดิจิตัลภาพที่ออกมาจะต้องทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างแน่นอน เพราะจะเป็นภาพที่เห็นหลิงหยุนอยู่ภายในยันต์หยินหยางแปดทิศขนาดใหญ่!

 

และไม่ว่าจะมองมาจากทิศทางใดทุกคนก็จะเห็นเป็นภาพเดียวกัน!

 

แต่ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือจุดตันเถียนของหลิงหยุนนั้นจะหมุนอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว!

 

เวลานี้ภายในจุดตันเถียนที่ใหญ่โตของหลิงหยุนนั้นพลังวนหยิน-หยางได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว และมันดูคล้ายกลุ่มควันสีขาวที่กำลังหมุนเป็นเกลียว!

 

และเมื่อใดก็ตามที่พลังวนหยิน-หยางนี้เริ่มใช้งานได้จริงๆแล้วร่างที่เปรียบเสมือนหลุมพลังของหลิงหยุนนั้น ก็จะมีกำลังภายในเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และทรงพลังอย่างน่ากลัว!

 

นั่นเพราะเวลานี้การดูดซับพลังชีวิตของหลิงหยุนไม่ได้เป็นแบบที่ต้องตั้งใจทำแล้วแต่ร่างกายของเขาสามารถดูดซับได้เองโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าหลิงหยุนจะทำอะไรอยู่ก็ตาม พลังวนหยิน-หยางนี้ก็จะทำการดูดซับเอาพลังชีวิตในอากาศรอบๆตัวเข้าไปเสริมได้เอง!

 

และหากหลิงหยุนตั้งใจที่จะดูดซับเอาพลังชีวิตเข้าไปแล้วล่ะก็พลังการดูดซับของหลิงหยุนก็จะยิ่งรุนแรงและรวดเร็วมากกว่าที่ไม่ตั้งใจ และยิ่งดูดซับพลังชีวิตเข้าไปได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์กับจุดตันเถียนของเขามากเท่านั้น

 

หลิงหยุนสามารถดูดซับเอาพลังชีวิตเข้าไปเติมเต็มได้เองร่างกายของเขาจึงสามารถสร้างพลังหยิน-หยางขึ้นใหม่ได้เองอยู่ตลอดเวลา เช่นนี้แล้วจะไม่น่าอัศจรรย์มากได้อย่างไรกัน

 

หากเป็นเช่นนี้แล้วผู้บ่มเพาะตนยังไม่สามารถพัฒนาขั้นการบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วแล้ว ก็นับว่าควรถูกตำหนิอย่างมาก!

 

ตั้งแต่มาถึงจิงฉูหลิงหยุนก็ได้นำเคล็ดวิชาที่เกี่ยวกับการบ่มเพาะพลังออกมาสอนให้กับคนใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นวิชาดาราคุ้มกาย วิชาคลื่นคงคา วิชาพลังเย็น วิชานู่เตา วิชาพลังมังกร และอื่นๆอีกมากมาย..

 

วิชาบ่มเพาะพลังเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่วิชาบ่มเพาะธรรมดาๆ ทุกวิชาล้วนแล้วแต่เป็นวิชาบ่มเพาะขั้นสูง ซึ่งไม่ว่าจะใช้ในการฝึกฝน หรือในการต่อสู้ ก็สามารถทำให้คนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงได้!

 

แล้วหลิงหยุนไม่กลัวหรือกังวลเลยหรือว่าในวันข้างหน้าทั้งเพื่อน พี่น้อง หรือแม้แต่ผู้หญิงของเขา จะทรยศหักหลังเขาด้วยเหตุผลต่างๆ แล้วตีตัวออกห่าง หรืออาจกลับกลายมาเป็นศัตรูกับเขาเสียเอง!

 

แม้แต่พ่อกับลูกยังสามารถกลับกลายมาเป็นศัตรูกันได้เลยสามีภรรยาก็ยังมีวันหย่าร้างกันได้ แม้กระทั่งพี่น้องคลานตามกันมาก็ยังทรยศหักหลังกันได้เช่นเดียวกัน แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนที่อยู่ข้างกายหลิงหยุนจะไม่ทรยศหักหลังเขา

 

และต่อให้มิตรสหายและผู้หญิงของเขาจะไม่ทรยศหักหลังหลิงหยุนแต่หากถูกจับตัวไปและถูกทรมาน หรือใช้พลังพิเศษอย่างเช่นเนตรปีศาจสะกดจิตเล่า พวกเขาจะสามารถต่อต้านได้อย่างไร!

 

เหตุการณ์เช่นนั้นง่ายนักที่จะเกิดขึ้นได้!ดูอย่างเกาเฉินเฉินเป็นต้น..

 

แต่มีหรือที่คนเฉลียวฉลาดล้ำลึกอย่างหลิงหยุนจะไม่รู้เพราะเหตุการณ์ในลักษณะนี้เขาเองก็ได้เคยพบเห็น และได้ยินมามากมายเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะ เขาจึงได้ระมัดระวังในเรื่องนี้อยู่เสมอ

 

แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวและไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะรู้ดีว่าไม่มีใครที่จะฝึกฝนได้ก้าวหน้ารวดเร็วเท่าตนเองอีกแล้ว!

 

หากจะมีใครสักคนที่จะสามารถก้าวทันหลิงหยุนได้ก็คงจะมีแต่หนิงหลิงยู่ซึ่งมีกายอัปสรเท่านั้น แต่ตราบใดที่พลังวนหยิน-หยางได้ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว หลิงหยุนก็มั่นใจว่าจะไม่มีใครสามารถฝึกฝนได้ก้าวหน้ารวดเร็วเท่ากับเขาอีกแล้ว!

 

เพราะพลังวนหยิน-หยางนั้นไม่เพียงแค่เพิ่มความรวดเร็วในการดูดซับพลังชีวิตรอบๆตัว แต่หลิงหยุนยังสามารถใช้พลังวนหยิน-หยางนี้ ดูดซับเอาพลังปราณจากร่างกายของผู้ฝึกบ่มเพาะคนอื่นได้ด้วย และใช้วิชาพลังลับหยินหยางแปลงพลังปราณของผู้อื่นมาเป็นพลังหยิน-หยางของตนเอง..

 

วิธีดูดพลังปราณจากผู้อื่นได้นั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก!

 

ลองจินตนาการดูว่า..หากหลิงหยุนกำลังต่อสู้อยู่กับศัตรู และกำลังปะทะฝ่ามือกัน แล้วจุดตันเถียนของหลิงหยุนเกิดหมุนกลับ และดูดเอาลมปราณของศัตรูเข้าไป ศัตรูก็จะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ ส่วนหลิงหยุนกลับจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นั่นไม่เท่ากับว่าเป็นความพ่ายแพ้ของศัตรูอย่างนั้นหรือ

 

ตราบใดที่คู่ต่อสู้ของหลิงหยุนไม่ได้เก่งกาจจนคาดไม่ถึงหลิงหยุนก็สามารถชนะได้อย่างง่ายดาย!

 

ซึ่งในเวลานี้คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับหลิงหยุนนั้น ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นก็คือธิดาพรรคมาร!

 

‘รอให้พลังวนหยิน-หยางของข้าก่อตัวสมบูรณ์เสียก่อนถึงเวลานั้นข้าก็คงจะสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้แล้ว และหากเจ้ายังไม่เก่งกว่าข้า ก็อย่าหาว่าข้ารังแกเจ้าก็แล้วกัน ข้าจะทำให้เจ้าต้องยอมสิโรราบต่อข้าให้จงได้!’

 

หลิงหยุนได้แต่แอบคิดถึงธิดาพรรคมารที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และเริ่มรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาทันที

 

“น้องห้า..นี่เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

 

หลิงหย่งเห็นหลิงหยุนถือกระบี่ไว้ในมือและยืนนิ่งคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ในใจ จึงได้แต่ร้องถามขึ้นมา

 

หลิงเฟิงเองที่อยู่ข้างๆก็ยืนตัวตรงด้วยความตื่นเต้น!

 

หลิงหยุนตื่นจากภวังค์แล้วตอบกลับไปว่า “ข้าไม่ได้คิดอะไร! หากพวกเจ้าต้องการมีพลังจิต ก็ต้องฝึกฝนจนสามารถเข้าสู่ด่านสุดท้ายของขั้นเซียงเทียนให้ได้เสียก่อน!”

 

หลิงเฟิงที่กำลังตื่นเต้นสุดขีดเปลี่ยนเป็นหน้าเศร้า ความรู้สึกของเขาคล้ายกับลูกบอลที่กำลังแฟบทันที..

 

ด่านสุดท้ายของขั้นเซียงเทียนอย่างนั้นหรือ!เป็นเรื่องที่ยากเย็นจนเกินไป!

 

หลิงหยุนเห็นสีหน้าของหลิงเฟิงจึงได้แต่พูดปลอบใจ“อย่าได้กังวลใจไป.. ข้ารับรองว่าภายในเวลาเพียงแค่สองปี เจ้าจะสามารถเข้าสู่ด่านสุดท้ายของขั้นเซียงเทียนได้อย่างแน่นอน!”

 

หลังจากนั้น..หลิงหยุนก็หันไปพูดกับนักรบตระกูลหลิงทั้งสามสิบหกคนที่อยู่ด้านหลังว่า

 

“พวกเจ้าเองก็เช่นกัน..หากตั้งใจฝึกฝน ก็จะสามารถเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียนได้เช่นกัน..”

 

นักรบตระกูลหลิงทั้งสามสิบหกคนเมื่อได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้นดีใจ ทุกคนต่างก็นิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจ และได้แต่คิดในใจว่าพวกตนนั้นหูฝาดไปหรือไม่

 

ภายในเวลาเพียงแค่สองปี..พวกเขาทุกคนจะสามารถเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียนได้อย่างนั้นหรือ!

 

“ขอบคุณนายน้อยหลิงหยุน!”หลังจากหายตกใจ นักรบทั้งสามสิบหกคนต่างก็ร้องตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

 

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและได้แต่คิดในใจว่า คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ยอมมอบกายถวายชีวิตให้กับตระกูลหลิง หากไม่สอนวิชาให้พวกเขาเหล่านี้ จะไปสอนให้ผู้ใดกันเล่า

 

ในสายตาของหลิงหยุนนั้นเขาเชื่อใจนักรบตระกูลหลิงทั้งสามสิบหกคนนี้มากกว่าหลิงเจิ้นซึ่งเป็นลุงของเขาเสียอีก!

 

หลิงหยุนหันไปยิ้มให้หลิงเลี่วยเป็นการเร่งเร้าพร้อมกับส่งกระบี่ในมือให้กับเขา จากนั้นจึงสั่งเสียงเบาว่า..

 

“น้องหก..เจ้าเริ่มก่อนคนแรก!”

 

ท่าทางของหลิงเลี่วยนั้นทำให้นักรบตระกูลหลิงทั้งสามสิบหกคนตกใจไม่น้อยหลิงเลี่วยเดินหน้าเครียดเข้าไปหาหลิงหยุน เลือดในกายเดือดพล่าน พร้อมกับจ้องมองเหล่านินจาทั้งยี่สิบคนด้วยความเคียดแค้น!

 

หลิงหยุนกระโดดถอยหลังออกมาแล้วหันไปพูดกับนินจาทั้งยี่สิบคนที่กำลังเจ็บปวดอย่างที่สุดด้วยน้ำเสียงที่เฉยชา..

 

“พวกเจ้าทั้งหมดมีใครที่พูดภาษาจีนได้บ้าง”

 

หนึ่งในนั้นซึ่งเป็นนินจาขั้นเซียงเทียนกัดฟันพร้อมกับพูดออกมาเป็นภาษจีนว่า “พวกเจ้าจะฆ่าก็ฆ่า.. พวกเราไม่กลัวตาย!”

 

สำหรับจิตวิญญาณนักรบของเหล่านินจานั้นหลิงหยุนรับรู้และเข้าใจดี เพราะเมื่อครั้งที่เขาได้เผชิญหน้ากับทหารหญิงชาวญี่ปุ่นบนเกาะเตียวหยูนั้น แม้นางจะเป็นเพียงแค่ทหารหญิง แต่ก็ยินยอมตายเพื่อประเทศชาติ มากกว่าที่จะยอมบอกความลับออกมา จึงแทบไม่ต้องพูดถึงนินจาทั้งยี่สิบคนนี้..

 

หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ข้าแค่อยากจะถามว่า พวกเจ้าทั้งยี่สิบคนนี้ มีใครบ้างที่เป็นนินจาของตระกูลโทคุงาวะบ้าง”

 

หลิงหยุนยังไม่ลืมเรื่องหม้อเสินหนงของเขาและจำได้ว่าฝาหม้อเสินหนงนั้นอยู่ที่ตระกูลโทคุงาวะ เขาจึงต้องการเดินทางไปที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อไปนำฝาหม้อกลับมาโดยเร็วที่สุด ดังนั้นเขาจึงต้องการสังหารนินจาของตระกูลโทคุงาวะให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

นินจาขั้นเซียงเทียนถึงกับอึ้งไปเขามองหลิงหยุนด้วยความประหลาดใจพร้อมกับร้องถามขึ้นว่า

 

“เจ้ารู้จักตระกูลโทคุงาวะได้อย่างไร”

 

หลิงหยุนตอบกลับไปทันที“ตระกูลโทคุงาวะเป็นตระกูลนักรบที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ข้าก็ต้องรู้จักอยู่แล้ว!”

 

คำตอบของหลิงหยุนนั้นไม่ต่างจากการไม่ได้ตอบอะไรเลย.. หลิงหยุนไม่ต้องการพูดอะไรมาก เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นการสร้างปัญหาให้กับตระกูลหลิงไปโดยไม่รู้ตัว!

 

นินจาขั้นเซียงเทียนพูดออกมาอย่างเย้ยหยัน“เชอะ.. จัดการกับตระกูลเล็กๆตระกูลหนึ่งในประเทศจีน ไม่จำเป็นต้องใช้นินจาของตระกูลโทคุงาวะซึ่งเป็นตระกูลนักรบที่ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นหรอก หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ พวกเขาไม่มีทางมาที่ประเทศจีนด้วยซ้ำไป..”

 

หลังจากได้ฟังคำตอบหลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และได้แต่คิดว่านินจาผู้นี้คงจะไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมาก เขาน่าจะลองถามหัวหน้านินจาขั้นเซียงเทียน-7 ทั้งสองคนจะดีกว่า..

 

นินจาขั้นเซียงเทียนยังคงมองหลิงหยุนด้วยสายตาเย้ยหยันพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า“หากไม่ใช่เพราะเจ้า.. พวกข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”

 

สายตาและน้ำเสียงของหลิงหยุนเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกทันที“นั่นไม่สำคัญ.. สำคัญที่ผลลัพธ์ต่างหาก!”

 

จากนั้นหลิงหยุนก็โบกมือให้กับหลิงเลี่วยพร้อมกับร้องสั่งว่า“หลิงเลี่วย.. จัดการตัดหัวของมัน!”

 

หลิงเลี่วยถือกระบี่ตรงเข้าไปหาศัตรูทันทีเขาเงื้อมือขวาที่สั่นเล็กน้อยขึ้น และทันทีที่สิ้นเสียงร้องตะโกนของหลิงหยุน

 

“ลงมือได้!”

 

หลิงเลี่วยก็กัดฟันแน่นพร้อมกับฟันกระบี่ในมือลงไปที่ลำคอของนินจาขั้นเซียงเทียนทันที!

 

ชัวะ!

 

ศรีษะของนินจาขั้นเซียงเทียนร่วงหล่นลงที่พื้นทันที!

 

สีหน้าของหลิงหยุนยังคงไม่เปลี่ยนแววตาของเขายังคงเย็นชา และสั่งให้หลิงเลี่วยลงมือฆ่ารายต่อไปทันที

 

หลิงเลี่วยกล้ำกลืนและต่อต้านความรู้สึกขยะแขยงที่เกิดขึ้นในใจแล้วจัดการตัดศรีษะของนินจาไปอีกสองคน จนกระทั่งหลิงหยุนร้องสั่งให้หยุด!

 

“หากเจ้ารู้สึกอยากจะอาเจียนก็ถ่มน้ำลายออกมา และหลังจากผ่านครั้งนี้ไปได้ ในวันข้างหน้าเจ้าก็จะไม่กลัวการสังหารศัตรู!”

 

หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ส่งกระบี่ยาวในมือหลิงเลี่วยให้กับหลิงเฟิงต่อ..