เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนรถม้า กำลังขบคิดเรื่องต่างๆ อย่างเงียบๆ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนคิดว่านางรู้สึกเสียใจกับเด็กผู้หญิงที่ถูกซื้อตัวเข้าไปในจวนของท่านเสนาบดีจึงพูดปลอบใจนางไปว่า “แม่ค้านายหน้าพูดถูก พ่อแม่ของเด็กผู้หญิงเหล่านั้นไม่รู้จักทะนุถนอมพวกนาง ขายพวกนางออกไป ต่อให้เจ้าเสียใจแทนเด็กผู้หญิงเหล่านั้นมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

 

 

ด้วยในชาติภพก่อนของเมิ่งเชี่ยนโยวนางถูกฝึกฝนให้เป็นนักฆ่าตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นพอโตขึ้นจึงกลายเป็นคนที่มีนิสัยเย็นชาไปแล้ว เมื่อเห็นเด็กผู้หญิงเหล่านั้นถูกขายออกไป นางก็แค่รู้สึกเห็นใจเท่านั้น ทว่าครั้นพอได้ฟังคำจากปากของหวงฝู่อี้เซวียน จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดไปไกล จึงได้พูดแก้ไขความเข้าใจผิดออกไปว่า “วันนี้พอข้าได้เห็นคุณชายใหญ่ก็รู้ได้เลยว่าเขาเป็นคนที่จิตใจคับแคบนัก ข้ากำลังคิดอยู่ว่าเมื่อปีนั้นไม่รู้ว่าเหวินเปียวไปล่วงเกินอะไรเขาเข้า ถึงได้ทำให้เขาคิดอุบายวางแผนทำร้ายครอบครัวของเขาทั้งครอบครัวแบบนี้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพอรู้ว่านางไม่ได้เสียใจเพราะเด็กผู้หญิงเหล่านั้น เขาก็ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งใจ “รอกลับถึงบ้านก่อนค่อยไปถามความเอาจากเหวินเปียวอีกทีเท่านี้ก็ได้คำตอบแล้ว เจ้าจะครุ่นคิดคาดเดาให้ตัวเองลำบากไปไย?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัว “น่ากลัวว่าแม้แต่ตัวเหวินเปียวเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยกระมังว่าตนเองเผลอเป็นล่วงเกินเขาเข้า เมื่อปีนั้นตอนที่พวกเราออกจากเมืองฟู่เฉิง ระหว่างทางกลับบ้านได้ถูกดักซุ่มโจมตี ข้าเคยถามเขา ทว่าเขากลับตอบกลับมาเพียงว่าคุณชายใหญ่ใช้เรื่องเครื่องประดับหยกมาใส่ร้ายเขา ส่วนสาเหตุอื่นๆ ไม่มีการกล่าวถึงแม้แต่ประโยคเดียว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วขึ้นตาม “ดูจากท่าทีของเฮ่อเหลียนเหมือนกับว่าอีกฝ่ายมีความแค้นลึกซึ้งกับเหวินเปียวอย่างไรอย่างนั้น เห็นทีเหวินเปียวน่าจะทำให้เขาขุ่นเคืองไปไม่เบา เอาแบบนี้ก็แล้วกัน รอเจ้ากลับถึงบ้านก่อนค่อยลองหยั่งเชิงถามเขาอย่างระมัดระวังดูอีกครั้ง ดูสิว่าเขาจะนึกอะไรออกได้บ้างไหม ข้าหลังจากกลับถึงจวนแล้วจะส่งคนไปช่วยแอบสืบเรื่องนี้ดูอีกที ดูสิว่าจะหาเบาะแสเพิ่มเติมได้บ้างหรือเปล่า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสำทับนางไปอีกครั้งอย่างไม่วางใจ “วันนี้เจ้าทำให้เฮ่อเหลียนขายหน้าต่อหน้าผู้คน เขาต้องไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่ จากนี้ไปเจ้าต้องระมัดระวังตัวในการเข้าออกให้มากขึ้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มขึ้นอย่างสบายๆ “วางใจเถิด กับคนถ่อยชั่วช้าอย่างเขาดีแต่วางแผนทำร้ายผู้คนลับหลังเท่านั้นแหละ ไม่กล้าเคลื่อนไหวตรงๆ ต่อหน้าหรอก”

 

 

เพราะทั้งสองคนใช้เสียงที่เบามากในการพูดคุยกัน เหวินเปียวซึ่งบังคับรถม้าอยู่ด้านนอกจึงไม่ได้ยินบทสนทนานี้เลยแม้แต่น้อย

 

 

จนกระทั่งรถม้ามาจอดเทียบถึงหน้าประตู ทั้งสองคนก็เดินลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปในลานบ้าน

 

 

รถม้าที่ขับตามมาจากทางด้านหลังเองก็หยุดลงด้วยเหมือนกัน เด็กผู้หญิงทั้งสามคนรวมถึงหญิงผู้นั้นก็พาเด็กชายตัวน้อยออกมาจากรถม้า

 

 

องครักษ์สองนายช่วยกันแบกชายคนนั้นออกมาแล้วพาเขาเข้าไปในลานบ้าน

 

 

ซึ่งข้างในนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวได้รอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว

 

 

หลายคนเข้ามายืนต่อแถวและมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างประหม่า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองพวกเขาสองสามทีก่อนจะพูดออกไปว่า “ต่อจากนี้ไปที่นี่จะเป็นบ้านของพวกเจ้า งานของพวกเจ้าในแต่ละวันนั้นง่ายมากนั่นก็คือทำความสะอาดบ้าน ทำอาหารแล้วก็ซักเสื้อผ้า ตราบใดที่พวกเจ้าทำงานกันอย่างสงบและเรียบร้อย ข้าจะไม่กะเกณฑ์และผูกมัดพวกเจ้าจนเกินไป อย่างไรก็ตามเงื่อนไขหนึ่งที่พวกเจ้าต้องจำให้ขึ้นใจนั่นก็คือห้ามไม่ให้มีการทะเลาะกันเองโดยเด็ดขาด ห้ามไม่ให้จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องใดก็ตาม หากมีใครทำผิดกฎทั้งสองข้อนี้ ข้าจะขายพวกเจ้าทิ้งเสีย”

 

 

หลายคนรีบร้อนตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “เจ้าค่ะ คุณหนู”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ไปที่เด็กหญิงทั้งสามและบอกกับกัวเฟยไปว่า “พาทั้งสามคนไปที่ห้องของบ่าวรับใช้ ให้พวกนางต้มน้ำร้อนกันเองและทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย”

 

 

กัวเฟยขานรับคำหนึ่งก่อนจะเดินนำเด็กหญิงทั้งสามออกไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปออกคำสั่งกับองครักษ์ทั้งสองคนต่อ “พวกเจ้าพาเขาไปที่ห้องของบ่าวรับใช้ก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะไปดูเขาอีกที”

 

 

องครักษ์ทั้งสองคนรับคำสั่งแล้วแบกชายคนนั้นขึ้นมาเดินจากไปในทันที

 

 

ตอนนี้คนที่เหลืออยู่ที่นี่ก็มีเพียงหญิงผู้นั้นกับเด็กชายตัวน้อยแล้ว ทั้งสองมองนางอย่างใจจดใจจ่อแกมกระวนกระวายใจ

 

 

ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวก็หันไปทางเหวินเปียว มีคำสั่งลงไปว่า “เจ้าไปซื้อเสื้อผ้าให้พวกนางทั้งหมด แต่ละคนซื้อกันคนละสองชุด” กล่าวจบก็สำทับเพิ่มไปอีกหนึ่งประโยคว่า “ซื้อของเด็กมาด้วย”

 

 

หญิงผู้นั้นทันทีที่ได้ยินดังกล่าวก็ดีใจมาก รีบพูดขึ้นทันทีว่า “ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณแม่นาง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือออกไปทีหนึ่ง

 

 

จากนั้นเหวินเปียวก็พาหญิงผู้นั้นออกจากลานบ้านไป

 

 

หลังจากจัดการกับทั้งหมดนี้เสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนก็พากันกลับไปที่เรือนหลัก

 

 

หวงฝู่อี้เดินไปชงชา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหย่อนตัวลงบนเก้าอี้แล้วพูดขึ้น “ยื่นมือออกมา ข้าจะจับชีพจรให้เจ้า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงบนเก้าอี้ตาม มือพาดวางไปบนโต๊ะอย่างเชื่อฟัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแตะนิ้วลงบนแอ่งชีพจรบนข้อมือของเขา ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะพูดขึ้นว่า “ยังมีพิษเหลืออยู่อีกเล็กน้อยที่ยังไม่ได้ถูกกำจัด นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปหลังจากที่เจ้าเลิกเรียนที่กั๋วจื่อเจียน*แล้วให้ตรงมาหาข้าที่นี่เลย ข้าจะเขียนใบสั่งยาใหม่ให้ ทุกวันเจ้าต้องดื่มยาที่นี่ก่อนถึงจะสามารถกลับจวนได้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนแต่เดิมก็กระตือรือร้นที่จะมาที่นี่มากอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินว่าต้องมาทุกวัน ก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างมีความสุขทันที “ข้าเลิกเรียนช่วงต้นยามอู่ของทุกวัน ถ้าอย่างไรเจ้าช่วยเตรียมมื้อกลางวันให้ข้าด้วยเลย ข้าจะไม่กลับจวนอ๋องแล้ว ทุกวันจะมาฝากท้องที่นี่แหละ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาให้เขาครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลอบร้องยินดีในใจ

 

 

ในตอนนี้เองหวงฝู่อี้ก็ยกชาที่ชงแล้วมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขาด้วยความเคารพ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยชาขึ้น พลางถามออกไปว่า “ไม่กี่วันมานี้เจ้าจัดการกับกากยาอย่างไร?”

 

 

“ข้าขุดหลุมใต้ต้นไม้ใหญ่ในลานและฝังพวกมันทั้งหมดไว้ในนั้น” หวงฝู่อี้ตอบทันที ก่อนจะพูดต่ออีกหนึ่งประโยคว่า “เรือนของซื่อจื่อยามนี้มีข้าเพียงคนเดียวที่รับใช้อยู่ที่นี่ ดังนั้นไม่มีใครรู้แน่นอน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “อี้เซวียนถูกพิษมานาน นี่แสดงให้เห็นว่ามีคนวางยาเขามานานแล้ว ตอนนี้เขาใช้โอกาสนี้จัดการทำความสะอาดคนในเรือนใหม่ ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังจะต้องร้อนใจและนั่งไม่ติดอยู่เป็นแน่ เจ้าต้องใส่ใจและระมัดระวังให้มาก ของที่ไม่ใช่มาจากมือของเจ้าเองเป็นไปได้อย่าให้เข้าปากของซื่อจื่อเจ้าโดยเด็ดขาด”

 

 

หวงฝู่อี้ตอบกลับอย่างนอบน้อม “ข้าทราบแล้วแม่นางเมิ่ง”

 

 

จากนั้นหวงฝู่อี้เซวียนก็โบกมือขึ้น หวงฝู่อี้ถอยออกไปแล้วไปยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูแทน

 

 

ทันทีที่หวงฝู่อี้ปิดประตูลง หวงฝู่อี้เซวียนก็หันมายิ้มอย่างมีเสน่ห์ให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขาไป พูดออกไปว่า “มีอะไรก็พูดมา”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะเสียงเบา ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “โยวเอ๋อร์ นี่ก็สี่ปีแล้วนะที่ข้าไม่ได้ทานอาหารฝีมือเจ้า เย็นนี้ข้าอยากอยู่ทานอาหารที่นี่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบตาขึ้นมองสีของท้องฟ้าด้านนอก ถามออกไปว่า “เจ้าอยากทานอะไร? ข้าจะไปเตรียมให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ ทานเสร็จแล้วก็รีบกลับจวนไป”

 

 

เมื่อได้ยินว่านางตอบตกลง หวงฝู่อี้เซวียนก็มีความสุขมากจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก เขายืดตัวขึ้น พูดไปด้วยน้ำเสียงประจบว่า “ขอเพียงแค่เจ้าทำ จะอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

 

 

“รอเดี๋ยว” กล่าวจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นตาม “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย ข้าช่วยเจ้าติดไฟได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนกับเพิ่งได้สติ จึงหยอกล้อเขาไปว่า “ซื่อจื่อ ด้วยฐานะของเจ้าในตอนนี้ใช้ให้เจ้าไปช่วยจุดไฟ เจ้าคิดว่ากับข้าวที่ข้าทำออกมาจะยังมีใครกล้ากินอยู่เหรอ?”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนผงะไปชั่วขณะหนึ่ง แต่แล้วก็เริ่มทำตัวไร้ยางอายขึ้นมา “ข้าไม่สน ข้าจะไปทำอาหารกับเจ้าด้วย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก อยากจะยกมือขึ้นไปเคาะศีรษะเขาสักที แต่พอยกมือขึ้นก็ตระหนักได้ว่าฐานะของอีกฝ่ายในตอนนี้สูงกว่าตัวเองมาก จึงได้แต่เก็บมือกลับไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยเหลือไว้ พูดออกไปว่า “ไปกันเถอะ”

 

 

กล่าวจบ ก็หมุนตัวแล้วเดินออกไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตามหลังอีกฝ่ายไปอย่างมีความสุข

 

 

หวงฝู่อี้ซึ่งยืนเฝ้าประตูอยู่ เห็นทั้งสองคนเดินออกมาจึงได้เข้าไปถามว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง นี่พวกท่าน…?”

 

 

“ข้ากับโยวเอ๋อร์กำลังจะเข้าครัวไปทำอาหาร เจ้าเองก็มาด้วยกันสิ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบไปอย่างคล่องปาก

 

 

เป็นฝ่ายหวงฝู่อี้ที่ตื่นตระหนกไปแล้วหลังจากที่ได้ยิน รีบเข้าไปหยุดอีกฝ่ายไว้ทันทีด้วยความลนลาน “ซื่อจื่อ ฐานะของท่านสูงส่งยิ่งนัก จะให้ไปเหยียบสถานที่เช่นนั้นได้อย่างไร”

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วแน่น ลดเสียงลงแล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “อี้เอ๋อร์ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้าเรียนรู้อะไรแบบนี้?”

 

 

หวงฝู่อี้หลังจากสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ไม่ถูกต้องของเขาก็เงยหน้าขึ้นมอง แต่พอเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายก็ไม่น่าดูเป็นอย่างมาก ก็ให้หวาดกลัวรีบก้มหน้างุดทันที ไม่กล้าพูดอะไรอีก

 

 

เสียงทุ้มลึกของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นเหนือศีรษะของเขา “เหตุผลที่ข้าให้เจ้าติดตามอยู่ข้างกายเพราะว่าข้าเห็นเจ้ามาแต่เล็ก มองว่าเจ้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ยิ่งไม่อาจทนเห็นเจ้าที่ยังเด็กโดดเดี่ยวเป็นกำพร้าได้ แต่ว่าข้าไม่อยากให้เจ้าเปลี่ยนไปเป็นเหมือนกับคนพวกนั้นที่อยู่ในจวนอ๋อง มองข้าเป็นดั่งซื่อจื่อผู้สูงส่ง ใช้นิยามทางโลกเหล่านั้นมาผูกมัดและจำกัดความต้องการของข้า”

 

 

อย่างไรก็ตามหวงฝู่อี้ยังเด็ก หลังจากอยู่ในจวนอ๋องเป็นเวลานานหลายปีเขาก็ได้ซึมซับอิทธิพลเหล่านั้นมาโดยไม่รู้ตัว เกิดเป็นความรู้สึกที่ว่าฐานะของหวงฝู่อี้เซวียนแตกต่างและห่างไกลจากพวกเขามากเหลือเกิน ดังนั้นตอนนี้พอได้ยินคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียน จึงได้รู้สึกตกใจเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ก่อนจะตัดสลับมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว สายตาจับจ้องทั้งคู่อย่างเงียบๆ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตบไปที่ไหล่ของหวงฝู่อี้เบาๆ “อี้เอ๋อร์ ไม่ว่าเมื่อไหร่หรือเวลาใดก็ตามเจ้าต้องจำไว้เสมอว่าเจ้าเป็นน้องชายของข้า ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชา”

 

 

หลังจากพูดจบ เขาก็หันศีรษะไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวเบาๆ “ไปกันเถอะ ไปที่ห้องครัวกัน ข้าจะเป็นลูกมือให้เจ้าเอง”

 

 

หวงฝู่อี้ตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อมองไปทางคนทั้งสองที่กำลังจะเข้าครัวไป เขาก็ตะโกนขึ้นด้วยเสียงดังว่า “พี่ชาย แม่นางเมิ่ง ข้าก็จะไปช่วยพวกท่านด้วย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกคิ้วของนางแล้วมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มตอบนางเล็กน้อย

 

 

จากนั้นคนทั้งสามก็เดินเข้าห้องครัวไป