เนื่องจากว่ายังไม่ถึงเวลาทำอาหาร ในครัวเวลานี้จึงว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลยสักคน มีเพียงหม้อต้มน้ำร้อนใบใหญ่บนเตาที่กำลังปลดปล่อยไอร้อนออกมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลงมือตรวจสอบวัตถุดิบทำอาหารที่เหวินเปียวไปจัดการหาซื้อมาในวันนี้อย่างละเอียด ฉับพลันสูตรอาหารก็ปรากฏขึ้นในใจ จึงพูดออกไปว่า “วันนี้คนในเรือนค่อนข้างเยอะ ข้าว่าจะจัดเตรียมอาหารสักหกอย่าง ทั้งสองคนคงต้องยุ่งกันหน่อยแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อี้ตอบรับพร้อมกันทันทีด้วยความร่าเริง “ไม่มีปัญหา”

 

 

จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งให้หวงฝู่อี้เซวียนทำความสะอาดผักบางส่วน ในขณะที่นางเอาเนื้อสัตว์มาหั่นเป็นชิ้นๆ ขนาดตามที่ตนเองต้องการ

 

 

ทั้งสามคนคุยกันพลางหัวเราะสนุกสนานอยู่ในห้องครัว

 

 

หลังจากหญิงสาวที่เพิ่งถูกซื้อตัวมาและเด็กหญิงทั้งสามอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกนางก็ผลัดเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อมา และเมื่อเห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเย็นลง พวกนางจึงพร้อมใจกันเดินไปทางห้องครัวหมายจะลงมือเตรียมมื้อเย็นของวันนี้ ที่ไหนได้ยังไม่ทันจะไปถึงเสียงหัวเราะพูดคุยกันของคนกลุ่มหนึ่งก็ดังมาให้ได้ยินเสียก่อน คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ครัวรีบก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วทันที และเมื่อเดินเข้าไปในครัวแล้วได้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกับคนอื่นๆ นางก็ตกใจจนแทบเสียสติ รีบดิ่งเข้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความลนลานแล้วพูดว่า “แม่นาง ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถิด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกได้ว่าแทบจะตระเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพแล้ว จึงหันไปยิ้มให้กับแม่ครัว พูดกับอีกฝ่ายไปว่า “วันนี้พวกเจ้าเพิ่งมาถึง ไม่จำเป็นต้องทำ ไปล้างจานชามกับตะเกียบเตรียมไว้ก็พอแล้ว”

 

 

แม่ครัวขานรับคำหนึ่ง จากนั้นก็พาเด็กหญิงทั้งสามไปตักน้ำร้อนเพื่อล้างจาน

 

 

เหวินเปียวกับกัวเฟยยังคงติดใจเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้พวกเขากินกลางดึกไม่หาย เมื่อพวกเขาทั้งหมดมาถึงแล้วได้ยินเสียงดังมาจากทางครัว ก็ให้รีบร้อนเดินเข้าไปทันที และพวกเขาก็เป็นต้องตกใจเมื่อได้เห็นว่าแม้แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังอยู่ข้างในด้วย จึงรีบถลาเข้าไปกล่าวด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายว่า “งานหยาบเหล่านี้ให้ข้าทำแทนเถิดขอรับ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือให้ “ไม่ต้อง เจ้าไปเฝ้าที่หน้าประตู อย่าให้ใครเข้ามารบกวนการทำอาหารของพวกเรา”

 

 

กัวเฟยไม่ขยับไปไหนเลย สายตาจับจ้องไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวไม่วางตา

 

 

“ไปเถอะ”

 

 

จากนั้นกัวเฟยก็ออกไปยืนเฝ้าที่หน้าประตูเป็นเพื่อนเหวินเปียว กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลมทำให้ทั้งคู่อดไม่ไหวน้ำลายสอ

 

 

อาหารทั้งหกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกับข้าวของหวงฝู่อี้เซวียนเองก็ทำเสร็จแล้วเช่นกัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบจานเล็กๆ ที่สะอาดขึ้นมาวางไว้สองสามจาน แต่ละจานใส่กับข้าวแต่ละอย่างลงไปอย่างละนิดละหน่อย จากนั้นก็ตักข้าวใส่ชามเพิ่มอีกสองชามแล้วสั่งให้หวงฝู่อี้กับกัวเฟยยกมันไปส่งที่ห้อง แล้วจึงหันไปพูดกับเหวินเปียวที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูกับแม่ครัวและเด็กหญิงทั้งสามที่กำลังรออย่างกระสับกระส่ายว่า “อาหารเย็นพร้อมแล้ว ไปเรียกทุกคนมากินได้แล้ว อย่าลืมทำความสะอาดครัวหลังทานอาหารเสร็จด้วยเล่า”

 

 

หลายคนขานรับพร้อมกัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนเดินกลับไปที่ห้อง หวงฝู่อี้ยกน้ำสะอาดเข้ามาเพื่อให้พวกเขาล้างมือก่อนลงมือทานอาหาร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองอ่างน้ำที่อยู่ในมือของเขาเพื่อบอกเป็นนัยว่าให้วางมันลง “พวกข้าจัดการเอง เจ้ารีบไปกินข้าวเถอะ ขืนช้าไปกว่านี้เกรงว่าแม้แต่น้ำซุบก็จะไม่เหลือแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้ท้องร้องโครกครากตั้งแต่ได้กลิ่นหอมๆ ของกับข้าวลอยมาในครัวแล้ว ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้เขาก็ไม่ยืนกรานต่ออีก รีบวิ่งไปที่ห้องครัวด้วยความรวดเร็วประหนึ่งจะติดปีกบิน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้กับปฏิกิริยาของเขาพลางส่ายหัว “อย่างไรก็ยังเป็นเด็กอยู่ยังวันยังค่ำ เผลอครู่เดียวก็แสดงธรรมชาติดั้งเดิมของความเป็นเด็กออกมาแล้ว”

 

 

ทั้งสองล้างมือ ก่อนจะนั่งลงแล้วลงมือทานอาหาร

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้กินอาหารรสมือของเมิ่งเชี่ยนโยวมาสี่ปีแล้ว แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้เอาแต่กินจนละเลยเพิกเฉยต่อเมิ่งเชี่ยนโยวแต่อย่างใด เขาคีบกับข้าวให้นางอย่างเอาใจใส่ก่อนจะลงมือทานของตัวเองด้วยท่วงท่าสง่างาม อย่างไรก็ตามดูเหมือนมื้อนี้จะกินมากเกินไปหน่อยแล้ว ด้วยเพราะทำกับข้าวที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำมีหลายอย่างมาก ประกอบกับเจ้าตัวกินไปเพียงนิดเดียว ดังนั้นส่วนที่เหลือจึงมาลงท้องเขาหมด

 

 

ได้เห็นท่าทีเกียจคร้านไม่เต็มใจจะเคลื่อนไหวของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวจึงแกล้งหยอกเขาไปว่า “เป็นถึงซื่อจื่อผู้สูงส่งแห่งจวนอ๋องฉีกลับมาสวาปามกับข้าวที่บ้านข้าจนจุกแทบขยับไม่ไหวแบบนี้ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปผู้อื่นจะคิดไปว่าเจ้าถูกคนในจวนอ๋องทารุณกรรมเอา”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลูบท้องที่พองขึ้นเหมือนกับลูกหนังของตนอย่างไม่คิดจะรักษาภาพพจน์เลยแม้แต่น้อย “กับข้าวที่พ่อครัวในจวนอ๋องทำพันปีไม่มีเปลี่ยนแปลง มันจะอร่อยเท่าของเจ้าได้อย่างไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะไม่ออก “อีกหน่อยหลังจากเจ้าเลิกเรียนที่กั๋วจื่อเจียนแล้ว ทุกเที่ยงยามมาที่นี่ใช่ว่าข้าจะเข้าครัวทำให้กินทุกมื้อหรอกนะ”

 

 

“ไม่เป็นไร แค่ได้กินรสมือเจ้าบางครั้งบางคราวข้าก็มีความสุขแล้ว ขืนเจ้าเข้าครัวทำให้ข้าทุกวัน ข้าคงรู้สึกปวดใจนัก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวลงบนเก้าอี้อย่างสบายๆ พูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “สี่ปีไม่พบหน้า ซื่อจื่อไม่เพียงแต่จะรูปลักษณ์เปลี่ยนไป กระทั่งคำรักคำเกี้ยวก็ยังรู้จักพูดแล้ว ไม่รู้ว่าได้ให้ใครมาช่วยฝึกซ้อมบ้างหรือเปล่า หรือบางที…”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตกใจจนเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ทันที “โยวเอ๋อร์เจ้าอย่าเข้าใจผิดนะ คุณหนูตระกูลซ่างซูผู้นั้นข้าเคยพบหน้าแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น”

 

 

ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงรอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้ “ข้าเคยพูดว่าเจ้าใช้คุณหนูตระกูลซ่างซูฝึกซ้อมด้วยหรือ? ซื่อจื่อ นี่นับว่าเป็นคำสารภาพคงได้กระมัง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนวิตกกังวลจนนั่งไม่ติดแล้วในตอนนี้ คิดต้องการจะอธิบาย แต่ยิ่งลนลานมากเท่าไหร่ก็ยิ่งคิดหาคำอธิบายไม่ออก เหงื่อบนหน้าผากเม็ดโป้งผุดซึมขึ้นมาไม่หยุด

 

 

เห็นเขามีสภาพแบบนี้ ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลั้นเสียงหัวเพราะเอาไว้ไม่ไหว หลุดหัวเราะดัง “พรืด” ออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงดังว่า “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น เป็นจริงเป็นจังไปได้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่รอยยิ้มอันแสนหวานของนาง เห็นว่านางไม่ได้โกรธเขาจริงๆ ก็ให้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทรุดตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรงก่อนจะพูดว่า “โยวเอ๋อร์ อีกหน่อยอย่าได้ล้อเล่นอะไรแบบนี้อีกนะ เจ้าตลกแต่ข้าไม่ตลกสักนิด ข้ากลัวแทบตายแน่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อบนหน้าผากของเขาเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ทำเรื่องผิดต่อมโนธรรม ไม่กลัวว่าผีจะมาเคาะประตูในยามค่ำคืน ในเมื่อเจ้าไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ไยจะต้องหวาดกลัวและร้อนตัวไปเอง?”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนถือโอกาสนี้คว้ามือของนางมาจับไว้ “ข้ารู้ว่าเจ้าติดใจเรื่องงานแต่งของข้ากับคุณหนูตระกูลซ่างซูมาโดยตลอด วางใจเถิด ข้าจะรีบจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาจ้องเขา แล้วปัดมืออีกฝ่ายออกไป “ข้าคิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว การแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถอยหนี อีกอย่างเจ้ายังเด็ก เรื่องงานแต่งคงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะจัดขึ้นจริงๆ ดังนั้นค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถิด”

 

 

เป็นหวงฝู่อี้เซวียนที่เกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมาหลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ “ใครบอกว่าข้ายังเด็ก ข้าอายุสิบห้าแล้วและข้าก็แต่งงานได้แล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปรามเขา “ทุกอย่างจะรอจนกว่าเจ้าจะจัดการเรื่องถอนหมั้นเรียบร้อย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตามองนางน้อยๆ “โยวเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้คิดจะทิ้งข้าแล้วกลับบ้านไปหรอกใช่ไหม?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปเคาะที่หัวของเขาแล้วพูดว่า “คิดอะไรอยู่? ข้าเคยพูดกับท่านพ่อท่านแม่ก่อนจะมาที่นี่ไปแล้วว่าคราวนี้ข้ามาเพื่อจัดการเรื่องงานแต่ง หากงานแต่งยังไม่ตกลงแล้วข้าจะกลับบ้านไปได้อย่างไร”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินแบบนี้ก็ค่อยวางใจลง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวต่อว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าเอาแต่รอเจ้าจัดการเรื่องถอนหมั้นอย่างเดียวคงไม่ใช่วิธี ไม่สู้ข้าเปิดร้านขายบะหมี่มันฝรั่ง ขยายกิจการของข้าให้กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “นี่เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าจะพาเจ้าไปหาทำเลที่ตั้งร้านดีๆ เองและเราจะเร่งเปิดกิจการโดยเร็วที่สุด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องพาข้าไปหาร้านที่ไหนทั้งนั้น ร้านขายบะหมี่มันฝรั่งของพวกเราจะเปิดตั้งอยู่ตรงข้ามกับเหลาจวี้เสียนนั่นแหละ พรุ่งนี้เจ้าพาข้าไปที่เหลาจวี้เสียน จะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกับเถ้าแก่ของพวกเขาไปเสียด้วยเลย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้ารับ “ได้ พรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ ช่วงที่เหลาจวี้เสียนไม่ค่อยวุ่นวายข้าจะพาเจ้าไป แต่ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นเลย ข้าเองก็ไม่ได้ติดต่อกับเถ้าแก่เหลาจวี้เสียนมานานมากแล้ว พรุ่งนี้ให้ดีเจ้าพกจี้หยกสองอันนั้นไปด้วยดีกว่า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่จำเป็น เถ้าแก่ทั้งหมดของเหลาจวี้เสียนเมื่อสี่ปีก่อนน่าจะรู้จักตัวตนของเจ้าแล้ว พรุ่งนี้หลังจากไปถึงเจ้าแค่แสดงฐานะของตัวเองออกมาก็พอ”

 

 

“ในเมื่อเป็นแบบนั้นเช่นนั้นพวกเราก็ไปกันตั้งแต่ตอนเที่ยงเลยเถิด จะได้ทานอาหารกลางวันที่นั่นด้วยเลย ถือโอกาสสนทนากับเถ้าแก่ยาวๆ” หวงฝู่อี้เซวียนเสนอ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้ พรุ่งนี้เที่ยงเจ้ามารับข้าที่นี่ เราจะไปที่เหลาจวี้เสียนด้วยกัน”

 

 

เวลานี้หวงฝู่อี้ที่แยกตัวออกไปทานมื้อเย็นก็เสร็จจากการทานอาหารเรียบร้อย เขามายืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วถามว่า “พี่ใหญ่ แม่นางเมิ่ง พวกท่านทานเสร็จหรือยัง?”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตอบ “เสร็จแล้ว เจ้ามาเก็บชามและตะเกียบออกไปเถอะ”

 

 

หวงฝู่อี้ขานรับ ก่อนจะเดินเข้าไปทำความสะอาดเก็บกวาดจานข้าวบนโต๊ะอย่างเรียบร้อยว่องไว แล้วพูดต่อว่า “พี่ใหญ่ นี่ก็เริ่มเย็นมากแล้ว พวกเราควรกลับจวนแล้วหรือไม่?”

 

 

เมื่อเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงต้องยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเขาออกไป

 

 

หลังจากที่หวงฝู่อี้รีบส่งถ้วยชามไปที่ห้องครัว เขาก็วิ่งเหยาะๆ แล้วจูงม้าออกไปนอกประตู

 

 

หลังจากบอกลาเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เต็มใจ ทั้งสองก็กลับไปที่จวน และทันทีที่เขานั่งลงในห้องนอนของเขา หวงฝู่อวี้ก็ยกของว่างจานหนึ่งเข้ามา “พี่ใหญ่ วันนี้ท่านแม่ของข้าทำของว่างชั้นเลิศ ข้าจึงยกมาให้ท่านเป็นพิเศษ”

 

 

—————————-

 

 

* กั๋วจื่อเจียน(国子监)เป็นสถาบันการศึกษาสูงสุดของเหล่าชนชั้นสูงหรือราชวงศ์ของจีนในสมัยโบราณ