เท้าที่กำลังจะก้าวออกไปของหวงฝู่อี้หยุดลงชั่วขณะ จากนั้นเขาก็มองกลับไปที่หวงฝู่อี้เซวียน

 

 

แสงประกายวาบวิ่งผ่านเข้ามาในดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียน เขายิ้มแล้วพูดออกไปว่า “วันนี้ข้าอิ่มมาก กับข้าวของโยวเอ๋อร์ทำให้ข้ากินอะไรไม่ลงอีกแล้วล่ะ เจ้าเก็บไว้กินเองเถอะ”

 

 

หวงฝู่อวี้ร้อง “โอ้” ออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะหยิบขนมใส่ปากตัวเองแล้วกัดลงไปเบาๆ พอกลืนลงไปแล้วจึงได้ยินเสียงเขาถามออกมาว่า “นังตัวดี…ข้าหมายถึงแม่นางเมิ่งซื้อจวนแล้วใช่หรือไม่?”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเห็นท่าทางการกินของเขาดูเป็นธรรมชาติ ความสงสัยที่เพิ่งเกิดขึ้นในใจก็สลายหายไป น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “นางซื้อจวนหลังหนึ่งอยู่ฝั่งทางใต้ของเมือง ไว้ว่างๆ แล้วข้าจะพาเจ้าไปดู”

 

 

หวงฝู่อวี้กลับลนลานรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที “ข้าไม่ไปหรอก พี่ใหญ่ท่านไปคนเดียวก็พอแล้ว”

 

 

ตอนนี้เองรอยยิ้มที่ปรากฎบนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็สลายหายไปโดยพลัน ไม่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจัดการกับหวงฝู่อวี้แบบไหนถึงได้ทำให้เขาหวาดกลัวที่จะพูดถึงตัวนางขนาดนี้

 

 

หวงฝู่อวี้กลืนขนมลงคอไปอีกสองคำติด ก่อนจะตบมือของเขาแล้วพูดว่า “ในที่สุดก็อิ่มเสียที ไม่รู้ทำไมหลายวันมานี้เสด็จพ่อดูจะเห็นข้าขัดหูขัดตาแปลกๆ ทำเอาหลายวันมานี้ข้าหวาดระแวงจนกินอะไรไม่ลงเลย” หลังจากพูดจบ เขาก็ชี้ไปที่ของว่างในจานแล้วพูดต่อว่า “ที่เหลือข้าวางไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน เผื่อท่านหิวขึ้นมาจะได้ใช้รองท้องได้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า

 

 

หวงฝู่อวี้มองไปที่เขาก่อนจะเงียบไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสังเกตุเห็นถึงแววตาที่แสดงออกมาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน จึงได้พูดออกไปว่า “เจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมา หากช่วยได้พี่ใหญ่คนนี้จะต้องช่วยเจ้าอย่างแน่นอน”

 

 

หวงฝู่อวี้เม้มริมฝีปากลง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจว่า “พี่ใหญ่ ท่านช่วยขอร้องต่อหน้าเสด็จพ่อแทนข้าหน่อยได้หรือไว่ว่าให้ช่วยยกเลิกการกักบริเวณของท่านแม่ที ท่านแม่บอกว่าหลายวันมานี้ถูกขังอยู่แต่ในเรือน ที่ไหนก็ออกไปไม่ได้ กระทั่งกิจงานทั้งหลายในจวนก็จัดการไม่ได้แล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วจนแทบมองไม่เห็นแล้วพูดว่า “อวี้เอ๋อร์ นี่คือการตัดสินใจของเสด็จพ่อ พวกเราไม่อาจก้าวก่ายได้ รอให้ความโกรธของเสด็จพ่อบรรเทาลงก่อนเถิด ถึงตอนนั้นต้องช่วยคนออกมาได้แน่”

 

 

หวงฝู่อวี้ปลดปล่อยน้ำเสียงที่ผิดหวังออกมาว่า “อ้อ” คำหนึ่ง หย่อนกายลงบนเก้าอี้ด้วยความเศร้าใจ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ปลอบใจเขา เพียงแต่นั่งเงียบๆ เป็นเพื่อนอยู่อีกด้านหนึ่ง

 

 

หลังจากนั้นไม่นานหวงฝู่อวี้ก็ลุกขึ้นด้วยท่าทีไร้เรี่ยวแรง “ข้าขอตัวก่อน จะไปนั่งคุยเป็นเพื่อนกับท่านแม่สักหน่อย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้รั้งตัวเขาไว้

 

 

หวงฝู่อี้โค้งตัวส่งหวงฝู่อวี้ออกจากประตูไปด้วยความเคารพ แล้วมองอยู่อย่างนั้นจนเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไป ก่อนจะหันหลังกลับและเดินกลับเข้าไปในเรือน

 

 

ตอนนี้เองหวงฝู่อี้เซวียนก็ออกคำสั่งกับเขาไปว่า “ของว่างพวกนี้เจ้าห่อใส่ถุงให้ดี พรุ่งนี้ข้าจะเอาไปให้โยวเอ๋อร์ตรวจสอบดู”

 

 

หวงฝู่อี้รับคำ แล้วจึงใช้ห่อผ้ากวาดเอาของว่างที่เหลือในจานลงไปอย่างระมัดระวัง มัดปากห่อวางไว้อีกด้านอย่างดี

 

 

หวงฝู่อวี้ตรงกลับไปที่เรือนของพระชายารอง

 

 

พระชายารองเห็นว่าเขาดูไม่มีความสุข จึงรู้สึกปวดใจแทนเล็กน้อย กล่าวถามออกไปว่า “เมื่อครู่ตอนเจ้าเดินเอาของว่างออกไปยังดูมีความสุขอยู่เลย ไฉนตอนนี้ถึงได้กลับมาในสภาพนี้เล่า หรือว่าของว่างที่แม่ทำไม่อร่อยจนเจ้าถูกซื่อจื่อตำหนิมา?”

 

 

หวงฝู่อวี้ส่ายหัวให้และพูดไปตามความจริงว่า “ข้าไปขอร้องให้พี่ใหญ่ช่วยพูดกับเสด็จพ่อให้ แต่เขาไม่ตกลง บอกว่าหากเสด็จพ่อหายโกรธเมื่อไหร่จะปล่อยท่านออกไปเอง เพียงแต่เมื่อไหร่กันเล่าที่เสด็จพ่อจะหายโกรธ?”

 

 

สีหน้าขุ่นเคืองฉายอาบไปทั่วใบหน้าของพระชายารอง จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ด้วยความรวดเร็ว นางถามเปลี่ยนเรื่องออกไปว่า “เช่นนั้นซื่อจื่อได้ชมว่าขนมที่แม่ทำในวันนี้อร่อยหรือไม่?”

 

 

“ไม่เลย เขาบอกว่าวันนี้เขากินอิ่มแล้วจึงไม่ได้แตะสักคำ แต่ข้ากินไปสองชิ้น” หวงฝู่อวี้ตอบ

 

 

ฉับพลันใบหน้าของพระชายารองก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก นางแทบจะผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ แต่แล้วก็พยายามฝืนระงับตัวเองไว้ ใช้น้ำเสียงสั่นระริกกล่าวถามออกไปด้วยความหวาดกลัวว่า “แม่ให้เจ้าเอาขนมพวกนั้นไปเพื่อขอโทษซื่อจื่อ เขาไม่กินลูกชายไยเจ้าจึงกินเสียเองเล่า แม่ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเจ้าดีแล้ว?”

 

 

หวงฝู่อวี้คว่ำปากลงด้วยความน้อยใจ “หลายวันมานี้พอถึงเวลาทานข้าวทีไรเสด็จพ่อก็เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงทุกที ทำท่าอย่างกับจะอาละวาดอยู่ตลอด ข้าหวาดกลัวจนกินอะไรไม่ลงมาหลายวันแล้ว พอพี่ใหญ่บอกให้ข้ากิน ข้าก็เลยไม่ขัดข้อง”

 

 

น้ำเสียงตำหนิของพระชายารองกลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น “ส่วนของเจ้าแม่ทำแยกไว้ให้แล้ว จะรอกลับมากินที่นี่ไม่ได้เชียวเหรอ?”

 

 

แต่เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อวี้คล้ายจะจับสังเกตถึงความไม่ผิดปกติได้ ใจนางก็สั่นสะท้านไปทั้งดวง พยายามสูดสายใจเข้าลึกโดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็น ระงับความกังวลบนใบหน้าแล้วแสร้งพูดไปอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “แม่แค่กลัวว่าซื่อจื่อจะตำหนิเจ้า โทษว่าเจ้าไม่จริงใจ ไม่ได้อยากส่งของว่างไปเพื่อขอโทษเขาจริงๆ”

 

 

หวงฝู่อวี้กลับไม่ได้คิดไปในทางเดียวกัน เขาส่ายหัวแล้วตอบกลับไปว่า “ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวล พี่ใหญ่ไม่มีทางคิดแบบนั้นแน่”

 

 

พระชายารองลุกขึ้นยืน กล่าวโดยไม่ให้มีพิรุธว่า “ทานของว่างไปเจ้าคงกระหายน้ำมากแล้ว ประเดี๋ยวแม่จะรินน้ำให้”

 

 

กล่าวจบก็เดินไปอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ มือแตะลงไปที่กาน้ำชาก่อนจะพูดขึ้นว่า “น้ำเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวแม่ไปเปลี่ยนน้ำร้อนที่ครัวมาให้”

 

 

หวงฝู่อวี้เรียกหยุดนางไว้ “แค่ปล่อยให้บ่าวรับใช้ไปทำก็พอแล้ว ท่านอย่าได้ลำบากเลย”

 

 

พระชายารองฝืนยิ้มตอบกลับไปว่า “วันๆ ได้แต่อยู่ในเรือนไม่ได้ทำอะไร ทุกวันนอกจากกินก็คือนอน ไหนเลยจะเหน็ดเหนื่อยอันใดได้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้แม่ทำเองเถิด เจ้ารอเพียงครู่เดียวเท่านั้น” กล่าวพลางก็ไม่รอฟังคำคัดค้านของหวงฝู่อวี้อีก รีบปลีกตัวออกไปพร้อมกับกาน้ำชาโดยไว

 

 

สาวใช้ที่รออยู่ที่หน้าประตูเห็นนางออกมาพร้อมกับกาน้ำชาจึงรีบก้าวเข้าไปหาเพื่อที่จะแย่งกาน้ำชานั้นมาถือแทน กล่าวกับเจ้านายของตัวเองไปว่า “เหนียงเหนียง เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ปล่อยให้พวกบ่าวทำเองเถิด ท่านอยู่คุยกับคุณชายรองต่อเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

พระชายารองยกมือห้ามนางไว้ “ไม่ต้อง ข้าจะทำเอง พวกเจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ให้ดีเผื่อว่าคุณชายรองจะมีคำสั่งอะไร ใครก็ห้ามตามมาที่ครัวเด็ดขาด”

 

 

สาวใช้รับคำ ก่อนจะก้าวถอยหลังแล้วกลับไปยืนข้างๆ ประตูตามเดิม

 

 

พระชายารองรีบวิ่งไปที่ห้องครัวเล็กๆ เปิดกาน้ำชาเทน้ำออกแล้วหยิบซองยาออกมาจากแขนเสื้อของนางด้วยความตื่นตระหนก นางเทผงทั้งหมดที่อยู่ในซองยาลงในกาน้ำชา ก่อนจะตักน้ำร้อนที่กำลังขึ้นเดือดจัดในหม้อต้มแล้วผลีลามออกจากครัวเล็กๆ ตรงไปยังห้องนอนโดยไม่หยุดพัก ทันทีที่เข้ามาข้างในห้อง นางก็พลิกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นแล้วรินน้ำลงไปจนเต็ม ก่อนจะยื่นมันไปอยู่ต่อหน้าหวงฝู่อวี้แล้วพูดกับเขาว่า “รสชาติกำลังดี รีบดื่มเถอะ”

 

 

หวงฝู่อวี้รู้สึกกระหายน้ำอยู่บ้างจริงๆ จึงรับชาถ้วยนั้นขึ้นจิบแล้วดื่มมันจนหมดภายในหนึ่งลมหายใจ จากนั้นเขาก็วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ “ข้าขออีกแก้ว”

 

 

มือของพระชายารองชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยอมรินให้เขาแต่โดยดี

 

 

หวงฝู่อวี้ดื่มมันลงไปอีกครั้งจนหมด

 

 

พระชายารองที่เฝ้ามองอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดเห็นว่าเขาดื่มไปถึงสองแก้วติด หัวใจที่ห้อยติ่งคว้างอยู่บนอากาศก็ถูกปล่อยให้ตกลง ฉับพลันนั้นเองจู่ๆ นางก็รู้สึกว่ามือเท้าไร้เรี่ยวแรงไปในทันใด จึงได้หย่อนกายลงบนเก้าอี้ด้วยความหมดแรง

 

 

รอจนกระทั่งเขาจากไปแล้ว พระชายารองก็ตะโกนเรียกสาวใช้คนสนิทที่รออยู่ที่หน้าประตูให้เข้ามา “ซุ่ยหง”

 

 

ซุ่ยหงตอบรับแล้วเดินเข้ามาในห้อง

 

 

พระชายารองที่หมดเรี่ยวหมดแรงไปแล้วจึงสั่งนางไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าว่า “ช่วยพยุงข้าไปพักที่เตียงที อีกครึ่งชั่วยามเจ้าค่อยเตรียมน้ำมาให้ข้าอาบและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์”

 

 

ซุ่ยหงขานรับอีกครั้ง ก่อนจะช่วยพานางไปยังเตียง พยุงให้นางนอนลง

 

 

พระชายารองนอนอยู่บนเตียง ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นภายหลังเกินกว่าที่คาดคิดไว้นัก นางคิดว่าโชคดีจริงๆ ที่อวี้เอ๋อร์กลับมาที่เรือนของนางหลังจากกินขนมพวกนั้นลงไป ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จ หวงฝู่อี้ก็เดินจูงม้ามารอที่ประตูจวน คนที่ต้องไปที่กั๋วจื่อเจียนกับหวงฝู่อี้เซวียนทุกวันอย่างหวงฝู่อวี้รู้สึกประหลาดใจนัก จึงได้ถามออกไปว่า “พี่ใหญ่ ทำไมวันนี้ท่านถึงคิดจะขี่ม้าไป?”

 

 

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทุกเที่ยงข้าจะไปทานมื้อกลางวันที่จวนของโยวเอ๋อร์ หากเจ้าไม่มีธุระอะไรก็มาด้วยกันสิ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบเขา

 

 

หวงฝู่อวี้กลับส่ายหัวให้อย่างพัลวัน “ข้าไม่ไปหรอก นางดุออกขนาดนั้น”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะไม่ออก จึงได้แต่ขี่ม้าออกไปกับหวงฝู่อี้

 

 

เมื่อเห็นว่าพี่ชายของตนที่อยู่กับเขาทุกวันทิ้งเขาเอาไว้ข้างหลัง หวงฝู่อวี้ก็รู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก เขานั่งอยู่ในรถม้าอย่างเงียบๆ ก่อนจะตะโกนบอกคนขับรถม้าไปด้วยความรู้สึกหดหู่หงอยเหงาว่า “ไปกันเถอะ”

 

 

ทางฝั่งหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้รับรู้ถึงอารมณ์ของเขาสักนิด ดังนั้นหลังจากที่เลิกเรียนที่กั๋วจื่อเจียนแล้วเขาก็ตรงไปที่จวนของเมิ่งเชี่ยนโยวทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแม้ปากจะบอกว่าไม่อาจเข้าครัวทำอาหารให้เขาทานเองได้ทุกวัน แต่พอถึงยามอู่วันนี้กลับอดไม่ได้เข้าครัวไปทำอาหารด้วยตัวเองถึงสองจานเพื่อรอให้เขามา สำหรับมื้ออาหารของคนอื่นๆ น่ะหรือ? แน่นอนว่าแม่ครัวและสาวให้ที่เหลืออีกสามคนตระเตรียมไว้ให้แล้ว

 

 

ด้วยจวนหลังนี้ไม่มีคนรับใช้ในบ้าน ยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเองผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าระวัง ดังนั้นพอหวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อี้มาถึง หลังจากทั้งคู่พลิกตัวลงจากหลังม้าด้วยท่าทางงามสง่า ก็โยนบังเ**ยนไปให้กับทหารยามที่เข้ามาทักทายเขาด้วยความเคารพก่อนจะเดินตรงเข้าไปในจวนทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคาดเดาถึงเวลาที่พวกเขาจะมาถึงเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้กับข้าวจึงถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะพร้อมสรรพ

 

 

ทันทีที่หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าประตูมา กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยเข้าเตะจมูก เขารู้สึกมีความสุขมาก

 

 

“ล้างมือก่อนแล้วค่อยทาน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับอย่างมีความสุข เขาล้างมือให้เสร็จอย่างว่าง่ายและรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ สายตามองอาหารบนโต๊ะด้วยอาการน้ำลายสอ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวอย่างระอาใจแล้วยื่นตะเกียบส่งไปให้เขา “กินเถอะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรับตะเกียบคู่นั้นมาด้วยความขอบคุณ พูดตอบหญิงสาวกลับไปว่า “ขอบใจเจ้ามากโยวเอ๋อร์”

 

 

จากนั้นเขาก็แทบทนรอที่จะกินอาหารตรงหน้าไม่ไหวแล้ว

 

 

เมื่อผักชิ้นหนึ่งถูกคีบวางลงในชามข้าวของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลงมือทานส่วนของตัวเองบ้าง