บัญชามังกรเดือด บทที่ 622 หูรั่วหลัน
“ฉินเทียน ที่จริงแล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
“หรือว่า นายได้รับการยอมรับจากตระกูลฉินแล้ว จึงสามารถใช้อำนาจของตระกูลฉินได้อย่างนั้นเหรอ?”
ภายในห้อง ฮันหลิงจ้องมองไปที่ฉินเทียน อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น
ฉินเทียนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ตระกูลฉิน ฉันไม่สามารถที่จะกลับไปได้อีกแล้ว แล้วก็ไม่สามารถที่จะใช้อำนาจของพวกเขาได้อีกด้วย”
“สิ่งที่ฉันทำไปทั้งหมดนี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ฉันทำขึ้นมาด้วยตัวเอง จะให้พูดก็คงจะยาวมาก หลังจากนี้หากมีโอกาสไว้ฉันค่อยอธิบายให้เธอฟังอีกครั้งหนึ่ง”
“ฮันหลิง ตอนนี้ก็บอกฉันมาได้แล้ว ที่จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“…การตายของหูเฟย เกี่ยวข้องกับตระกูลฉินหรือเปล่า?”
เมื่อพูดเช่นนี้ ก็มีท่าทีของความละอายใจฉายแววอยู่ภายในดวงตาของเขา เพื่อที่จะปกป้องหูเฟยและฮันหลิง หลีกเลี่ยงพวกเขาจากการถูกโจมตีโดยตระกูลฉินเพราะตนเอง
เขาเจตนาที่จะออกห่างจากพวกเขาไปให้ไกลแล้ว ทำไมหลายปีมานี้ ถึงไม่เคยได้รับการติดต่อกลับมาเลย
แต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่า ตระกูลหูเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแล้ว
ตระกูลหูเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยของฮั่นจง ฉินเทียนคิดไม่ออกเลยว่า ในซีเป่ย นอกจากตระกูลฉินแล้ว แล้วยังจะสามารถเป็นใครไปได้อีก จะสามารถทำให้ครอบครัวที่ร่ำรวยเช่นนั้นล้มละลายและผู้คนล้มตายได้ภายในคืนเดียว
ถ้าหากว่าเป็นตระกูลฉินจริงๆ เช่นนั้นเขาก็รู้สึกว่า ตัวเองเป็นหนี้ต่อหูเฟยและคนตระกูลหูมากมายเกินไป
เมื่อได้ฟังคำพูดของฉินเทียน ภายในสายตาของฮันหลิง ก็มีท่าทีที่เจ็บปวดอย่างรุนแรงเผยขึ้นมาอีกครั้ง
เธอส่ายศีรษะ แล้วกระซิบว่า “นี่ก็เป็นปริศนาหนึ่ง”
“เมื่อสามปีก่อน ทันใดนั้นที่ฮั่นจงก็มีข่าวลือกันอย่างกว้างขวาง ว่าตระกูลหูล้มเหลวจากการลงทุนครั้งใหญ่กับต่างประเทศ ห่วงโซ่ของเงินทุนถูกทำลาย แล้วเผชิญกับภาวะล้มละลาย”
“ตอนแรกฉันคิดว่า นั่นเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น อย่างน้อยตระกูลหูก็มีอุตสาหกรรมมากมายนับหมื่นล้าน เพราะอะไรถึงสามารถล้มละลายจากการลงทุนในครั้งนั้นได้”
“ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้เรื่องธุรกิจเท่าไรนัก แต่ก็รู้ว่า ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลแบบนั้น คงไม่อาจเอาไข่ไก่ใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียวแน่”
“มาถึงระดับอย่างพวกเขานั้น คิดที่จะล้มละลายที่จริงแล้วเป็นเรื่องยากมาก”
“ดังนั้นฉันก็เลยไม่ได้สนใจเท่าไร นอกจากนี้ ในตอนนั้นฉันก็ได้เตรียมตัวที่จะหมั้นหมายกับหูเฟยเรียบร้อยแล้ว”
“แต่ทว่า จู่ๆ หูเฟยก็เปลี่ยนเป็นกระสับกระส่ายมาก บุคลิกก็เปลี่ยนไปมาก ไม่คาดคิดว่าจะทำรุนแรงกับฉัน”
“ฉันถามเขาแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่พูด…”
“ฉันคิดว่าเขาเป็นโรควิตกกังวลก่อนแต่งงาน เพื่อที่จะปลอบใจเขา เลยนัดเขาออกมาข้างนอก แล้วดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเขา”
“ครั้งนั้นเขาดื่มไปเยอะมาก แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา เขาบ่นพึมพำว่า พวกเขาโหดร้ายเกินไปแล้ว…ทำอย่างนี้พวกเขาอยากจะให้ครอบครัวของพวกฉันล้มละลายและผู้คนล้มตาย…พวกเขาไม่ใช่คน เป็นพวกไร้มโนธรรม!”
เมื่อนึกถึงความทรงจำที่น่าหวาดกลัวในตอนนั้น ฮันหลิงยิ่งพูดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายสั่นเทา ราวกับว่าจะทรุดลงได้ทุกขณะ
เมื่อฉินเทียนนึกถึงพี่ชายที่แสนดีที่จะต้องทนรับแรงกดดันที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตในเวลานั้น แต่เขากลับไม่ได้อยู่ข้างกาย และไม่ได้ยืนมือออกไปให้ความช่วยเหลือได้ทันเวลา
หัวใจเขาราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
เขาจับมือของฮันหลิงเอาไว้ แล้วกระซิบว่า “ไม่ต้องรีบร้อน”
“เธอค่อยๆ พูดเถอะ”
ฮันหลิงส่งเสียงสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลอาบเต็มใบหน้า
เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมอารมณ์ของตนเอง จึงกัดฟันแล้วพยายามพูดเรื่องจริงอันโหดร้ายออกมา
“นั่นไปครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เจอหูเฟย…”
“ผ่านไปไม่นาน ตระกูลหูก็เกิดเพลิงไหม้”
“ในคืนนั้น เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า บ้านที่มีบริเวณกว้างใหญ่ของตระกูลหูก็ตกอยู่ในทะเลเพลิง บ้านที่เต็มไปด้วยเด็กและผู้ใหญ่ ญาติพี่น้องคนรับใช้ ถูกไฟคลอกตายไปทั้งหมดยี่สิบแปดคน…”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ ใบหน้าของฮันหลิงก็ซีดเผือด แล้วสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว และหวาดกลัวขึ้นมาสุดขีด
หัวใจของฉินเทียนเหมือนถูกมีดเฉือน เขาโกรธจนตาแทบถลนออกมา แล้วขบฟันกล่าวว่า “วางใจเถอะ!”
“ฉันฉินเทียนขอสาบานว่า ความแค้นบัญชีเลือดของตระกูลหูทั้งยี่สิบแปดคนนี้ จะต้องล้างแค้นแน่นอน!”
“ฆาตกรจะต้องได้ชดใช้อย่างหนักหนาสาหัสอย่างแน่นอน!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่ออารมณ์ของฮันหลิงคงที่แล้ว ก็กล่าวด้วยเสียงอันเบาว่า “ก่อนหน้าที่ฉันไม่ได้บอกนาย แม้ว่าอยากที่จะรักษาระยะห่างจากนางเอาไว้ แล้วก็ไม่อยากให้นายยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้”
“ถึงอย่างไร ฮั่นจงก็เป็นของซีเป่ย เป็นสถานที่หนึ่งที่ไม่เป็นมิตรสำหรับนาย”
“หลังจากที่เรียนจับมัธยมปลายแล้วข่าวคราวของนายก็หายไป ที่จริงแล้วหูเฟยไม่ได้โทษนายเลยสักนิดเดียว เขาบอกกับฉันว่า ที่นายทำแบบนั้นก็เพื่อที่จะปกป้องพวกเรา”
“หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเราต้องถูกตระกูลฉินโจมตี…”
“ฉินเทียน ถึงแม้ว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าชีวิตของนายจะดีมากแล้ว แต่สัญญากับฉัน ไม่ว่ายังไงก็อย่ากลับไปที่ฮั่นจง”
“ที่ฮั่นจงตอนนี้เปลี่ยนไปมากแล้ว นายกลับไป ฉันกลัวว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นก็ได้”
ฉินเทียนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ฉันมีแผนของตัวเอง”
“เธอคิกอย่างละเอียดสักหน่อย ก่อนที่หูเฟยจะตาย เคยพูดอะไรกับเธอบางหรือเปล่า?”
“เขาได้เปิดเผยไหม ว่าคนที่ข่มเหงพวกเขา ที่จริงแล้วเป็นใครกันแน่?”
ฮันหลิงส่ายหน้า
สีหน้าของฉินเทียนมืดครึ้มราวกับน้ำ สามารถทำลายตระกูลหูที่ร่ำรวยเช่นนั้นได้ อีกฝ่ายจะต้องออกแบบหลุมพรางขนาดใหญ่ที่น่าตกใจอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้น ไฟไหม้ครั้งใหญ่ ที่คร่าชีวิตไปถึงยี่สิบแปดคน เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมมาก!
ความเกลียดชังนี้ เขาจดจำมันเอาไว้แล้ว!
“เธอล่ะ?”
“ฮันหลิง ทำไมเะอถึงอยู่ด้วยกันกับเจียวเหลียง?” เขาเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง
ใบหน้าของฮันหลิงแดงก่ำ กัดฟันกล่าวว่า “หลังจากที่ตระกูลหูล่มสลายไปแล้ว ตอนนี้รูปแบบของฮั่นจงก็แบ่งออกเป็นสามส่วน”
“ตระกูลหยาง ตระกูลจ้าวและตระกูลเหว่ย เรียกกันว่าสามตระกูลใหญ่”
“ตระกูลของเจียวเหลียง เดิมทีเป็นเพียงพ่อค้าเหล็กในตลาดคนหนึ่ง แต่พวกเขามีความเกี่ยวข้องเป็นญาติพี่น้องกับตระกูลเหว่ย”
“ภายใต้การช่วยเหลือของตระกูลเหว่ย พวกเขาปรับตลาดค้าเหล็กในฮั่นจงเกือบทั้งหมด ตอนนี้กลายเป็นราคาแห่งเหล็กไปแล้ว”
“นายก็รู้ ว่าที่จริงแล้วเจียวเหลียงจีบฉันมาตลอด…”
ฉินเทียนขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ดังนั้น เธอก็เลยอยู่ด้วยกันกับลูกชายราชาเหล็กอย่างนั้นเหรอ?”
ฮันหลิงกล่าวด้วยใบหน้าที่แดงก่ำว่า “นางฟังฉันพูดก่อนสิ!”
“นายคิดว่าฉันจะเป็นผู้หญิงที่ตื้นเขินแบบนั้นหรือไง? ฉันก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนกัน”
“ครอบครัวของพวกเรากู้เงินมาหนึ่งร้อยล้านหยวน และธนาคารให้กู้ยืมก็แจ้งมาโดยตรงว่า หากว่าพวกเราสามารถหาคนจากตระกูลเจียวมาค้ำประกันได้ ก็สามารถขยายเวลาออกไปได้ไม่จำกัด”
“ถ้าหากว่าไม่ได้ เช่นนั้นจะต้องอายัดทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเราเพื่อขายทอดตลาด”
“ฉันรู้ว่า ที่จริงแล้วนี่เป็นฝีมือเจียวเหลียงที่ร่วมมือกับลูกเล่นของธนาคาร เพื่อที่จะบีบบังคับให้ฉันคบหากับเขา”
“คนในครอบครัวบีบบังคับฉัน หากว่าไม่แต่งงานกับเจียวเหลียง ก็จะไล่ฉันออกจากบ้าน แล้วก็ตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับฉัน”
“เมื่อบีบบังคับฉันไม่ได้ ปู่ของฉันก็มาคุกเข่าขอร้องต่อหน้าฉัน ฉันจะไปมีทางเลือกอะไรได้อีก? ”
ฉินเทียนกล่าวขอโทษ “ขอโทษนะ”
“ฉันควรที่จะเชื่อเธอ ไม่ควรที่จะสงสัยเธอเลย”
ฮันหลิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ขับฟังแล้วกระซิบว่า “แต่ว่าฉันก็พยายามรับมือกับเจียวเหลียง ไม่ให้เขาสามารถที่จะแตะต้องฉันได้”
“นายวางใจเถอะ ทั้งตัวและหัวใจของฉัน ไม่เคยทรยศหูเฟยเลยสักครั้ง”
“โธ่…”ฉินเทียนเก้อเขินเล็กน้อย แล้วรีบหยิบสมุดเช็คออกมา แล้วเขาลงไปอย่างสบายๆ พลางกล่าวว่า “สองร้อยล้านนี้ เธอเอาไปใช้ก่อน”
“ถ้าหากว่าไม่พอแล้วล่ะก็ ค่อยติดต่อมาหาฉันอีกที”
ฮันหลิงต้องตกใจกับความใจดีของฉินเทียนอีกครั้ง แต่เมื่อคิดดูแล้ว เขาพึ่งซื้อห้องบอลรูมในราคาหนึ่งร้อยล้านเหรียญได้อย่างสบายๆ แล้วยังสามารถทำให้ผู้บริหารระดับสูงทุกคนขององค์กรซานสุ่ยนอบน้อมต่อเขาขนาดนั้น
เงินเล็กน้อยแค่นี้ ก็คงเป็นเรื่องที่จิ๊บจ๊อยเท่านั้น
ดังนั้นเธอจึงลังเลอยู่พักหนึ่ง และในที่สุดก็ไม่ได้ปฏิเสธ เนื่องจากว่า เธอต้องการเงินก้อนนี้เป็นอย่างมาก
“ขอบคุณมากเงินก้อนนี้สามารถช่วยชีวิตของพวกเราได้ นายวางใจเถอะ ให้เวลาฉันสักหน่อย ฉันจะต้องคืนให้นายทั้งต้นทั้งดอกเบี้ยแน่นอน”
ฉินเทียนยิ้มแล้วกล่าวว่า “เธอนี่เหมือนกับตอนที่เรียนอยู่จริงๆ ไม่ยอมเป็นหนี้บุญคุณใคร”
“ก็ดี อย่างนั้นฉันจะรอเธอคืนเงิน”
ฮันหลิงก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ราวกับว่ากลับไปยังอดีตที่สวยงาม
“ใช่แล้ว หูเฟยมีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่ารั่วหลัน นายรู้หรือเปล่า?”เธอนึกอะไรบางอย่าง แล้วถามขึ้นด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น
“หูรั่วหลัน…”ฉินเทียนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เคยเจออยู่สองสามครั้ง”
“เธอเป็นผู้หญิงที่ดี ฉันยังบอกว่า เธอมีนิสัยคล้ายกับเธออีกด้วย พวกเธอไม่ใช่ไม่ใช่คนพวกเดียวกันหรอกเหรอ”
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ!”
เมื่อคิดถึงเด็กสาวที่ร่างถูกไฟคลอกอยู่ในทะเลเพลิง ฉินเทียนก็รู้สึกว่าหัวใจกำลังหลั่งเลือด
ใครจะรู้ ฮันหลิงกระซิบกระซาบว่า “รั่วหลันยังไม่ตาย”