บทที่ 492 จากเด็กสาวสู่หญิงสาวที่เพริศพริ้ง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 492 จากเด็กสาวสู่หญิงสาวที่เพริศพริ้ง
ไม่……

เฟิ่งชิงเฉินตะโกนร้องดังลั่นแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมโปง

“คุณหนู” ทงจือและทงเหยาเรียกด้วยความเป็นห่วง แต่เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินสั่งไว้ พวกนางจึงไม่กล้าเข้าไปภายในห้อง

“อย่าเข้ามานะ” เฟิ่งชิงเฉินตะโกนสั่ง น้ำเสียงของนางแหบแห้งเล็กน้อย คงเป็นเพราะเมื่อคืนร้องดังเกินไปหน่อย

ไม่ๆๆๆ……น่าอายชะมัดเลย น่าอายที่สุดเลย!

เมื่อคืนนี้ เสด็จอาเก้าคงไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นเพราะนางเองที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากว่ายินยอม

ฮือๆๆๆ……ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้นะ เฟิ่งชิงเฉินห่อตัวในผ้าห่มแล้วนอนกลิ้งไปมา……

ไหนๆเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือไม่สบายใจ เพียงแต่นางแค่รู้สึกอับอาย มันน่าอายชะมัดเลย!

เสด็จอาเก้าก็บอกแล้วว่าไม่บังคับนาง แต่นางนั่นแหล่ะที่ยินยอมให้เขาเอง มันน่าอายไหมล่ะ นางไม่ใช่เด็กสาววัย 15-16 เสียหน่อย ทำไมถูกหลอกให้ขึ้นเตียงง่ายเช่นนี้?

เฟิ่งชิงเฉินอยากร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตาให้ร้อง นางนำหมอนมากดทับบนศีรษะ พลางไว้อาลัยแก่การจากไปของความบริสุทธิ์

พรหมจรรย์กับหญิงสาวควรเป็นของคู่กัน นางเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แม้จะเติบโตมาในสังคมที่ชายหญิงมีความเสมอภาค แต่นางก็หวงแหนความบริสุทธิ์ของตัวเองยิ่งนัก

ยังดีที่ผู้ชายที่ได้ครอบครองนางเป็นเสด็จอาเก้าซึ่งเป็นคนที่นางชอบ เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกเบาใจ การที่นางสูญเสียความบริสุทธิ์ให้กับเสด็จอาเก้า ย่อมดีกว่าเสียให้คนอย่างซีหลิงเทียนเหล่ย

อันที่จริง นางก็เป็นคนไม่เรื่องมากเหมือนกันนะนี่

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินไตร่ตรองรอบคอบแล้วก็ลุกขึ้นมานั่งกอดผ้าห่ม จริงๆแล้วนางก็ไม่ได้ทรมานอะไรนัก เนื้อตัวนางสะอาดสะอ้าน ช่วงเอวก็ไม่ได้เจ็บปวดขนาดนั้น เอ่อ……ส่วนตรงนั้น ดูเหมือนว่าเสด็จอาเก้าก็ทายาให้นางแล้ว

คิดมากตั้งแต่เช้าไม่ดีหรอก และแล้วเฟิ่งชิงเฉินก็ฉีกยิ้ม ก่อนจะเรียกทงจือและทงเหยาเข้ามาหา

ภายในห้องเป็นปกติดี ความเขียวช้ำบนร่างกายเฟิ่งชิงเฉินก็ถูกเสื้อผ้าห่อหุ้มเอาไว้แล้ว แม้จะมีบางส่วนที่รู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัว แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ทำตัวปกติ

ทงจือและทงเหยาต่างก็รู้สึกว่าวันนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่เหมือนเดิม หญิงสาวผมดำในชุดขาว หน้าตาก็มิได้แต่งแต้ม แต่กลับดูมีเสน่ห์ชวนมองมากกว่าปกติ ท่วงท่าการเคลื่อนไหวก็แพรวพราวมากกว่าเดิม

ปกติคุณหนูก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ดูจะแสดงออกเด่นชัดเกินกว่าทุกวัน แต่จะอย่างไรนั้นพวกนางเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ทงจือและทงเหยามองหน้ากันและส่ายหน้า ก่อนจะเข้าไปช่วยเฟิ่งชิงเฉินแต่งตัว แต่กลับถูกเฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธ “ไปเอาชุดเมื่อวานนี้มาให้ข้า ข้าจะสวมชุดนั้น”

“หา?” ทงจือและทงเหยาตกตะลึง

ชุดตัวเมื่อวานนี้มันเป็นชุดประจำตำแหน่งของพระชายาอ๋องเก้ามิใช่หรือ ทำไมจู่ๆคุณหนูถึงอยากใส่ชุดนั้นล่ะ หรือว่าเมื่อคืนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น?

ทงจือและทงเหยามองหน้ากันอีกครั้งแล้วต่างก็ส่ายหน้า เมื่อพวกนางหันมามองเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินก็ดูเป็นปกติ

“รีบไปเร็วเข้า” เฟิ่งชิงเฉินออกคำสั่ง เพื่อไม่ให้สาวใช้ทั้งสองคนมีเวลาคิดอะไรไปไกล

“เจ้าค่ะ คุณหนู แต่ว่าชุดนั้นมันค่อนข้างจะเทอะทะ วันนี้คุณหนูต้องเข้าวังไปทำการแข่งขันกับคุณหนูซูหว่าน เกรงว่าจะไม่สะดวกนะเจ้าคะ” ทงจือและทงเหยาเสนอแนะเบาๆ แม้ชุดนั้นจะเป็นตัวแทนของตำแหน่งที่สูงส่ง แต่พวกนางไม่ได้ชอบชุดเลย

“ไม่เป็นไรหรอก การแข่งขันในวันนี้เป็นเรื่องทักษะทางการแพทย์ ข้าว่าจะเตรียมชุดสำรองเข้าไปในวังด้วยอยู่แล้ว” สำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้ว การแข่งขันด้านการแพทย์ถือว่าเป็นงานอย่างหนึ่ง เวลาทำงานก็ต้องสวมใส่ชุดทำงาน

แต่ว่า วันนี้นางมีชุดทำงาน 2 ชุด แม้เรื่องนั้นจะเกิดขึ้นไปแล้ว แต่การที่เสด็จอาเก้าจะให้นางไปออกหน้า ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก

“เจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าน้อยจะให้พวกชิวฮว่าสี่คนนั่นมาช่วยคุณหนูแต่งตัวนะเจ้าคะ” ทงจือและทงเหยาไม่มากความ

ชุดประจำตำแหน่งพระชายาอ๋องเก้าถูกเก็บไว้ที่สาวใช้คนงามทั้งสี่คน รวมถึงเครื่องประดับที่เข้าชุด

“อืม” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า นางรู้สึกพอใจที่ทงจือและทงเหยากล่าวถึงสี่สาวใช้ด้วยท่าทีปกติ

พวกนางสองคนมีสิทธิ์ไม่พอใจสี่สาวใช้ แต่ความไม่พอใจนี้ จะแสดงออกมาต่อหน้าผู้เป็นนายไม่ได้ นี่คือข้อควรปฏิบัติของผู้ที่เป็นบ่าว

สี่สาวใช้คนงามมาถึงอย่างรวดเร็ว และมีสาวใช้คนอื่นๆถือเครื่องประดับตามมาด้วย สี่สาวใช้คนงามตั้งใจทำงานมาก พวกนางก้มหน้าก้มตาช่วยเฟิ่งชิงเฉินแต่งตัวโดยไม่พูดอะไรเลย

“แม่นาง วันนี้จะสยายผมหรือเกล้าผมดีเจ้าคะ?” ชุนฮุ่ยเอ่ยปากถาม ในฐานะที่ตัวเองเป็นหัวหน้าสี่สาวใช้

การสยายผมเป็นการทำผมของหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน การเกล้าผมเป็นการทำผมของหญิงสาวที่ออกเรือนไปแล้ว

“สยายผม” เฟิ่งชิงเฉินตอบหลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

นางจะเคยทำเรื่องแบบสามีภรรยากับเสด็จอาเก้าไปแล้วหรือยังนั้นก็พูดยาก การกระทำของเสด็จอาเก้าทำให้หลายๆคนคลางแคลง นางจะขอฉวยโอกาสนี้กวนน้ำให้ขุ่นขึ้นอีกเล็กน้อย

ทำให้คนสงสัยได้นั่นแหละดี การที่นางสวมชุดประจำตำแหน่งพระชายาอ๋องเก้าเข้าวัง คนพวกนั้นจะต้องคิดว่านางใช้ชุดนี้มาประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสด็จอาเก้า

ต้องทำให้เห็นว่านางนั้นรีบร้อน และเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสด็จอาเก้า ก็จะเป็นบันไดไปสู่จุดมุ่งหมาย

ต้องเข้าใจก่อนว่าข่าวซุบซิบเรื่องการเป็นสามีภรรยากันระหว่างนางกับเสด็จอาเก้าถูกเผยแพร่ออกไปจากจวนอ๋องเก้า จะจริงหรือเท็จก็ต้องคาดเดาไปต่างๆนานา การที่นางใส่ชุดประจำตำแหน่งพระชายาอ๋องเก้าเข้าวังไปประกาศความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสด็จอาเก้า ดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะเท่าใดนัก

จะจริงหรือจะเท็จก็เดายากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนการแสดงออกของนาง สามารถใช้เสื้อผ้ามาช่วยบ่งบอกได้

“เสด็จอาเก้า ท่านอย่าคิดนะว่าการที่ข้าเป็นผู้หญิงของท่านแล้วข้าจะเทอดทูนท่านปานแผ่นฟ้า แล้วต้องยอมทำตามที่ท่านสั่งทุกอย่างจนไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง หากท่านคิดเช่นนั้นจริงๆท่านคิดผิดแล้วล่ะ เสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินก็คือเฟิ่งชิงเฉิน คำว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องมาก่อน แล้วคำว่าผู้หญิงของเสด็จอาเก้าค่อยตามมาทีหลัง” เฟิ่งชิงเฉินแอบคิดในใจ

“เจ้าค่ะ” สี่สาวใช้คนงามไม่เอ่ยถามให้มากความ พวกนางแปรงผมให้กับเฟิ่งชิงเฉินแล้วช่วยเฟิ่งชิงเฉินแต่งหน้า ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งๆที่แต่งตัวเหมือนกับเมื่อวานนี้ แต่วันนี้เฟิ่งชิงเฉินกลับดูเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ

สาวใช้ทั้งสี่ตกตะลึงอยู่ในใจ พวกนางแอบคิดว่าหรือว่าเมื่อคืนนี้ท่านอ๋องกับนางจะมีความสุขด้วยกันแล้ว แต่ดูจากท่าทางกระปรี้กระเปร่าของนาง บวกกับท่วงท่าการเดินแล้วก็ไม่น่าใช่นะ

หญิงที่ได้ปรนนิบัติชายแล้ว โดยส่วนใหญ่จะอ่อนเพลียจนแทบลุกไม่ขึ้น แต่แม่นางเฟิ่งกลับดูสดชื่นและแจ่มใส

สาวใช้ทั้งสี่วางตัวได้สงบเสงี่ยมกว่าทงจือและทงเหยา แม้ในใจจะคิดไปไกลแล้ว แต่สีหน้ากลับไม่มีอาการใดๆเลย หลังจากนั้นพวกนางก็ได้พาเฟิ่งชิงเฉินเดินออกมาด้านนอก

เมื่อมาถึงห้องรับรองแล้ว ทงจือและทงเหยาก็ยกอาหารเช้าเข้ามาให้พอดี

“คุณ……หนู” ในขณะที่พวกนางหันมาเพื่อคารวะเฟิ่งชิงเฉิน พวกนางก็ต้องตกตะลึง

นี่ใช่คุณหนูของพวกนางหรือเปล่า? ทำไมเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยล่ะ พอสวมชุดนี้แล้วแทบจะจำไม่ได้เลย

ใบหน้าที่เพริศพริ้ง บุคลิกที่ชวนมอง คนก็คนเดิมแท้ๆ แต่เมื่อคนอื่นมองดูแล้วกลับรู้สึกไม่เหมือนเดิม นางดูโตขึ้นเกินกว่าจะใช้คำว่าเด็กสาวแล้ว ตอนนี้นางเป็นผู้หญิงที่ดูงามสะพรั่ง

นางช่างงามเหลือเกิน เพียงยืนนิ่งๆก็ทำให้ผู้คนต่างพากันหลงใหล

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร

เพราะในคันฉ่อง นางมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองมาก่อนแล้ว

เป็นดังที่เสด็จอาเก้าเคยพูดไว้ไม่มีผิด ก่อนหน้านี้นางเหมือนเด็กสาววัยแรกแย้มที่หน้าตาดูใสซื่อ แต่ตอนนี้นางเป็นสาวเต็มตัวแล้ว

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อได้รับความใส่ใจจากฝ่ายชาย ทำให้ร่างกายหญิงสาวดูสวยสะพรั่งขึ้น เหมือนนางเติบโตขึ้นแค่เพียงชั่วข้ามคืน นางไม่ใช่เด็กสาวที่ใสซื่อ หากแต่เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว

ปากแดงเพราะทาปากมาเล็กน้อย พวงแก้มเปล่งปลั่งเพราะนางปัดแก้ม นางดูมีชีวิตชีวา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะแต่งหน้ามาอย่างตั้งใจ

เฟิ่งชิงเฉินในชุดประจำตำแหน่งพระชายาอ๋องเก้าและมาดที่ดูสง่างาม ชวนให้ผู้คนต่างพากันคิดว่านางกำลังตอกย้ำความสัมพันธ์ของนางกับเสด็จอาเก้าอยู่

แต่จงใจมากไปก็ดูจะจอมปลอมไปเสียหน่อย การทำให้ผู้คนสงสัยในความสัมพันธ์ที่แท้จริงของนางกับเสด็จอาเก้าเป็นสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินต้องการ แม้นางกับเสด็จอาเก้าจะเป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้โลกรู้ อีกอย่างนางก็ไม่อยากถูกตราหน้าว่าสูญเสียพรหมจรรย์ก่อนแต่งงาน

เสด็จอาเก้า แผนการของท่านข้าไม่ร่วมมือหรอก!

นางคาดการณ์ไว้แล้วว่าการที่นางสวมชุดนี้ออกมา จะก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายอย่างไรบ้าง……