ตอนที่ 369 เสนอ

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 369

เสนอ

“องค์หญิง พร้อมหรือยังขอรับ”ชิงชิวถามพลางเดินมาที่ประตูห้องที่อาณาจักรชูจัดเอาไว้ให้ไป๋หลินได้ใช้พักผ่อนตั้งแต่เมื่อวาน

“อีกสักครู่”เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงของไป๋หลินแต่อย่างไร แต่เป็นเสียงของไป๋ไป่ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นพี่เลี้ยงขององค์หญิงไป๋หลินอีกคนนั่นเอง เพราะคราวนี้จักรพรรดิไป๋พาไป๋ชินอี้มาด้วย จักรพรรดิชูจึงเชิญจักรพรรดิไป๋มานั่งร่วมกันโดยให้ไป๋ชินอี้อยู่กับชูซูเพื่อให้ทั้งสองได้สนิทสนมกัน แน่นอนว่าการทำเช่นนี้เพื่อให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองอาณาจักรเป็นไปได้ด้วยดี แถมดูเหมือนจักรพรรดิชูจะใส่ใจไป๋หลินเป็นพิเศษถึงกับจัดที่นั่งของราชวงศ์อินที่มีองค์ชายอินสิงอยู่ด้วยให้ห่างจากที่นั่งของไป๋หลินที่สุด นับว่าการจัดการของมันไม่เลวเลยทีเดียว

“เสร็จแล้ว ออกไปกันเถอะ”เสียงของไป๋ไป่แว่วออกมาจากภายในห้องทำให้ชิงชิวถอยออกมาจากประตูเล็กน้อยเพื่อเปิดทางให้องค์หญิง

ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างของไป๋หลินที่เริ่มโตเป็นสาวด้วยวัย 15 ปีก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าชิงชิว ใบหน้าของนางแต่เดิมสวยอยู่แล้วเมื่อโดนปัดแก้มให้ละมุนขึ้นอีกนิดทาปากให้อวบอิ่มขึ้นอีกหน่อยก็ขับความงามของนางออกมาได้จนเหลือเฟือ แถมวันนี้ไป๋หลินยังอยู่ในชุดทางการที่ตกแต่งอย่างงดงามอีกต่างหาก ขนาดชิงชิวที่อยู่กับองค์หญิงแทบจะตลอดเวลายังอดใจเต้นไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าหลังจากนี้พวกองค์ชายจะเข้ามารุมล้อมไป๋หลินเช่นไร

“พี่ชิว ข้าดูเป็นอย่างไรบ้าง”ไป๋หลินถามพลางหมุนตัวรอบหนึ่งให้ชิงชิวดู แน่นอนว่าความงามของไป๋หลินนั้นหากจะหาคนมาเทียบก็คงมีแต่มารดาของนางเท่านั้นกระมัง แต่หากจะถามว่างดงามเช่นไรก็ต้องบอกว่านางเหมือนดอกกุหลาบแรกแย้มที่พึ่งจะเริ่มบานเล็กน้อย สีอ่อนๆของมันทำเอารอบข้างละมุนฟุ้งเหมือนอยู่ท่ามกลางความฝัน

“แน่นอนขอรับว่างดงามแช่นเคย”ชิงชิวตอบด้วยคำชมที่เรียบที่สุด เพราะมันทราบดีว่าไป๋หลินไม่ชอบให้ชมแบบเกินจริงเหมือนพวกองค์ชายทำกัน พวกองค์ชายเล่นชมกันเหมือนไปคัดลอกจากหนังสือกวีไม่มีผิด บางคนถึงกับร่ายกลอนออกมาหน้าตาเฉยทำเอาไป๋หลินขนลุกขนชันไปหมด แน่นอนว่าองค์ชายอินสิงนั้นก็เป็นคนประเภทนี้เช่นกัน

“ชมข้ามากกว่านี้ก็ได้แท้ๆ”ไป๋หลินแอบบ่นเล็กน้อยเมื่อได้รับคำชมแสนจะเรียบเฉยจากชิงชิว มันทำแบบนี้เหมือนชมตามมารยาทเลย แม้จะไม่ชอบคำชมเกินจริงแต่ถ้ามาจากคนที่อยากฟังก็ไม่ได้รังเกียจเสียหน่อย

“ไปกันเถอะไป๋น้อย เดี๋ยวพวกองค์ชายจะเข้าไปก่อนแล้วเจ้าจะลำบากนะ”ไป๋ไป่ว่าพลางจูงมือไป๋หลินให้เดินไปทางลานกว้างที่ใช้จัดงาน ไป๋หลินและไป๋ไป่ยามร่วมงานฉลองมักจะมาก่อนเวลาเสมอ ทั้งนี้เพราะที่นั่งของตนอยู่ข้างๆบัลลังก์จักรพรรดิ ทำให้ต้องเดินเข้าไปลึกพอสมควร หากเข้าไปก่อนที่พวกองค์ชายอาณาจักรอื่นๆจะมาก็ดีไป แต่ถ้ามาช้ากว่าจะเดินเข้าไปถึงที่นั่งของตนเองก็คงต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะพวกองค์ชายจะเข้ามาทักทายโดยไม่สนว่าการแสดงจะเริ่มหรือยัง

“พี่ชิว วันนี้ท่านห้ามหายไปไหนนะ”ไป๋หลินว่าพลางมองมาทางชิงชิว มันชอบติดนิสัยซ่อนตัวเสมอแต่งานพิธีแบบนี้นางอยากให้ชิงชิวคอยติดตามนางมากกว่าคอยคุ้มกันเสียอีก อย่างน้อยมีผู้ชายอยู่ด้วยก็ทำให้ไป๋หลินหาข้ออ้างได้บ้าง

“ขอรับ”ชิงชิวว่าพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา หลังจากฝึกความสามารถล่องหนหายตัวจนเริ่มชินแล้ว ชิงชิวก็รู้สึกสบายใจกว่าหากซ่อนตัวอยู่เวลาคุ้มกันไป๋หลิน เพราะยามมันมองไปรอบๆพวกที่ไม่รู้ว่าชิงชิวมองอยู่ก็จะแสดงท่าทีน่าสงสัยออกมาเอง

“พี่หญิง ท่านมาช้าจัง”ทันทีที่มาถึงภายในงาน โต๊ะของแขกต่างถูกตั้งเอาไว้เรียบร้อย รวมทั้งเวทีและการประดับตกแต่งที่ถูกเตรียมเอาไว้พร้อมศัพท์ รอบๆที่นั่งของไป๋หลินและราชวงศ์ไป๋ไม่น่าอึดอัดนักเพราะข้างๆมีราชวงศ์ชูและราชวงศ์ชินอยู่ด้วย ราชวงศ์ชูไม่มีองค์ชายที่อายุพอๆกับไป๋หลิน หากไม่นับองค์ชายชูเจินถูกกักบริเวณอยู่ที่เมืองทางเหนือของอาณาจักรไป๋ละก็ ส่วนอาณาจักรชินเป็นเหมือนญาติกับไป๋หลินแม้จะมีองค์ชายที่อายุใกล้ๆกับไป๋หลินแต่พวกมันก็ปฏิบัติเหมือนพี่น้องเสียมากกว่า

“ชินอี้เจ้าไม่พูดคุยกับชูซูหน่อยหรือ พี่เขาอยากจะเป็นเพื่อนกับเจ้านะ”เหม่ยหลินว่าพลางเปิดทางให้ชูซูได้คุยกับไป๋ชินอี้ อาณาจักรชูเป็นอาณาจักรที่โชคดีอย่างมากในสายตาของเหล่าจักรพรรดิอาณาจักรอื่นๆ ด้วยการตัดสินใจร่วมเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรอู๋ทำให้อาณาจักรเล็กๆไร้กำลังอย่างอาณาจักรชูมั่นคงมาได้จนถึงปัจจุบัน พวกมันเป็นอาณาจักรเล็กที่มีอาณาจักรใหญ่อุ้มชูอยู่รอบข้าง ไม่ต้องทำอะไรก็ปลอดภัย

ไม่นานหลังจากงานเริ่ม การกล่าวคำอวยพรแก่องค์ชายชูซูก็เริ่มขึ้น พร้อมการแสดงที่จักรพรรดิอาณาจักรชูจัดหามา ไม่ว่าจะเป็นการประลองของเหล่ายอดฝีมือรุ่นใหม่และเก่าในอาณาจักรชูรวมถึงการร่ายรำของสาวงามนับสิบนาง ทำเอาเหล่าอาณาจักรอื่นๆสนุกสนานกันไม่น้อย

“องค์หญิงไป๋หลิน ไม่ได้พบกันนานเลยนะขอรับ”การแดสงยังผ่านไปไม่ถึงครึ่ง ในที่สุดสิ่งที่ไป๋หลินรำคาญที่สุดก็มาเสียแล้ว องค์ชายอินสิงผู้หล่อเหลาเดินมาถึงที่นั่งของไป๋หลินพลางเริ่มกล่าวทักทายด้วยท่าทีสุภาพ

“ไม่ได้เจอกันนานเลยเจ้าค่ะองค์ชายอินสิง”ไป๋หลินตอบพลางยิ้มตามมารยาท แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มของนางก็ยังกระชากใจชายหลายๆคนที่ได้เห็นไปอยู่ดี

“ข้าเห็นว่าสวนของวังหลวงอาณาจักรชูช่างงดงามยิ่งนัก ไม่ทราบว่าองค์หญิงไป๋หลินจะให้เกียรติไปเดินชมกับข้าหรือไม่”ได้ยินคำเชิญขององค์ชายอินสิงไป๋หลินก็อยากจะทำหน้าเบ้ออกมา แต่เพราะตอนนี้ตนเองอยู่ท่ามกลางสายตาอาณาจักรต่างๆนางจึงได้แต่ยิ้มรับก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ

“น่าเสียดาย ข้ารู้สึกเจ็บเท้าก็เลยไปไม่ได้”ไป๋หลินโกหกออกไปคำโต เมื่อวานนางยังลากชิงชิวไปเที่ยวเสียรอบวัง นางจะเจ็บเท้าได้อย่างไร

“ท่านเจ็บเท้าได้อย่างไร หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น”องค์ชายอินสิงถามด้วยท่าทีเป็นห่วงทำเอาไป๋หลินไม่ทราบจะตอบอย่างไรดี

“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่สะดุดล้มเล็กน้อยเท่านั้น องค์ชายอินสิงอย่าได้กังวล”ไป๋หลินตอบไปอย่างนั้น ทั้งที่การสะดุดล้มไม่ควรสร้างความเสียหายอะไรให้กับผู้มีพลังระดับนางแท้ๆ ยามนี้ไป๋หลินมีพลัง 3 สายในร่างแถมแต่ละสายก็ไม่ธรรมดาต่างอยู่ในระดับเดียวกับขั้นชำระวิญญาณทั้งสิ้น หากนับจริงๆพลังของนางนั้นน่าจะล้มองค์ชายอินสิงได้สบายเลย

“องครักษ์ของท่านทำอะไรอยู่ถึงปล่อยให้ท่านล้มได้ หากเป็นข้าคงจะอุ้มท่านเอาไว้ไม่ยอมให้เท่าสัมผัสพื้นเสียด้วยซ้ำ”ได้ยินอินสิงว่าชิงชิวกับไป๋ไป่ก็สะดุ้งทันที แบบนี้ก็เท่ากับต่อทั้งคู่นี่นา แต่เพราะไป๋หลินดันโกหกเอาไว้ก่อนก็เลยอ้างอะไรไม่ได้

“มันเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น อย่าได้ต่อว่าองครักษ์ของข้าเลยองค์ชาย พี่ๆทั้งสองทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว อาจจะดีกว่าองครักษ์ของท่านเสียอีก”ไป๋หลินตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก กล้ามาว่าพี่ไป๋ไป่กับพี่ชิวของนางได้อย่างไร

“องค์หญิงอาจจะยังไม่ทราบ องครักษ์ของข้านั้นเป็นถึงระดับยอดฝีมือ 12 คนเลยทีเดียว”องค์ชายอินสิงหัวเราะเหมือนจะเข้าใจว่าไป๋หลินพูดเรื่องขำขัน ชิงชิวตอนนี้อยู่ระดับชำระเส้นเอ็น แม้จะสูงมากสำหรับคนอายุระดับชิงชิวแต่เมื่อเทียบกับองค์ชายอินสิงหรือยอดฝีมือยุคใหม่ระดับต้นๆของอาณาจักรไป๋นับว่ายังธรรมดานัก แน่นอนว่าการนับครั้งนี้ขององค์ชายอินสิงไม่ได้ทราบถึงพลังอสูรในร่างของชิงชิวด้วย

“หากองค์หญิงมั่นใจนักเรามาพนันกันเสียหน่อยเป็นอย่างไร”องค์ชายอินสิงว่าพลางยิ้มบางๆออกมา

“ท่านหมายความว่าอย่างไร”ไป๋หลินถามพลางมององค์ชายอินสิงด้วยท่าทีประหลาดใจ นี่มันกำลังหาเรื่องพนันขันต่อกับนางงั้นหรือ

“อย่างที่ข้าบอกขอรับ ข้าอยากจะพนันกับท่าน”องค์ชายอินสิงว่าพลางยิ้มออกมา

“พนันงั้นหรือ ท่านต้องการจะพนันเรื่องอะไรกัน”ไป๋หลินถามด้วยท่าทีสนใจเล็กน้อย หากเป็นไปได้สวยนางอาจจะกำจัดอินสิงออกจากชีวิตนางได้เสียที

“ในเมื่อองค์หญิงมั่นใจว่าองครักษ์ทั้งสองขององค์หญิงยอดเยี่ยมที่สุดแล้วข้าจึงอยากจะเสนอการแข่งขันเพื่อวัดว่าองครักษ์ของใครจะแข็งแกร่งกว่า”ได้ยินคำท้าทายไป๋หลินก็มีท่าทีสนใจขึ้นมากกว่าเดิมทันที แม้อีกฝั่งจะมียอดฝีมือ 12 คนแต่ฝั่งนางมีพี่ไป๋ไป่อยู่ ระดับของนางตอนนี้คือบรรพกาลขั้นที่ 2 ต่อให้พี่ชิวของนางยังสู้พวกยอดฝีมือไม่ไหวแต่ไป๋ไป่ก็น่าจะเอาอยู่

“แล้วสิ่งเดิมพันล่ะเจ้าคะ”ได้ยินไป๋หลินถามองค์ชายอินสิงก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทียินดี หรือมันพูดดูถูกองครักษ์ของไป๋หลินเพราะต้องการพนันอยู่แล้ว แต่ท่าทางองค์ชายจะได้ข่าวของไป๋ไป่มาไม่ครบกระมังถึงได้กล้าท้าทายเช่นนี้

“ถ้าข้าชนะ ข้ามีคอขอหนึ่งอยากจะให้องค์หญิงตอบรับ”ได้ยินเท่านี้ไป๋หลินก็เดาได้แล้วว่ามันต้องการอะไร

“เรื่องอะไรล่ะที่ท่านต้องการ”ไป๋หลินถามพลางจ้องมององค์ชายอินสิงนิ่ง

“คำขอหมั้นหมายระหว่างท่านกับข้าขอรับองค์หญิงไป๋หลิน”เป็นไปตามคาด องค์ชายอินสิงอยากจะหมั้นกับไป๋หลินมาตลอด

“เช่นนั้นแล้วหากข้าชนะเล่า”ไป๋หลินถามพลางยิ้มรับด้วยท่าทีอ่อนหวานไม่ได้สะทกสะท้านกับคำขอของอินสิงเลย

“เรื่องนั้นก็แล้วแต่องค์หญิงจะเสนอเลย”องค์ชายอินสิงตอบด้วยท่าทีมั่นใจ แม้จะไม่ทราบว่ามันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนมากมายก็ตาม

“พี่ไป๋ไป่ ท่านไหวหรือเปล่า”ไป๋หลินหันมากระซิบถามไป๋ไป่ที่อยู่ด้านหลัง

“สบายมาก”ไป๋ไป่ตอบด้วยท่าทีมั่นใจ ต่อให้ยอดฝีมือ 12 คนรุมเข้ามานางก็ไม่หวั่น ยิ่งเป็นการแข่งขันที่ไม่ได้ลงมือกันถึงตายนางยิ่งได้เปรียบ

“เช่นนั้นก็เป็นอันตกลง หากข้าเป็นฝ่ายแพ้ข้าจะพิจารณาเรื่องหมั้นหมายกับท่าน แต่หากท่านเป็นฝ่ายแพ้องค์ชายอินสิง ข้าขอให้ท่านอย่าได้เข้ามายุ่งกับข้าอีก”ไป๋หลินตอบด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำทำเอาองค์ชายอินสิงแอบหน้าเสียนิดหน่อย ไม่นึกเลยว่าไป๋หลินจะพูดออกมาตรงๆแบบนี้ แต่ตัวมันอุตส่าห์โม้เพิ่มจำนวนองครักษ์มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะไม่คิดจะเป็นฝ่ายแพ้อยู่แล้ว