บทที่ 284 ผู้หญิงที่หยิ่งและไร้เหตุผล

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

เช้าวันรุ่งขึ้น

เชอร์รีนตื่นเช้ามาก เธอส่งไปซารางที่โรงเรียน แล้วรีบไปศาล เธอนัดกับทนายที่หน้าศาลเวลาเจ็ดโมงครึ่งยังไม่ถึงเวลาขึ้นศาล มาเร็วเกินไป ดังนั้นจึงไปทานอาหารเช้ากับทนายก่อน

เมื่อเธอไปถึงหน้าประตูศาล เธอก็บังเอิญเจอกับสุนันท์ที่รีบมาพอดี และแน่นอนว่าเจอออกัสที่อยู่ข้างหลังเธอด้วย…

ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกันในห้าหกวันที่ผ่านมา แถมยังอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

หลังจากเหลือบมองแล้ว เชอร์รีนก็ถอนสายตาของเธอออกมา ดวงตาของเธอไม่มีความวูบไหว ราวกับว่าเธอกำลังมองคนแปลกหน้า

ไม่มีการทักทาย และไม่มีการพูดอะไรออกมา เธอเดินผ่านทั้งสองไป แผ่นหลังเหยียดตรงเดินหน้าอย่างเดียว โดยไม่มีใครเห็นเลยว่าเล็บของเธอกำลังจิกลงบนฝ่ามือนุ่มแน่น

ดวงตาที่ลุ่มลึกมองตามหลังเธอไปไม่วางตา ออกัสลมหายใจกระตุกเล็กน้อย แผ่นหลังของเธอมั่นคงมาก ทำให้หัวใจของเขาห่อเหี่ยว และสั่นไหว

“ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วทำอะไรไว้ ถึงได้เจอผู้หญิงที่จิตใจดุร้ายแบบนี้ โถ่เว้ย!” สุนันท์บ่นด้วยความไม่พอใจ

เมื่อได้ยินอย่างนี้เลอแปงก็กลอกตา เอาแต่มองหาเหตุผลจากคนอื่น ทำไมถึงไม่เริ่มหาจากตัวเองล่ะ

จากนั้นไม่นานศาลก็เริ่มการพิจารณาคดีครั้งแรก เชอร์รีนและออกัสนั่งตรงข้ามกัน ในขณะนี้มีความเงียบมากขึ้น

สายตาของออกัสยังจ้องอยู่ที่เชอร์รีนตลอด ไม่ได้เจอกันหลายวัน เธอผอมลงมาก คางก็แหลมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แต่เชอร์รีนไม่ได้มองเขา เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยกระซิบบางอย่างกับทนาย

ในช่วงแรกของการพิจารณาคดี ทนายของทั้งสองฝ่ายต่างก็แสดงความเห็นและให้เหตุผลของตน รวมถึงโต้แย้งความคิดเห็นของอีกฝ่ายด้วย

ขั้นตอนทั้งหมดกินเวลากว่าสองชั่วโมง และในที่สุดศาลได้ออกคำตัดสินและพิพากษาจำคุกสิงหา เป็นเวลาสิบปีขึ้นไปในคุก และตัดสิทธิทางการเมืองของเขาไปตลอดชีวิต

สิบปีขึ้นไป แล้วเวลาที่แน่ชัดคือเท่าไหร่ สิบห้าปี ยี่สิบปี หรือสามสิบปี…

เมื่อผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ เชอร์รีนจึงนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่เคลื่อนไหว อารมณ์ของเธอนิ่งลึกมาก ไม่มีใครรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ทนายพูด “ผมทำดีที่สุดแล้วจนได้ผลลัพธ์แบบนี้ ผมบอกคุณแล้วระหว่างทางว่าการจะทำให้จำคุกตลอดชีวิตค่อนข้างยาก แต่ปีนี้อายุของเขาก็เข้าหกสิบปีแล้ว ตัดสินจำคุกสิบปีขึ้นไปหรือจำคุกตลอดชีวิตก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่”

มุมปากของเชอร์รีนกระตุกเล็กน้อย อันที่จริงเธอก็รู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจ

“ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือ สุขภาพร่างกายของเขาไม่ค่อยดีนัก ไม่แน่จนตายเขาก็อาจจะยังออกจากคุกไม่ได้”

“ไปกันเถอะ” เชอร์รีนลุกขึ้นยืน

“แล้วก็ ถ้าคุณไม่ใช้โทรศัพท์บันทึกเสียงนั้นไว้ด้วยความฉลาด การตัดสินคดีครั้งนี้คงยากมาก สิ่งนั้นเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักที่สุด”

เมื่อพวกเขาออกจากศาล ก็นักข่าวกลุ่มหนึ่งยืนอยู่แล้ว ทันทีที่เห็นออกัสทั้งหมดก็กรูเข้าไป

ข่าวนี้เป็นข่าวพาดหัวใหญ่ในเมืองs มันมากพอที่จะทำให้ เมืองsสั่นสะเทือนถึง 3 ครั้ง และต้องเป็นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งแน่นอน

สุนันท์เดิมทีก็รับไม่ได้กับความจริงเหล่านี้อยู่แล้ว จากร่างกายที่อ่อนแอ เมื่อถูกล้อมอยู่ตรงกลาง ฟังเสียงที่ดังจอแจรอบตัว เธอก็ปวดหัวขึ้นมาทันที

“พาแม่ออกไป…” ออกัสพูดกับเลอแปง

เลอแปงมองไปที่กลุ่มนักข่าวที่ดูเหมือนจะกินคนและเลิกคิ้วสูง “แล้วพี่ล่ะ”

“ฉันจะรับมือทางนี้เอง”

“ผมจะอยู่รับมือเป็นเพื่อน แม่ผมจะให้ผู้ช่วยเตโชพาไป…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ออกัสก็พูดอย่างสุขุมว่า “เรื่องนี้จัดการคนเดียวก็พอแล้ว ไปเถอะ!”

มันเหมือนการลุยน้ำโคลน ยิ่งโดนน้อยคนเท่าไหร่ยิ่งดี และไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องกระโดดลงไป

เลอแปงกัดฟัน พยุงสุนันท์ฝ่าออกจากฝูงชน ขึ้นรถ และจากไป

เชอร์รีนยืนอยู่ไกลๆ กวาดตาไป ก่อนจะบังเอิญสบตากับออกัสโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอตัวสั่นเล็กน้อย แต่เขาก็จ้องเธอตาเขม็ง

ราวกับคนมากมายไม่มีตัวตน มีแค่เธอกับเขา การเว้นระยะห่าง ราวกับเขาต้องการตรึงเธอไว้ในสายตา

ทำไม เธอส่งพ่อเขาเข้าคุก ดังนั้น เขาเลยเกลียดเธอหรอ

เกลียดไปสิ ยังไงพวกเขาก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว ต่อไปก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก แล้วแต่เขาเลย…

ถึงความเกลียดชังของเขาจะทำให้เธอเจ็บอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย…

เธอหันหลังเดินลงบันไดข้างหน้า แล้วเสียงทุ้มต่ำทรงพลังของเขาก็ดังขึ้นทีละประโยคอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ผมจะให้สัมภาษณ์ครั้งเดียวเท่านั้น และจะตอบเพียงครั้งเดียว สำหรับคำพิพากษาของศาลเราไม่คัดค้าน จะปฏิบัติตาม และไม่มีการยื่นอุธรณ์อีก จากนี้ไปไม่ว่าจะเป็นบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์หรือบริษัท ผมหวังว่าจะไม่เห็นนักข่าวปรากฏตัวอีก มิฉะนั้นผมจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด!”

ก้าวของเธอหยุดชะงัก ร่างกายแข็งทื่อเล็กน้อย เธอคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้

บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์

ออกัสจุดบุหรี่ ปล่อยควันลอยขึ้นไปข้างบน จนเลอแปงซึ่งอยู่ข้างๆถึงกับต้องหันหน้าหนี

จากนั้นสุนันท์ก็พุ่งเข้ามาราวกับเป็นบ้า กวาดถ้วยน้ำชาบนโต๊ะลงบนพื้น แล้วพูดเหวี่ยง “อะไรคือไม่คัดค้าน อะไรคือจะปฏิบัติตาม อะไรคือไม่มีการยื่นอุธรณ์ เขาเป็นพ่อแท้ๆของแกนะ แกจะส่งเขาเข้าคุกอย่างนี้ได้ยังไง!”

ไม่มีคำพูดอะไรออกมา ร่างสูงโปร่งของออกัสเอนลงเล็กน้อยเพื่อดับบุหรี่

“ฉันโทรหาคุณตาของแกแล้ว เขาจะรีบกลับมาที่เมืองsในวันพรุ่งนี้ แกจะรอแถลงข่าวกับนักข่าวอีกวันไม่ได้หรือไง ถึงกับต้องปิดทางรอดเขาทุกทางเลยหรอ” เสียงของสุนันท์แหลมผิดปกติ เธอโกรธจนแทบบ้าแล้ว

หยาดฝนพยุงเธออยู่ข้างๆ และในที่สุดเลอแปงก็ส่งเสียงพูดออกมา “พ่อของผมทำตัวเอง ก่อนที่จะทำเรื่องมันบานปลายไปขนาดนั้น เขาควรคิดถึงผลที่จะได้รับด้วย เขาจะหกสิบปีอยู่แล้ว ไม่ใช่เด็กหกขวบที่จะไม่รู้เรื่อง แถมเรื่องก็ดังโครมๆไปทั่วเมืองs คำสั่งลงโทษก็มาจากศาล เกี่ยวอะไรกับพี่ผม คุณก็คิดถึงแต่พ่อของผม คุณเคยคิดถึงพี่ของผมไหม ลูกของเขาตาย คุณเคยถามเขาไหมว่าเจ็บหรือเปล่า”

“ลูกที่ผู้หญิงคนนั้นคลอดออกมา ไม่รับก็ไม่เห็นจะเป็นไร แถมจะมีลูกอีกเมื่อไหร่ก็ได้ อยากมีกี่คนก็ได้ทั้งนั้น แต่พ่อของแกมีแค่คนนี้คนเดียว!” สุนันท์ไม่รับฟัง

เมื่อพูดมาถึงขนาดนี้แล้วก็หมดคำจะพูด เลอแปงหัวเราะ และเดินเข้าห้องหนังสือไป

เขายังคงได้ยินเสียงที่แหลมคมของเธอลอยมา แต่พี่ใหญ่ก็ไม่พูดหรือส่งเสียงใดๆออกมาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

“ตอนแรกฉันอยากให้คุณตาของแกยื่นอุทธรณ์ แต่ตอนนี้เยี่ยมมาก แกปิดทางรอดหมดแล้ว ต้องเห็นพ่อของตัวเองติดคุกสินะถึงจะสบายใจ เพื่อผู้หญิงคนนั้น แกถึงกับไม่มีหัวจิตหัวใจ!”

“เขาไม่ได้ฆ่าหนึ่งชีวิต แต่ฆ่าถึงสองชีวิต หากเขาไม่ทำอย่างนั้น จักรกฤษก็คงไม่ตาย ผู้คนต่างก็ต้องชดใช้ให้กับสิ่งที่ตัวเองทำเสมอ”

เมื่อพูดจบ ออกัสก็ลุกขึ้น ไม่สนใจสุนันท์ เพียงแค่กัดฟันและเดินตรงไปห้องหนังสือเท่านั้น

“ฉันว่าแกคงถูกผู้หญิงคนนั้นหลอกไปหมดแล้ว! ถึงพูดคำที่อุกอาจขนาดนี้ออกมาได้ นั่นมันพ่อของแก พ่อแท้ๆ!!”

สุนันท์ยังคงทำลายข้าวของ และกรีดร้องอีกครั้ง มีเพียงหยาดฝนคอยปลอบ บรรเทาอารมณ์ของเธอ