“ก็ดูลูกชายของคุณให้ดีแล้วกัน ทางที่ดีอย่าให้เขามาปรากฏต่อหน้าลูกสาวฉันอีก ฐานะทางบ้านของพวกคุณมันสูงและสกปรกเกินไป เข้าไปพัวพันก็มีแต่จะทำให้ตัวนั้นแปดเปื้อน!”

ในใจของคนทั้งสองมีแต่ไฟโทสะรุมเร้า ทะเลาะกันจนไม่สามารถจะหาทางสิ้นสุดได้ หลังจากนั้นกนกอรโทรหาเชอร์รีน ให้เธอนั้นเข้ามา

เห็นอย่างนั้นแล้ว สุนันท์ก็ไม่ยอมแพ้ เลยโทรหาออกัสบ้าง…

คนทั้งสองยังคงมีปากเสียงกันอย่างไม่หยุด

คำพูดของสุนันท์ไม่น่าฟังเอาเสียเลย เธอพูดจาเสียดสี โดยเฉพาะในเวลานี้แต่ละคำพูดที่ออกมาเต็มไปด้วยความเหน็บแหนม

ชารีฟที่อยู่ตรงนั้นได้ทนที่ให้คนอื่นมาพาลหาเรื่องในบ้านของตัวเอง เขาเข้ามาประคองกนกอรแล้วพูดกับสุนันท์ว่า “ถ้าอยากจะพาลหาเรื่องก็ไปทำที่อื่น บ้านของพวกเราไม่ใช่สถานที่ที่คุณจะมาพาลหาเรื่อง!”

“แกพูดว่าอะไรนะ พูดอีกรอบสิ!” สุนันท์โกรธจนหน้าเขียวหน้าเหลือง โทสะที่อยู่ใจของเธอทำงานไม่หยุด

“จะให้เรียกว่าคุณนายหรอครับ? ผมไม่เห็นว่าคุณจะมีท่าทางเป็นคุณนายตรงไหนเลย เป็นผู้หญิงปากคอเราะรายน่ะยังพอว่า! สามีของตัวเองยังดูแลไม่ได้เลย ยังจะหอบสังขารวิ่งมาอาละวาดที่บ้านคนอื่นอีก น่าแปลกจริงๆ” พอชารีฟด่าขึ้นมา เขาก็ด่าอย่างไม่เกรงใจใครเลย

เพิ่งจะเดินมาถึงปากบันได เชอร์รีนก็ได้ยินเสียงด่าทอที่ดังเจี๊ยวจ๊าวอยู่ คนที่มาคือใคร เธอได้ยินอย่างชัดเจน

ทำไมสุนันท์ตามหลอกหลอนไม่ยอมเลิกอย่างนี้?

แต่ยังเดินต่อไปข้างหน้าไม่ถึงก้าว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้น หลังจากนั้นแขนของเธอก็ถูกคนที่อยู่ด้านหลังคว้าเอาไว้ เธอหันหลับมา เป็นออกัสนั่นเอง

เธอยืนอยู่ตรงบันไดชั้นบน เขายืนอยู่ตรงบันไดชั้นล่าง ตรงช่วงศรีษะของเธอสูงกว่าของเขา คนทั้งสองมองตากันและกันต่างก็ไม่มีใครพูดอะไร

“ปล่อยฉันนะ” ผ่านไปสักพักใหญ่ เธอถึงเอ่ยปากพูดขึ้น

นัยน์ตาที่ดำขลับของเขาจ้องมองเธอด้วยความลึกซึ้ง ออกัสยังคงไม่พูดอะไร ลูกกระเดือกมีอาการสั่นเล็กน้อย พระเจ้ารู้ดีว่าเขานั้นอยากที่จะเอาเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดมากมายเพียงใด

ขณะที่คนทั้งสองอยู่ในสภาพอย่างนั้น เสียงอาละวาดที่รุนแรงก็ดังขึ้นมาอีก ตามมาด้วยเสียงปะทะกันของอะไรสักอย่าง

เชอร์รีนขมวดคิ้วขึ้น ในที่สุดมือของเธอก็ใช้แรงผลักเขาออก แล้วรีบขึ้นมายังด้านบน ออกัสก็ตามขึ้นมาติดๆ

“ฉันดูแลสามีของตัวเองไม่ได้แล้วมันจะทำไม? อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ จะมีสักวันนึงที่เขาจะกลับมาอยู่ข้างกายฉัน แล้วคุณล่ะ สามีตาย ตอนนี้ก็เป็นได้แค่แม่หม้าย!”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดนี้ได้ทิ่มแทงจิตใจของกนกอรอย่างบาดลึก เดิมทีร่างกายของเธอก็ไม่ดีอยู่แล้ว พอมาเจอคำพูดที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างนี้ ร่างกายก็อ่อนแรงและหงายหลังล้มลงไป

“แม่!” เห็นอย่างนั้นแล้ว เชอร์รีนก็ตกใจรีบวิ่งเข้าไปประคองเธอเอาไว้

สุนันท์รู้สึกภูมิใจ แต่กนกอรกลับพูดคำพูดที่ไม่น่าฟังออกมาว่า “สามีของคุณมีชีวิตอยู่ก็จริง แต่มีชีวิตอยู่ด้วยความอัปยศใช้ชีวิตไปวันๆอยู่ในคุกนั่นแหละ มีอะไรให้น่าภาคภูมิใจตรงไหน”

คำพูดที่ไม่น่าฟัง ใครล่ะจะพูดไม่เป็น?

คำพูดแทงใจดำ สุนันท์โกรธจนตัวสั่นและยกมือขึ้นจะตบ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตบลงไปก็ถูกออกัสคว้าเอาไว้ เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำและเยือกเย็นว่า “ยังหาเรื่องไม่พออีกหรอ?”

“หาเรื่องไม่พอ? นี่แกสมองเสื่อมไปแล้วหรอ? แกอย่าลืมนะว่าผู้หญิงที่เป็นอสรพิษตัวนี้ได้ทำให้พ่อของแกไปอยู่ในคุก ทำร้ายตระกูลสิริไพบูรณ์ เป็นเพราะมันถึงทำให้ครอบครัวเราเป็นอย่างนี้ มันน่ะเลว ผู้หญิงอะไรร้ายกาจขนาดนี้ ฉันจะบอกแกให้นะว่าครอบครัวมันเลวทั้งตระกูลนั่นแหละ!”

การเข้าข้างและการตำหนิของลูกชายทำให้โทสะที่อยู่ในใจของสุนันท์เพิ่มมากยิ่งขึ้น มันเผาไหม้อย่างรุนแรงเหมือนกระโดดเข้าไปในเปลวไฟที่มีแต่จะร้อนขึ้นร้อนขึ้น

“แค่ได้มีชีวิตอยู่ แม้จะอยู่ในคุกแล้วมันจะยังไง จะว่าไปก็ยังโชคดี ก็มีแค่คนดวงซวยและน่าสมน้ำหน้าเท่านั้นแหละที่ตกบันไดจากชั้นบนลงมานอนตาย!”

เสียงพูดเพิ่งจบลงก็ได้ยินเสียง “เพี๊ยะ” หนึ่งครั้ง ใบหน้าของสุนันท์ถูกฝ่ามือนึงตบเข้าอย่างจัง รอยนิ้วมือทั้งห้าปรากฏอยู่บนนั้น

คนที่ตบเธอเป็นเชอร์รีน เธอลงน้ำหนักที่ฝ่ามือไปเยอะมาก ถึงตอนนี้รู้สึกว่ามือของเธอนั้นชา ล่วงเกินเธอ เธอยังรับได้ แต่มาล่วงเกินพ่อของเธอ เธอไม่ยอม!

“นี่แกกล้าตบฉันหรอ! ออกัสแกเห็นหรือยังว่านางผู้หญิงคนนี้เหมือนอสรพิษกล้าตบแม่ของแกเนี่ย แกเห็นมั้ย!”

สุนันท์ที่ถูกตบค้างไปชั่วขณะ หลังจากได้สติ เธอได้ชี้ไปที่หน้าของตัวเองให้ลูกชายดูหลักฐานที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ

“ถ้าก่อเรื่องพอแล้วก็หยุด แล้วกลับบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์!” คิ้วที่สง่าของออกัสนั้นยกสูงขึ้น ความอดทนที่มีต่อสุนันท์ค่อยๆหายไป

การกระทำที่เกิดขึ้นนั้น เขาไม่ว่าเธอ ไม่โทษเธอ คำพูดของแม่ตัวเองที่พูดออกมาก็ยุปมในใจของคนอื่นจริงๆ….

กนกอรยันร่างของตัวเองให้ยืนขึ้น เนื่องจากร่างนั้นถูกไฟโทสะทรุมทรวงจนตัวสั่น เมื่อปะทะหน้าเชอร์รีน เธอจึงพูดว่า “เมื่อกี้มันด่าพ่อของแก แกก็ได้ยินแล้ว มันบอกว่าพ่อแกน่าสมน้ำหน้า เป็นคนดวงซวยที่ตกบันไดจากชั้นบนลงมานอนตาย แกได้ยินไหม?”

“แม่!” เธอยื่นมือออกไปประคองแม่ของเธอ

แต่หลังจากนั้นกนกอรก็สะบัดมือของเธอทิ้ง สีหน้าขึงขัง “บอกฉันมาว่าแกได้ยินหรือไม่ได้ยิน?”

เธอรั้งที่จะเอาคำตอบ เชอร์รีนพยักหน้า “ได้ยินค่ะ”

“งั้นก็ดี ตอนนี้แกสาบานต่อหน้ารูปของพ่อแกกับฉันว่าต่อจากนี้ไปแกกับตระกูลสิริไพบูรณ์จะไม่มีความสัมพันธ์และจะไม่ข้องเกี่ยวใดๆกันอีก!”

ร่างของเชอร์รีนสั่นเทา ขนตาที่ยาวนั้นได้มีอาการสั่นเล็กน้อย มือสั่นขาก็พลอยสั่นตามไปด้วย

“ที่ฉันพูดแกฟังไม่ได้ยินหรอ? ฉันให้แกสาบานต่อหน้ารูปของพ่อแก ถ้าแกไม่ยอมฉันก็ไม่ขัดขืน ตอนนี้แกไสหัวไปเลยนะ ต่อจากนี้ไปตัดแม่ตัดลูกกัน ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก!”

คำพูดนั้นสมบูรณ์ตายตัว แต่กลับน่าเกรงขามเอาจริงเอาจัง กนกอรพูดออกมาได้อย่างชัดเจน

สีหน้าของเชอร์รีนซีดเซียว แม้ว่าจะมีทางเลือกสองทาง แต่ไม่เลือกไม่ได้ ไม่ใช่หรอ?

เธอเดินตัวสั่นไปยังห้องรับแขก ที่นั่นมีรูปของจักรกฤษที่ถ่ายไว้ตอนมีชีวิตแขวนอยู่ เขายิ้มจางๆ ดูเป็นกันเองและมีเมตตา

ทุกๆการก้าวเดิน หัวใจของออกัสก็หนักขึ้นตามเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายก็เหมือนหินก้อนนึงกดทับหัวใจไว้ มันหนักหน่วงมันเหมือนมีคนบีบคอเขาไว้อย่างนั้น เขายกมือขึ้นและใช้แรงดึงเนคไท

ท้ายที่สุดฝีเท้าได้หยุดยืน เธอหันหน้าเข้าหาภาพของผู้ตายแล้วยกมือขึ้นไหว้ พูดสาบานว่า “หนูเชอร์รีนนะคะ หลังจากนี้เป็นต้นไป ถ้าหนูไปข้องเกี่ยวกับตระกูลสิริไพบูรณ์อีก ขอให้ฟ้าผ่า ไม่….”

คำว่าตายไม่ทันได้ออกมา ออกัสก็เดินเข้ามาที่ด้านหน้า ฉุดมือของเธอไว้และจ้องมองเธอด้วยนัยน์ตาที่เคร่งเครียด

คำพูดทุกๆคำของเธอเหมือนอาวุธมีคม และเอาส่วนที่คมของมันมากรีดบนหัวใจของเขา ทำให้มันฉีกขาดแล้วมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด

ปลายนิ้วของเธออยู่ในฝ่ามือของเขา จ้องมองเขาอยู่ชั่วขณะ หลังจากนั้นเธอก็หลับตาลง และใช้แรงทั้งหมดที่มีสลัดมือของเขาออก หันมากลับมา “ขอให้ฟ้าผ่าอย่างไม่ตายดี”

มือนั้นได้สลัดออก มือของคนทั้งสองกลับมาอยู่ตามเดิม อุณหภูมิมือของอีกฝ่ายได้หายไป และสัมผัสกันไม่ได้อีก