ตอนที่ 635 โดนพิษครอบงำ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 635 โดนพิษครอบงำ

“ดังนั้นหากเจ้ามีวิธีที่ดีกว่าก็บอกข้ามาเถิด”

ทว่าฟางหลิงซู่ก็ยังมิยอมกล่าวเพราะวิธีนั้นทรมานยิ่งกว่าการเปลี่ยนถ่ายโลหิตเสียอีก

ยาพิษส่วนใหญ่ของหอพิษกู่จะเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทาน เป็นยาที่สกัดจากโลหิต ดังนั้นการถอนพิษจึงต้องใช้วิธีเดียวกันและเขามิอาจให้อันหลิงเกอทำเช่นนั้นได้

ถ้าไม่บอกอันหลิงเกอตอนนี้ เขาเองก็มิรู้สถานการณ์ของเฝิงเยว่เอ๋อจึงไม่สามารถช่วยนางได้เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าบอกอันหลิงเกอแล้ว นางต้องมิยอมให้ผู้อื่นทำแทนแน่นอน

“ช่างเถิด ไม่ว่าเจ้าจะบอกหรือไม่ข้าก็ต้องช่วยนางอยู่ดี” เมื่อเห็นอันหลิงเกอยืนกรานเช่นนี้ ฟางหลิงซู่ก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา

“ใช่ว่าข้ามิอยากบอก ทว่าวิธีของข้ามีแต่ทำร้ายคน มีวิธีช่วยคนที่ไหนกันเล่า ? ”

ขณะที่พูดสีหน้าของฟางหลิงซู่ดูขมขื่นขึ้นมา ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความอึดอัดใจของเขาอีกด้วย อันหลิงเกอมองออกว่าเขาพยายามแล้ว อย่างน้อยตอนนี้ที่เขาบอกก็เป็นความจริง

อันหลิงเกอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับรู้

“มิเป็นไร ข้าจักพยายามเต็มที่ จักมิทำร้ายตนเองแน่นอน” กล่าวจบ อันหลิงเกอก็ยิ้มออกมาก่อนยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม ในอดีตนางรู้สึกว่าชาของหอพิษกู่รสชาติดีที่สุด ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเช่นเดิม

“ใช่สิ องค์หญิงน้อยแห่งเผ่าพิษหนอนกู่อยู่ที่ใด ? ”

“อยู่ที่เรือนด้านหลัง”

ฟางหลิงซู่ก็มิรู้จะทำเช่นไรกับทูตของเผ่าพิษหนอนกู่ผู้นี้ดี

“ตอนนี้เกิดอันใดขึ้นกับเผ่าพิษหนอนกู่หรือไม่ ? ”

อันหลิงเกอมิได้เป็นห่วงเรื่องของเผ่าพิษหนอนกู่แต่ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องของศัตรูเอาไว้บ้างเพราะตอนนี้นางรู้เรื่องของเผ่าพิษหนอนกู่น้อยมากจริง ๆ

“ราชบุตรเขยของเผ่าพิษหนอนกู่ได้ทำการแย่งชิงบัลลังก์”

หืม ? สวามีขององค์หญิงน้อยที่อยู่ด้านในน่ะหรือ ?

มิน่าเล่า อีกฝ่ายจึงรีบร้อนออกตามหานางเช่นนี้ ที่แท้เพราะอยากฟื้นฟูตำแหน่งของพวกตนในเผ่าพิษหนอนกู่นี่เอง ทว่าเรื่องเช่นนี้ก็มิได้เกี่ยวกับนางเลย

อย่างไรนางก็มิได้รู้เรื่องของเผ่าพิษหนอนกู่สักนิด

“ฟางหลิงซู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเผ่าพิษหนอนกู่ตามหาตัวข้าด้วยเหตุใด ? ” ทั้งยังรีบร้อนถึงเพียงนี้ด้วย

“เผ่าพิษหนอนกู่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชาพิษกู่ ส่วนราชาพิษกู่เป็นคนที่ทั้งแผ่นดินล้วนหวาดกลัว”

ราชาพิษกู่ ? อันหลิงเกอครุ่นคิดและส่งสัญญาณให้เขาเล่าต่อ

“ทว่าบัดนี้ไร้ข่าวคราวของราชาพิษกู่ ดินแดนของเผ่าพิษหนอนกู่ก็ลดน้อยลงเรื่อย ๆ บางทีเจ้าอาจเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเขาก็ได้”

ข้าหรือ ? อันหลิงเกอมิเข้าใจ

“เพราะเหตุใด ? ”

ฟางหลิงซู่รู้ว่านางต้องถามคำถามนี้ เขาเทน้ำชาที่อยู่ในถ้วยทิ้งไปก่อนจะใช้มีดสั้นกรีดที่นิ้วชี้ของตน

ขณะที่อันหลิงเกอกำลังแปลกใจอยู่นั้น เขาก็จับไปที่ข้อมือของนางก่อนจะกรีดนิ้วของอันหลิงเกอให้เลือดหยดลงถ้วยชาใบนั้นแล้วมองเลือดของทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน

“เด็กที่เกิดมาในหอพิษกู่ เลือดของพวกเราจักมีพิษแฝงอยู่ แต่เลือดของเจ้าสามารถทำให้เลือดของพวกเรากลายเป็นปกติได้”

นี่เกี่ยวข้องกับราชาพิษกู่ด้วยหรือ ?

“เจ้าสืบทอดสายเลือดมาจากฮูหยินใหญ่อัน ตอนนี้มองแล้วเจ้าคงมีความเกี่ยวข้องกับราชาพิษกู่มิมากก็น้อย”

พูดไปพูดมา เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับท่านแม่อีกแล้ว

“ครั้งหนึ่ง ราชาพิษกู่เคยส่งต่อพิษแก่บรรพบุรุษของเผ่าพิษหนอนกู่จึงได้มีเผ่าพิษหนอนกู่อย่างเช่นทุกวันนี้ แต่ความสามารถในการถอนพิษนั้นมีเพียงสายเลือดของราชาพิษกู่เท่านั้นที่ทำได้”

ที่แท้ก็เป็นเยี่ยงนี้เอง ท่านแม่มีสายเลือดของราชาพิษกู่ ดังนั้นพวกเขาจึงมั่นใจว่าตัวนางก็มีความสามารถนี้เช่นกัน

อันหลิงเกอคิดว่านี่คือเหตุผลที่คนเหล่านั้นพยายามหาตัวนาง

“อันหลิงเกอ เจ้าต้องรักษาตัวให้ดี เจ้ามิเพียงมีความสามารถเช่นเดียวกับเผ่าพิษหนอนกู่และราชาพิษกู่ ทว่าเจ้าอาจมีความรับผิดชอบอื่นด้วย”

สายข่าวของหอพิษกู่มีอยู่ทั่วหล้าจึงไม่มีเรื่องใดหลุดลอดไปได้ ฟางหลิงซู่กล่าวออกมาเช่นนี้ก็แสดงว่าเขาต้องรู้อันใดมาแน่

“ข้าต้องรักษาชีวิตให้ดีอยู่แล้ว มิใช่เพื่อฐานะเหล่านั้นแต่เพราะชีวิตของข้าล้ำค่าและข้ายังใช้ชีวิตได้มิคุ้มเลย”

อันหลิงเกอเป็นคนที่รักชีวิตเพราะบนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตแล้ว แน่นอนว่าไม่มีอันใดยากไปกว่าการมีชีวิตอยู่เช่นกัน

“เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้ว” อันหลิงเกอกำลังเตรียมตัวขอลากลับแต่ได้ยินเสียงรายงานจากด้านนอกดังขึ้นเสียก่อน

“เรียนคุณชาย บัดนี้ท่านอ๋องมู่และพระชายามาขอเข้าพบขอรับ” ฟางหลิงซู่ขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะหันไปมองอันหลิงเกอ

ฟางหลิงซู่รู้ดีว่าเหตุใดอันหลิงเกอต้องมาที่นี่ก่อน เขารู้ถึงความลำบากใจของนาง แต่ตอนนี้อีกสองคนนั้นมาถึงแล้ว เขาเองก็มิสามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้

“พวกเราออกไปด้วยกันเถิด”

แม้อันหลิงเกอรู้ว่าการพบหน้ามู่จวินฮานจะทำให้ต้องปวดใจมากเพียงใดแต่นางก็มิอาจทนเห็นหอพิษกู่และราชสำนักต้องบาดหมางกันอีก

“เจ้ามิเป็นไรแน่หรือ ? ” ฟางหลิงซู่นึกเป็นห่วงนางขึ้นมา

“มิเป็นไร อยู่ที่จวนข้าก็เห็นบ่อยจนมิรู้สึกอันใดแล้ว”

อันหลิงเกอยิ้มออกมา เรื่องนี้อย่างไรนางก็ไม่สามารถทำใจให้ชินได้แต่ก็ต้องเห็นทุกเมื่อเชื่อวัน

ดังนั้นต่อให้บังเอิญพบกันที่หอพิษกู่แล้วจักเป็นไร ?

หากตอนนี้นางแอบกลับออกไป ภายภาคหน้าฟางหลิงซู่ก็คงยากจะพบมู่จวินฮานได้อีก และหากมู่จวินฮานมิได้ยาถอนพิษก็ต้องมาที่หอพิษกู่อีกแน่ เผลอ ๆ อาจเกิดเป็นความขัดแย้งขึ้นได้

ทว่าตอนนี้นางคือซูฉางเฟิง การปรากฏตัวที่นี่จึงมิแปลกอันใด นางเป็นลูกน้องของมู่จวินฮาน ส่วนฟางหลิงซู่ก็เป็นสหาย เช่นนั้นการเป็นคนกลางก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว

“คารวะท่านอ๋องมู่” อันหลิงเกอคำนับก่อนนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับมู่จวินฮาน

ส่วนฟางหลิงซู่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดตรงกลาง เขามิได้สนใจเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์อันใด รู้เพียงว่าที่นี่คือถิ่นของตนและหอพิษกู่หาได้ใส่ใจราชสำนักไม่

“ท่านอ๋องซูก็อยู่ด้วยหรือ”

ตอนนี้เฝิงเยว่เอ๋อสวมหมวกสานอยู่ เมื่อเห็นซูฉางเฟิงพยายามเพื่อตนเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมิน้อย

“มิทราบว่าท่านอ๋องซูได้ยาถอนพิษหรือยัง ? ”

เมื่อมู่จวินฮานเห็นท่าทางของอันหลิงเกอก็พอเดาได้บ้าง แต่ในเมื่อเป็นยาพิษที่มาจากหอพิษกู่ อย่างไรที่นี่ก็ต้องมีคำตอบเรื่องนี้บ้าง

ต่อให้มิได้ยาถอนพิษ มู่จวินฮานก็ต้องได้คำตอบอันใดบ้าง

“พิษนี้เป็นหอพิษกู่สร้างขึ้น แต่ยาถอนพิษนั้นมิเคยทำออกมา”

ฟางหลิงซู่นับว่าฉลาดมิน้อย หากเขายิ่งปกปิดก็จะเห็นได้ชัดว่าไม่จริงใจ มิสู้พูดหลบเลี่ยงในรูปแบบที่เขาชอบทำ ยังจะทำให้คนเชื่อได้มากกว่าเสียอีก

“หืม ? ”

มิรู้ว่ามู่จวินฮานเชื่อคำพูดของฟางหลิงซู่มากน้อยเพียงใดเพราะแค่ยิ้มออกมาเท่านั้น

“เช่นนั้นมิทราบว่าคุณชายฟางมีข่าวของอันหลิงเกอหรือไม่ ? ” มู่จวินฮานเอ่ยถาม

เฝิงเยว่เอ๋อมิได้กล่าวอันใดออกมา นางได้เป็นถึงพระชายาเอกก็จริง แต่หากพิษนี้ยังมิโดนกำจัด นางก็มิสามารถตั้งครรภ์ได้และไม่สามารถมีชีวิตเยี่ยงคนปกติ แต่ทั้งที่ตัวนางเองก็รู้อยู่แล้วว่าอันหลิงเกอนั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่ยอมเปิดเผยเพื่อให้อันหลิงเกอช่วยรักษา นางต้องมีอันใดปกปิดอยู่แน่จึงทำให้อันหลิงเกออดระแวงมิได้

“ไม่มี” ฟางหลิงซู่ส่ายหน้า

“ในใต้หล้ายังมีเรื่องที่หอพิษกู่มิรู้อีกหรือ ท่านมิรู้จริง ๆ หรือว่ามิอยากบอกข้ากันแน่ ? ”

ท่าทางร้อนใจของมู่จวินฮานทำให้อันหลิงเกอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา เขาใส่ใจในการตามหานางถึงเพียงนี้ หรือเขาจำอันใดได้บ้างแล้ว ?

“หากดวงตาพระชายารักษามิหาย หอพิษกู่ของท่านก็อย่าได้หวังจะรอดไปได้ ! ”

ทว่าประโยคต่อมาของมู่จวินฮานกลับทำให้อันหลิงเกอรู้สึกหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ ที่แท้ก็เพื่อเฝิงเยว่เอ๋อ

“น่าเสียดายที่ข้ามิรู้จริง ๆ ท่านอ๋องก็มิสามารถลงโทษอันใดได้หรอก”