ตอนที่ 371 ตรงกัน / ตอนที่ 372 เข้าใจผิด

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 371 ตรงกัน

 

 

ฉินซื่อหลานไม่กล้าเข้าไปยั่วโมโหเหยียนเค่อก่อน โดยเฉพาะตอนที่เหยียนเค่อแผ่รังสีความเยือกเย็นออกมาจากร่างกายแบบนี้ ราวกับเขียนป้ายกำกับไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าใกล้ ใครเข้าใกล้มันต้องตาย’ อย่างไรอย่างนั้น จำต้องพูดคุยผูกมิตรกับเบลล์ไปก่อน

 

 

“คุณซย่าบาดเจ็บเหรอคะ” เบลล์เห็นท่าทางของซย่าเสี่ยวมั่วดูไม่เหมือนคนเจ็บ แต่กลับนั่งบนรถเข็น แถมสีหน้ายังซีดเซียวอีก

 

 

“ครับ เข่ากระแทกน่ะ” เขากำลังจะเล่าเรื่องราวโดยละเอียดให้เบลล์ฟังว่าซย่าเสี่ยวมั่วบาดเจ็บได้อย่างไร ก็ถูกเหยียนเค่อตวัดตามองเสียก่อน จึงต้องรีบปิดปากให้สนิท

 

 

เมื่อก่อนตอนเหยียนเค่ออารมณ์ไม่ดี ทุกครั้งจะมีเสิ่นจิ้งเฉินที่ไม่กลัวตายมาแหย่มายั่วโมโห และจุดจบของเสิ่นจิ้งเฉินก็น่าเอน็จอนาถไปเสียทุกครั้ง ถ้าไม่ถูกส่งตัวไปที่สถานที่ทุรกันดารก็ต้องโดนทำร้าย ตอนนี้เสิ่นจิ้งเฉินไปแล้ว ตนไม่อยากมารับผิดชอบชีวิตอันทรงเกียรติของเขาหรอก

 

 

เบลล์ก็รู้สึกได้ถึงรังสีความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเหยียนเค่อตั้งแต่ที่เขาเห็นซย่าเสี่ยวมั่ว ดูท่าแล้วซย่าเสี่ยวมั่วมีผลต่อเหยียนเค่อมากเลยทีเดียว ถึงขั้นที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเหยียนเค่อด้วย

 

 

“ฉันได้ยินมาว่าซย่าเสี่ยวมั่วอยู่ที่ฮุยเถิงเหรอคะ”

 

 

ฉินซื่อหลานหันไปมองเธออย่างจริงจังหนึ่งที ก่อนจะหันไปมองเหยียนเค่อหนึ่งที เมื่อเห็นว่า

 

 

เหยียนเค่อไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขาเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก “ครับ”

 

 

เบลล์เคยชินกับการที่ค้นหาคำพูดที่ปิดบังซ่อนเร้นไว้ในใจผ่านสีหน้าของคนคนหนึ่ง จึงไขข้อสงสัยให้ฉินซื่อหลานโดยอัตโนมัติ “เหยียนเฟิงเคยสืบประวัติของซย่าเสี่ยวมั่วน่ะค่ะ ฉันเป็นผู้รับผิดชอบ”

 

 

และฉินซื่อหลานก็ถึงบางอ้อ มิน่าล่ะเหยียนเค่อถึงทำหน้าตาไม่แปลกใจแบบนั้น เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย “แล้วคุณรู้อะไรอีกครับ”

 

 

“แล้วฉันก็รู้ด้วยว่า คนคนนี้เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในหัวใจของประธานเหยียน”

 

 

คำพูดนี้มันชวนอ้วกเกินไปหน่อยนะ ฉินซื่อหลานไม่กล้าคิดภาพที่เหยียนเค่อพูดกับซย่าเสี่ยวมั่วว่า  ‘เธอคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในหัวใจฉัน’ เลย เขาเหยียดยิ้มก่อนจะเอ่ย “คุณรู้ดีจังเลยนะครับเนี่ย”

 

 

เบลล์ทำหน้าจนใจ “ความจริงตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอกค่ะ เพราะว่าสืบจากข้อมูลไม่ได้ว่าจริงหรือปลอม ถึงฉันกับประธานเหยียนจะเพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียว แต่ในหนึ่งวันนี้ฉันยืนยันปัญหาในใจของตัวเองได้แล้วสองข้อ”

 

 

ฉินซื่อหลานมองเธออย่างฉงนใจแต่ไม่กล้าถามตรงๆ ทำได้เพียงใช้สายตาแสดงออกถึงความใคร่รู้

 

 

เบลล์หัวเราะ “คุณหมอฉินคะ คุณมองฉันแบบนี้ไม่กลัวฉันชอบคุณเข้าหรือไง” พวกเขาแต่ละคนนี่ไม่รู้เลยเหรอว่าหน้าตาของตัวเองดีขนาดไหน เข้ามาใกล้ขนาดนี้เธอหัวใจจะวายอยู่แล้ว มองฉินซื่อหลานเบือนสายตาหนีแล้วเธอจึงค่อยๆ พูดขึ้น “คำถามแรกก็คือ ประธานเหยียนหล่อแค่ไหนกันนะ ส่วนอีกข้อคือ คุณซย่าสำคัญกับท่านประธานเหยียนมากแค่ไหน แล้วฉันก็พบว่าสองคำถามนี้มีคำตอบที่ตรงกัน”

 

 

เหยียนเค่อหล่อแค่ไหน ซย่าเสี่ยวมั่วก็สำคัญกับเขาเท่านั้น

 

 

ฉินซื่อหลานเห็นด้วยเป็นอย่างมาก คนที่นั่งอยู่เฉยๆ ก็ไม่กล้าปล่อยผ่านไปเฉยๆ ทำได้เพียงเลือกคำถามโง่ๆ ออกมาถาม “แล้วคุณคิดว่าผมกับเหยียนเค่อใครหล่อกว่ากันคะ”

 

 

เบลล์ไม่คิดว่าตัวเองจะโดนไปด้วย “แต่ละคนมีความหล่อที่แตกต่างกัน ฉันก็ตัดสินไม่ได้หรอกค่ะ”

 

 

ในที่สุดเหยียนเค่อก็ปรายตามามองฉินซื่อหลาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ “นายกับฉันเทียบกันได้ด้วยเหรอ”

 

 

ฉินซื่อหลานมองเขาอย่างไม่ยอมแพ้ ใช้สายตาแสดงออกถึงความไม่พอใจของตน

 

 

เหยียนเค่อรู้สึกระคายคอเป็นอย่างมาก กระแอมไอขึ้นสองที เมื่อตอนเที่ยงกินของหวานมากไปหน่อย รู้สึกคันเหมือนมีอะไรทิ่มแทงอยู่ด้านใน

 

 

“เป็นอะไรไป” ตอนแรกฉินซื่อหลานได้ยินเขาพูดก็รู้สึกแปลกๆ แล้ว เมื่อเห็นเขาไอก็คิดว่าน่าจะเริ่มเจ็บคอแล้ว

 

 

เหยียนเค่อโบกมือแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ช่วงนี้อากาศแห้งๆ น่ะ”

 

 

เบลล์เห็นฉินซื่อหลานดูเป็นกังวลกับอาการเหยียนเค่อ ก็อยากจะช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง จึงเอาเรื่องกระบอกน้ำเก็บความร้อนของเหยียนเค่อมาพูดขำๆ ให้ฉินซื่อหลานฟัง “เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคนพกกระบอกน้ำร้อนเข้าไปดื่มในร้านขายเครื่องดื่มเลยล่ะค่ะ”

 

 

ฉินซื่อหลานนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตอนเช้าเหยียนเค่อก็ถือกระบอกเก็บความร้อนไปกินข้าวเหมือนกัน น่าจะเจ็บคอจริงๆ นั่นล่ะ แล้วยังจะมาดื้ออยู่อีก ทุกครั้งต้องรอให้ถึงตอนเจ็บคอจนพูดไม่ได้เสียก่อยถึงจะยอมกินยา

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 372 เข้าใจผิด

 

 

คนที่ปกติแล้วจะวุ่นอยู่กับการทำงานอย่างพวกเขา ต้องมีปัญหาสุขภาพไม่มากก็น้อย เมื่อก่อนตอนที่เหยียนเค่อไข้ขึ้นเคยมีอาการคออักเสบจนไม่มีเสียง อาเจียนเป็นเลือด ในตอนหลังแค่มีอาการเป็นหวัดไข้ขึ้นเพียงเล็กน้อยก็จะมีอาการแบบนี้เกิดขึ้นด้วย แต่ร่างกายของเหยียนเค่อนับว่าแข็งแรงดี อย่างน้อยในปีนี้อาการก็ยังไม่เคยกำเริบเลย จนฉินซื่อหลานเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

 

 

“เดี๋ยวฉันจัดยาให้ กลับไปก็กินให้ตรงเวลานะ”

 

 

เหยียนเค่อชอบกินหวาน ปฏิเสธการกินยารสชาติขมแบบนี้อย่างเด็ดขาด จึงไม่ยอมท่าเดียว “ฉันไม่กิน” รู้สึกเสียงแหบแห้งเล็กน้อย

 

 

“ซย่าเสี่ยวมั่วน่ะเป็นคนชอบฟังเสียงคน” ฉินซื่อหลานยกชื่อซย่าเสี่ยวมั่วออกมากดดันเขา แต่สิ่งที่เขาพูดคือความจริง พูดได้ว่าเสียงของเหยียนเค่อเป็นเสียงที่ซย่าเสี่ยวมั่วชอบเป็นที่สุด

 

 

เหยียนเค่อขี้เกียจจะพูดกับเขา จึงใช้ความเงียบเข้าต่อต้าน ทำไมเขาไม่รู้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วเป็นคนชอบฟังเสียงคน

 

 

“นายต้องเชื่อฉันสิ” ฉินซื่อหลานสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะกับคนที่นอนหลับพักสายตาอยู่บนโซฟา “ฉันเพิ่งไปหลอกถามมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง”

 

 

ถ้าซย่าเสี่ยวมั่วรู้ว่าคำพูดที่เธอเผลอหลุดพูดออกมาจะกลายเป็น ‘หลักฐาน’ มัดตัวฉินซื่อหลานละก็ เธอคงต้องเย็บปากตัวเองให้สนิทเป็นแน่

 

 

เบลล์คิดไม่ถึงว่าเหยียนเค่อจะป่วย เห็นฉินซื่อหลานหลอกล่อให้เขากินยาเหมือนหลอกเด็กก็อยากจะขำ “คุณหมอฉิน พวกคุณดูสนิทกันจังนะคะ”

 

 

ยิ่งกว่าการแข่งขันระหว่างพี่น้องก็คือหุ้นส่วน ถ้าเหยียนเค่อเป็นอะไรไป อำนาจของบริษัทนั้นก็จะถูกเปลี่ยนมือได้อย่างง่ายดาย เหยียนเค่อป่วยแค่นี้ฉินซื่อหลานยังเป็นห่วงขนาดนี้เลย แสดงว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นมากกว่ามิตรภาพของเพื่อนที่ได้เห็นกันจริงๆ

 

 

“ทำไมพูดมากจัง” น้ำเสียงของเหยียนเค่อเจือความนิ่งและเยียบเย็น “ฉันว่านายอยู่กับซย่าเสี่ยวมั่วเยอะๆ แล้วพูดมากขึ้นนะ”

 

 

เสียงทุ้มต่ำก็ปกปิดความแหบพร่าในน้ำเสียงไปไม่ได้ ฉินซื่อหลานคิดเผื่อเขาจริงๆ ในเมื่อ

 

 

เหยียนเค่อไม่ไว้หน้าเขาแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จนปัญญา รอให้เสียงหายก่อนค่อยมาหาเขาก็แล้วกัน

 

 

“ทำไมซย่าเสี่ยวมั่วยังไม่เข้ามาอีกนะ” ฉินซื่อหลานใช้คำโกหกหลอกล่อไม่สำเร็จ จึงทำได้เพียงเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการพูดเรื่องอื่น

 

 

เบลล์ประคองถ้วยชาอุ่นร้อนในมือแล้วเป่าไอร้อนที่ลอยขึ้นมา “คุณซย่าเป็นคนธาตุหยางพร่องหรือเปล่า”

 

 

ฉินซื่อหลานได้ยินก็หันไปมองอย่างสนใจ ไม่รู้ว่าทำไมเบลล์ถึงพูดเช่นนั้น “ผมเห็นเขาใช้ชีวิตอย่างกับหมู ทำไมถึงบอกว่าเขาธาตุหยางพร่องล่ะครับ”

 

 

“มือเขาเย็นกว่าฉันอีก” เบลล์ก็ธาตุหยางพร่องเหมือนกัน แต่มือกลับไม่ได้เย็นเท่าซย่าเสี่ยวมั่ว

 

 

ฉินซื่อหลานตอบโดยอัตโนมัติ “น่าจะอยู่ข้างนอกนานล่ะมั้งครับ…” เขารู้สึกได้ถึงสายตาของ

 

 

เหยียนเค่อ จึงลอบกลืนคำพูดนั้นลงไป “น่าจะมีอาการธาตุหยางพร่องนิดๆ แล้วล่ะครับ”

 

 

เขาไม่อยากรนหาที่ตาย

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วจามอยู่หลายที เสี่ยวฝูเอ๋อร์กลัวว่าเธออยู่ข้างนอกนานแล้วจะเป็นหวัด จึงรีบเข็น

 

 

วีลแชร์ของเธอกลับเข้าไป

 

 

“เป็นอากาศที่หนาวจนแช่แข็งหมาได้เลย” ซย่าเสี่ยวมั่วอยู่ข้างนอกนานไปหน่อยจนฟันเริ่มสั่นกึกๆ

 

 

“เปรียบเปรยอะไรของพี่เนี่ย” เสี่ยวฝูเอ๋อร์อายุยังน้อย ยังมีกำลังวังชาและทนความหนาวได้ค่อนข้างดี ไม่รู้สึกว่ามันหนาวเท่าไรนัก

 

 

“ฉันไม่ได้เปรียบเปรยสักหน่อย นี่มันความจริงต่างหาก” ซย่าเสี่ยวมั่วรีบกระชับเสื้อคลุมให้ห่อหุ้มตัวไว้ ถ้าไม่เจ็บเข่าเธอก็คงยัดขาเข้าไปในเสื้อคลุมด้วยแล้ว

 

 

เมื่อเข้าไปในห้องโถงก็ไม่มีสายลมฤดูใบไม้ผลิเย็นๆ พัดเข้ามาแล้ว รู้สึกอบอุ่นขึ้นไม่น้อย

 

 

“เรารีบกลับไปกันเถอะ” ซย่าเสี่ยวมั่วกลัวว่าจะเจอคนที่ไม่อยากเจอในห้องโถงนี้ จึงรีบเร่งให้

 

 

เสี่ยวฝูเอ๋อร์เข็นเธอกลับห้อง

 

 

เสี่ยวฝูเอ๋อร์ไม่รู้เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ก็นึกว่าซย่าเสี่ยวมั่วอยากจะรีบกลับไปหาเหยียนเค่อ จึงเอ่ยปลอบอย่างเห็นอกเห็นใจ “พี่เหยียนไม่ไปไหนหรอกค่ะ ฉินซื่อหลานบอกว่าพี่เหยียนจะมากินข้าวเย็นกับพวกเรา”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วหันไปค้อนใส่เธอ “จะไปหรือไม่ไปมันเกี่ยวอะไรกับฉัน อย่าคิดเพ้อเจ้อน่า”

 

 

ยิ่งเธอเป็นแบบนี้ เสี่ยวฝูเอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกว่าซย่าเสี่ยวมั่วเขินเพราะว่าเธอทายถูก จึงตอบรับอย่างไม่ใส่ใจนัก “ได้ค่ะๆ”