ตอนที่ 373 พูดไร้สาระ / ตอนที่ 374 ไม่อยากทำแบบขอไปที

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 373 พูดไร้สาระ

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วใจตุ้มๆ ต่อมๆ ตลอดทาง เมื่อถึงห้องพักผู้ป่วยแล้วจึงพอจะโล่งใจได้หน่อย

 

 

“ในที่สุดก็ขึ้นมาสักที” ฉินซื่อหลานนั่งตรงข้ามกับประตูพอดี จึงเห็นซย่าเสี่ยวมั่วก่อน เหยียนเค่อได้ยินแล้วก็เหลือบมองไปทางประตูห้องปราดหนึ่ง เมื่อเห็นซย่าเสี่ยวมั่วห่อตัวเองอยู่ในเสื้อคลุมกันลมอยู่ก็รีบเบนสายตากลับมา ส่วนเบลล์ก็ทักทายซย่าเสี่ยวมั่วอย่างเป็นมิตร

 

 

หลังจากที่ซย่าเสี่ยวมั่วทักทายกับเบลล์แล้ว ก็เอ่ยหยอกล้อกันฉินซื่อหลาน “คิดถึงฉันเหรอ”

 

 

ฉินซื่อหลานลอบมองสีหน้าของเหยียนเค่อ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ใครคิดถึงเธอก็หมาแล้ว”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วยักไหล่ “นายถามหมาหรือยังว่าจะยอมรับนายหรือเปล่า”

 

 

ทันใดนั้นเสี่ยวฝูเอ๋อร์ก็พูดแทรกขึ้นมา “เมื่อกี้พี่ซย่าคิดถึงพี่เหยียนด้วยนะคะ”

 

 

สีหน้าของฉินซื่อหลานเปลี่ยนแปลงไป ก่อนจะชำเลืองตามองซย่าเสี่ยวมั่วอย่างสะใจ

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วที่ถูกโจมตีหันกลับไปมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังของตนด้วยความมึนงง ไม่ให้เธอคิดเพ้อเจ้อ ก็เลยพูดเพ้อเจ้อแทนอย่างนั้นเหรอ

 

 

เสี่ยวฝูเอ๋อร์พูดอย่างมีเหตุผลและมีหลักฐาน “เมื่อกี้ตอนพี่ซย่าจะขึ้นมาบอกให้ฉันเร็วๆ แล้วก็ดูรีบร้อนด้วยนะคะ”

 

 

เหยียนเค่อใจกระตุก อารมณ์วูบไหว แต่ยังไม่หันไปมองทางนั้น ไม่เพ้อฝันคาดหวังอะไรกับซย่าเสี่ยวมั่วจะดีกว่า

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะชี้แจง เสี่ยวฝูเอ๋อร์ก็หันคมหอกเข้าหาเธอเสียก่อน “พี่พูดสิว่าที่ฉันพูดเป็นความจริงหรือเปล่า”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้จะตอบอย่างไร ที่เธอพูดมาก็จริงอยู่ แต่เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเหยียนเค่อเลยสักนิด

 

 

“แล้วฉันก็บอกว่าพี่เหยียนจะกินมื้อเย็นกับเราที่นี่ ให้พี่ไม่ต้องรีบร้อน แล้วพี่ก็เขินอะ”

 

 

“ฉันเขินที่ไหนกัน” ซย่าเสี่ยวมั่วคิดว่าเธอไม่ได้รู้สึกถึงคำว่า ‘เขิน’ เลยด้วยซ้ำ

 

 

“เขินก็บอกว่าเขิน ยิ่งปิดก็ยิ่งเขินนะ”

 

 

ทำไมเด็กคนนี้อยู่กับเธอแค่วันเดียวก็กลายเป็นคนไม่ปกติไปเสียแล้วล่ะเนี่ย

 

 

ฉินซื่อหลานรู้ว่าเรื่องนี้จะไม่เกิดกับซย่าเสี่ยวมั่วแน่นอน แต่เขาก็อยากดูอะไรสนุกๆ เหมือนกัน สายตามองสลับไปมาระหว่างเหยียนเค่อกับซย่าเสี่ยวมั่ว

 

 

“พอได้แล้ว ฉันก็แค่กลัวเจอใครบางคนเท่านั้นแหละ” ซย่าเสี่ยวมั่วเอ่ยเตือน “ถ้าพูดต่ออีกฉันจะโกรธแล้วนะ”

 

 

เหยียนเค่อดึงสติกลับมาก่อนจะกำจัดทุกเหตุผลภายในใจไปจนหมด ฟังซย่าเสี่ยวมั่วพูดเช่นนี้แล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ทำตัวราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน

 

 

เสี่ยวฝูเอ๋อร์เห็นว่าเหยียนเค่อไม่มีปฏิกิริยาอะไรก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จึงขอโทษซย่าเสี่ยวมั่ว

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้จงใจจะต่อว่าเธอหรอก เพียงแต่เอาเรื่องแบบนี้ออกมาพูดทำให้คนฟังรับไม่ได้จริงๆ จึงพูดเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลงด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก ต้องเป็นฉินซื่อหลานแน่ๆ ที่พาเธอเสียคนน่ะ”

 

 

ฉินซื่อหลานเห็นว่าสถานการณ์กระอักกระอ่วน จำต้องเข้าไปกู้หน้าให้เสี่ยวฝูเอ๋อร์ “ใครใช้ให้เธอไม่พูดล่ะ ทำให้เด็กน้อยของฉันเข้าใจผิดเลยเนี่ย”

 

 

“เหอะๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วมองเขาอย่างเยือกเย็นจนฉินซื่อหลานสั่นสะท้านจึงรีบหลบตา ก่อนจะหันไปปะทะเข้ากับสายตาของเหยียนเค่อ ทำให้เขารู้สึกว่าตนอยู่ไม่ไกลจากความตายแล้ว

 

 

สุดท้ายเบลล์ที่นั่งดูสถานการณ์อยู่นานก็ออกมากู้สถานการณ์ “ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า บอกลาฉันสักหน่อยได้ไหมคะ”

 

 

คำพูดนี้เหมือนจะพูดกับทุกคน แต่ความจริงเธอพูดกับเหยียนเค่อเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่

 

 

เหยียนเค่อกลับเอามือเท้าศีรษะ สายตาเอาแต่จับจ้องไปที่ขาอ่อนของตัวเอง จงใจไม่รับฟังคำพูดของเบลล์

 

 

“เพิ่งจะกี่โมงเอง อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนสิครับ” ฉินซื่อหลานก็แค่ชักชวนเป็นมารยาทอย่างที่เคยทำเป็นประจำเท่านั้น ทุกครั้งเวลาที่เหยียนเค่อไม่สนใจคนอื่นนั้น พวกเขาก็ต้องออกปากพูดแทน

 

 

เหยียนเค่อกันหมด

 

 

“ไม่ล่ะค่ะ พอดีมีเรื่องด่วน” เบลล์ลอบทอดถอนใจ เหยียนเค่อไม่สู้เอาเสียเลย มิน่าซย่าเสี่ยวมั่วถึงไม่ยอมสารภาพรัก เห็นท่าทางนิ่งเฉยปราศจากกิเลส ไร้ซึ่งความปรารถนาต่อสาวสวยของเหยียนเค่อแล้ว ก็ไม่อยากให้ซย่าเสี่ยวมั่วเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา สองคนนี้จะปล่อยให้เวลาผ่านไปแบบนี้ชาติหนึ่งเลยหรืออย่างไรนะ

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วก็เอ่ยปากรั้งไว้เช่นกัน “ทานข้าวด้วยกันก่อนเถอะค่ะ ไม่นานหรอก ไม่ทำให้เสียการเสียงานแน่นอนค่ะ”

 

 

“นัดคนทานข้าวไว้แล้วน่ะค่ะ ไม่อยากกินข้าวก่อนแล้วค่อยเข้าไป” เบลล์ปฏิเสธอีกครั้งแล้วใช้ศอกกระทุ้งเหยียนเค่อที่นั่งอยู่ข้างๆ

 

 

เหยียนเค่อขยับแขนออกจากที่วางแขนของโซฟาก่อนที่เธอจะโดนตัวแล้วขมวดคิ้วมองเธอ เขารู้จุดประสงค์ของเธอแต่พูดออกไปโต้งๆ ไม่ได้ จึงตอบอย่างกระชับเรียบง่าย “โบกรถไป เบิกได้ที่บริษัท”

 

 

เบลล์วางแขนลงอย่างเอือมระอา เจอผู้ชายแบบนี้แล้วช่างน่ากระอักกระอ่วนเสียจริง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 374 ไม่อยากทำแบบขอไปที

 

 

ฉินซื่อหลานเองก็จนปัญญาเช่นกัน จึงเข้าไปกู้สถานการณ์แทนเหยียนเค่อ “งั้นเดี๋ยวผมไปส่งแล้วกันนะครับ”

 

 

“ขอบคุณค่ะ” เบลล์โบกปัด “ฉันโบกรถไปเองดีกว่า” เพราะว่าต้องไปคอนโดของเหยียนเฟิง ถ้า

 

 

เหยียนเค่อไปส่งเธอก็คงไม่เป็นอะไร แต่ให้คนอื่นไปส่งแล้วมันรู้สึกแปลกๆ

 

 

หลังจากที่เบลล์กลับไปแล้ว เสี่ยวฝูเอ๋อร์ก็รำพึงรำพันกับซย่าเสี่ยวมั่ว “นี่มันคือการไม่ยอมทำอะไรแบบขอไปทีในตำนานหรือเปล่า ขนาดฉินซื่อหลานที่หล่อขนาดนี้ไปส่งยังไม่หวั่นไหวเลย”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะพยักหน้า เหยียนเค่อที่นั่งดื่มน้ำร้อนอยู่บนโซฟาก็เอ่ยเสียงเรียบ “เขาจะไปบ้านแฟนน่ะ”

 

 

“หา?” เสี่ยวฝูเอ๋อร์นิ่งอึ้งไป “สาวน้อยคนนั้น…” ไม่ได้สนใจในตัวพี่เหยียนหรอกเหรอ

 

 

“อย่าเรียกว่า ‘สาวน้อย’ เลย เขาอายุมากกว่าฉันเสียอีก” เหยียนเค่อนั่งดื่มน้ำอย่างสบายอารมณ์ เขาทำอะไรไม่เคยต้องมานั่งอธิบาย แต่เห็นซย่าเสี่ยวมั่วแล้วก็นึกอยากจะแก้ไขความเข้าใจผิดของตัวเองและเรื่องพวกนี้

 

 

“อ๋อ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์พยักหน้า “ดูไม่ออกเลยค่ะ”

 

 

“ซย่าเสี่ยวมั่วแต่งหน้าแล้วยังดูเด็กกว่าเขาซะอีก” ฉินซื่อหลานยักคิ้วให้ซย่าเสี่ยวมั่ว

 

 

“นายตาบอดหรือไง” ซย่าเสี่ยวมั่วตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้า

 

 

เขาชมแต่เธอดันมาด่าเขาเนี่ยนะ ฉินซื่อหลานรู้สึกเจ็บปวด “ฉันชมเธออยู่นะ เธอยังจะทำแบบนี้กับฉันอีก”

 

 

เหยียนเค่อปรายตามองเขา เขาสนิทกับซย่าเสี่ยวมั่วหรือไง

 

 

ฉินซื่อหลานรีบสำรวมท่าที การแสดงออกถึงความสัมพันธ์ของตนกับซย่าเสี่ยวมั่วจะโดน

 

 

เหยียนเค่อฆ่าตายเอาได้

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วลืมไปแล้วว่าบนร่างของตนมีเสื้อคลุมกันลมของเหยียนเค่อห่อเอาไว้อยู่ จึงกลิ้งขึ้นเตียงทันทีโดยมีเสี่ยวฝูเอ๋อร์คอยช่วยเหลือ เธอห่อตัวเข้ากับเสื้อคลุมอีกครั้งก่อนจะคลุมทับด้วยผ้าห่มอีกที

 

 

เหยียนเค่อ ‘ไม่กลัวสกปรกเลยหรือไง’

 

 

ฉินซื่อหลาน ‘เหยียนเค่อคงไม่เอาเสื้อผ้าตัวนี้คืนแล้วมั้ง’

 

 

เสี่ยวฝูเอ๋อร์กำลังจะพูดว่า ‘พี่ซักเสื้อผ้าของพี่เหยียนพังไปสองชุดแล้ว อย่าทำร้ายเสื้อผ้าพี่เขาอีกเลย’ แต่เห็นชายสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ มองมาทางนี้ด้วยสีหน้ายากจะคาดเดาโดยไม่ปริปากพูดอะไร เธอจึงต้องกลืนคำพูดนั้นลงไปเงียบๆ

 

 

เจ้าของเสื้อยังไม่ว่าอะไรเลยสักคำ เธอก็ควรจะอยู่เงียบๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรแล้วกัน

 

 

“ที่ไหนก็ไม่สู้ในผ้าห่ม” ซย่าเสี่ยวมั่วถอนหายใจอย่างสบายใจ นอนพิงหมอนด้านหลังแล้วหลับตาพริ้มเตรียมงีบหลับ

 

 

เหยียนเค่อไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงแล้ว เขาเบนสายตากลับมาแล้วนอนหลับไปบนโซฟาเช่นกัน

 

 

ฉินซื่อหลานมองทางนี้ทีทางนั้นที ก่อนจะทำมือให้เสี่ยวฝูเอ๋อร์ ทั้งสองคนได้แต่นั่งจ้องตากันเงียบๆ อยู่ตรงนั้น

 

 

ถึงซย่าเสี่ยวมั่วบอกว่าจะงีบหลับ แต่ความจริงก็หลับลึกอยู่พอสมควร สุดท้ายก็ตื่นขึ้นมาเพราะความหิว

 

 

“ฉันหิวจังเลยอะ” เมื่อเธอตื่นแล้วก็รู้สึกว่ากระเพาะและลำไส้กำลังขยับ

 

 

เสี่ยวฝูเอ๋อร์นั่งรอเธอตื่นจนตัวเองแทบจะหลับอยู่รอมร่อแล้ว เมื่อได้ยินเสียงจึงหยิบข้าวแล้วเดินเข้าไปหา “ทำไมพี่นอนเก่งจัง”

 

 

“บอกว่าจะออกไปกินข้างนอกไม่ใช่เหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วยังมึนงงอยู่

 

 

“ตอนนี้สามทุ่มแล้วค่ะ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์ยื่นโทรศัพท์ให้เธอแล้วเอ่ยเตือน

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วสองมือแนบแก้ว เอ่ยอย่างประหลาดใจ “ดึกขนาดนั้นเลย!”

 

 

ในห้องพักผู้ป่วยมีเสี่ยวฝูเอ๋อร์เพียงคนเดียว ฉินซื่อหลานกับเหยียนเค่อต่างก็ไม่อยู่แล้ว เสี่ยวฝูเอ๋อร์เห็นว่าเธอมองออกไปข้างนอกจึงอธิบาย “พี่เหยียนกินข้าวเสร็จก็กลับไปแล้วค่ะ ส่วนคืนนี้ฉินซื่อหลานกลับไปนอนที่บ้าน ทิ้งฉันไว้กับพี่เนี่ยแหละ”

 

 

“ดูพูดเข้าซิ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนฉินซื่อหลานไปนอนกับเหยียนเค่ออย่างนั้นแหละ” ซย่าเสี่ยวมั่วยิ้มกรุ้มกริ่ม

 

 

“อ้อ จริงสิ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์นึกถึงคำสั่งที่ได้รับมาก่อนที่เหยียนเค่อจะกลับไป “พี่เหยียนให้ฉันบอกพี่ว่า ถ้าเสื้อตัวนี้ต้องสละชีวิตอย่างสมเกียรติอีกละก็ เธอก็เอาตัวเองไปแช่ในกะละมังซะเถอะ”

 

 

“หืม?” ซย่าเสี่ยวมั่วที่หยิบตะเกียบกำลังจะกินข้าวชะงักไป เนิ่นนานกว่าจะดึงสติกลับมาได้ เธอมองเสื้อคลุมกันลมที่เริ่มมีรอยยับประปราย ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกเหมือนเดจาวู ราวกับฟ้าจะเอาชีวิตเธออย่างไรอย่างนั้น