บทที่ 148
การแกล้งทำเป็นแฟนกัน
“ขอบคุณมากนะคะอาจารย์ คืออาจารย์จำรูปที่เป็นข่าวลือตอนที่หนูยังเรียนอยู่ได้ไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยดีใจมากที่อาจารย์ฮวงเป็นอาจารย์ของเธอในโรงเรียนมัธยม เขาเป็นอาจารย์ที่เธอคิดว่าน่าเคารพมากที่สุด ทุกครั้งที่เธอมีเรื่องอะไร อาจารย์ฮวงจะพยายามเข้ามาช่วยเธอเสมอ ถึงแม้บางครั้งมันจะไม่เกี่ยวกับหน้าที่อาจารย์เลยด้วยซ้ำ
“นั่นมันนานมาแล้วไม่ใช่เหรอ?” ทำไมอยู่ดีๆเธอก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา? เขาจะจำเรื่องนี้ไม่ได้ยังไง? พูดตามตรงนักเรียนทุกคนในโรงเรียนต่างก็จำเรื่องนี้ได้
มู่หรงเสวี่ยเงียบไปสักพัก “ตอนนี้หนูเรียนที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ที่เมืองหลวง หนูไม่รู้ว่าทำไมคนถึงเอาเรื่องนี้กลับมาลือกันอีก หนูอยากที่จะขออาจารย์ช่วยหนูหน่อยในเมื่อตอนอยู่ที่โรงเรียนหนูได้พิสูจน์ตัวเองไปแล้วว่าหนูบริสุทธิ์”
คุณฮวงประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องนี้เลย นี่มันตั้งแต่ตอนที่เธอเรียนมัธยมปลาย เธอต้องมาเจอเรื่องแบบเดิมอีก บางทีเด็กคนนี้อาจจะยอดเยี่ยมมากจนเป็นเรื่องง่ายมากที่คนอื่นจะเกลียดเธอ ตอนนี้นักเรียนในโรงเรียนต่างก็ชื่นชมเธอ เขายังจำได้ว่ามีนักเรียนหลายคนหลั่งน้ำตาในวันที่มู่หรงเสวี่ยทำแบบทดสอบเสร็จ
การช่วยไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรแค่ขอให้นักเรียนในโรงเรียนช่วยยืนยันและถ่ายคลิปวิดีโอ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องห่วงนะ เรื่องนี้ครูช่วยได้ พรุ่งนี้ครูจะส่งกลับไปให้นะ” เพราะยังมีหลายอย่างที่ต้องเตรียมและคงต้องใช้เวลาสักวันเพื่อเตรียมให้พร้อม
“ขอบคุณนะคะอาจารย์ หนูไม่รู้จะขอบคุณอาจารย์ยังไงเลย” ในโลกนี้มีคนดีมากมายเลยใช่ไหม?! อย่างน้อยตั้งแต่ที่เธอได้กลับมาเกิดใหม่เธอก็ได้พบกับคนดีๆมากมายที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น
“ถ้าเธออยากที่จะขอบคุณครูจริงๆ เธอก็กลับมาเยี่ยมที่โรงเรียนบ้างนะ พวกนักเรียนในโรงเรียนคิดถึงเธอกันมากเลย…” เขาไม่ได้โกหก ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะออกไปแล้วแต่ชื่อของ มู่หรงเสวี่ยก็ยังดังอยู่ในโรงเรียน
มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้ม “โอเคค่ะ ช่วงวันหยุดหนูจะกลับไปนะคะ”
ถ้าเป็นแบบนี้เรื่องข่าวลือที่โรงเรียนก็จบไปแล้ว งั้นก็เหลืออย่างเดียวคือขอให้พี่ชูช่วยแกล้งเป็นแฟนกับเธอ ถ้าเป็นแบบนี้ปัญหาเรื่องที่เธอจะเข้ามาในสหภาพนักศึกษาเพื่อใช้อำนาจในทางที่ผิดและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวเรื่องประธานนักศึกษาก็จะตกไปด้วยเหมือนกัน
เธอโทรนัดกับพี่ชู แน่นอนเป็นที่วิลล่าของเธอเพราะพี่ชูบอกว่าชอบอาหารที่เธอทำ เธอจึงไม่ได้ชวนเขาไปที่ร้านอาหารข้างนอก และเธอก็ไม่ชอบที่จะกินอาหารข้างนอกด้วยและอาหารที่มาจากมิติลับก็อร่อยกว่ามาก
ไม่นานพี่ชูก็มาถึง มู่หรงเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ชู กินข้าวก่อนไหมคะ?”
ชูอี้เสิ่นยิ้ม ช่วงนี้เสี่ยวเสวี่ยเริ่มที่จะเข้าใกล้เขามากขึ้น เขาคิดว่าบางทีความฝันเขาอาจจะเป็นจริงได้ “โอเค ฉันจะไปล้างมือก่อน…”
“ได้ค่ะ” มู่หรงเสวี่ยพูดในระหว่างที่ยกอาหารออกมา
ชูอี้เสิ่นที่อยู่ในห้องน้ำตบตัวเองเบาๆที่หน้าอก เขามองหน้าตัวเองในกระจก รอยยิ้มที่มุมปากถึงกับซ่อนไม่มิด ตอนนี้บทสนทนาระหว่างพวกเขาเหมือนกับบทสนทนาทั่วไปของสามีภรรยาเลย เขามีความสุขมาก
บอดี้การ์ดที่เหลือยังคงอยู่ข้างนอกเพราะเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของมู่หรงเสวี่ยและอีกเหตุผลคือเขาอยากที่จะรู้การเคลื่อนไหวของเสี่ยวเสวี่ย มันเป็นความเห็นแก่ตัวชัดๆและปิดบังความปรารถนาของเขาไว้ไม่ได้อีกแล้ว
แต่เขาไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวเสวี่ย?! เขามีความสุขมากที่จะได้เป็นคนแรกที่เสี่ยวเสวี่ยจะนึกถึงเวลาที่มีเรื่องให้ช่วยทุกครั้ง
เมื่อชูอี้เสิ่นเดินออกมาจากห้องน้ำ มู่หรงเสวี่ยก็วางอาหารและซุปเรียบร้อยแล้ว “พี่ชู นั่งกินข้าวกันเถอะ”
“โอเค เสี่ยวเสวี่ยไม่เหนื่อยเหรอที่ต้องทำอาหารทุกวัน? ให้ฉันจ้างแม่ครัวมาให้ดีไหม? ยังไงซะก็ใช้วัตถุดิบเดียวกันมันก็น่าจะอร่อย” หลักๆก็เพราะเขาคิดว่าเสี่ยวเสวี่ยจะเหนื่อยเกินไปที่จะต้องไปเรียนและบริหารบริษัทด้วย มันก็น่าจะดีถ้าจะมีใครมาคอยช่วยทำอาหารให้เธอ
มู่หรงสวี่ยหัวเราะ “พี่ชูไม่ชอบอาหารฝีมือฉันหรือเปล่า?”
“จะเป็นไปได้ยังไง?! แน่นอนสิฉันชอบฝีมือทำอาหารของเธอที่สุดแต่ฉันกลัวว่าเธอจะยุ่งเกินไป…”
“ฉันไม่ชอบให้มีคนอื่นอยู่ในบ้าน การทำอาหารก็ไม่เสียเวลามากหรอก…” มู่หรงเสวี่ยยังพยายามที่จะคิดหาวิธีที่จะขอให้พี่ชูแกล้งทำเป็นแฟนเธอ
ชูอี้เสิ่นคิดถึงเรื่องนี้และคิดว่ามู่หรงเสวี่ยพูดถูก ในวันธรรมดาดูเหมือนว่าเธอจะชอบให้มีแม่บ้านอยู่ในบ้าน แม้แต่ตอนที่เธออยู่ในอพาร์เมนท์เล็กๆที่จังหวัดก็ด้วยที่เธออยู่คนเดียว “ก็ได้ ว่าแต่เธอพูดทางโทรศัพท์ว่าจะขอให้ฉันช่วย มีเรื่องอะไรเหรอ?”
มู่หรงเสวี่ยพูดตะกุกตะกัก “คือ…ว่า…”
“ว่าไง?” ชูอี้เสิ่นถาม ท่าทางของมู่หรงแบบนี้ไม่ใช่อะไรที่จะได้เห็นกันบ่อยๆ ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างที่เธอกำลังอาย
มู่หรงเสวี่ยกัดฟัน สงบใจและพูดออกมา “ฉันอยากให้พี่ชูช่วยแกล้งทำเป็นแฟนฉันทีได้ไหม?”
“อะไรนะ?” แฟนงั้นเหรอ?!!!
มู่หรงเสวี่ยเมื่อเห็นว่าพี่ชูมีปฏิกิริยาอย่างมาก ก็รู้สึกว่าตัวเองอาจจะขอมากเกินไป เธอจึงรีบขอโทษ “พี่ชู มันยากไปใช่ไหม? งั้นช่างมันเถอะนะ…” มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรถ้าจะไปคุยกับพี่สามแต่เขาก็ดูไม่ค่อยจะเหมาะกับเธอเท่าไร และอีกอย่างพี่ชูก็เป็นคนที่จูบเธอในรูปด้วย และถ้าพี่ชูช่วยแกล้งเป็นแฟนกับเธอมันก็จะเหมือนกับการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไปเลย
ทันใดนั้นชูอี้เสิ่นก็ยืนขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “ไม่มีปัญหา ฉันยินดีช่วย!” แล้วเขาก็ดูเหมือนจะเริ่มรู้ตัวว่าท่าทางของตัวเองมันออกจะมากเกินไปหน่อยจึงเดินกลับมาที่เดิมอีกครั้ง หลังจากที่กระแอมอย่างกระอักกระอ่วน เขาก็แกล้งทำเป็นถามอย่างจริงจัง “ทำไมอยู่ดีๆถึงต้องให้ฉันเป็นแฟนเธอด้วย?” แกล้งเป็น สองคำที่เขาไม่ค่อยอยากจะพูดออกมาเท่าไร
“มีเรื่องเกิดขึ้นที่มหาลัยฉันเลยต้องให้พี่ชูช่วย แต่มันจะสร้างปัญหาให้พี่หรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“แล้วทำไมเธอต้องหาแฟนด้วย?! บอกฉันมาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น?! ฝั่งฉันมันไม่กระทบอะไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง”
“มู่หรงเสวี่ยเริ่มพูดถึงเรื่องรายละเอียดของกระทู้ที่มหาลัย รวมทั้งเรื่องต่างๆมากมายก่อนหน้านี้ด้วย
สายตาของชูอี้เสิ่นเริ่มแวบประกายเย็นชา เขาไม่เคยรู้เลยว่าเสี่ยวเสวี่ยต้องเจออะไรมากมายขนาดนี้ในมหาลัย ไอ้พวกนักศึกษาเลวไม่ยอมไปร่ำไปเรียนมัวแต่เอาเวลามารังแกคนในครอบครัวเขา แต่เขาก็รู้ด้วยว่าเรื่องแบบนี้ในมหาลัยจะใช้เงินหรืออำนาจในการจัดการไม่ได้
“ฉันต้องทำอะไรบ้าง?” ชูอี้เสิ่นถาม
มู่หรงเสวี่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “อันที่จริงแล้วพี่ไม่ต้องทำอะไรเลย พี่เพียงแค่แกล้งทำเป็นแฟนฉัน ทำให้คนในมหาลัยรู้ แล้วฉันจะอธิบายเรื่องความสัมพันธ์ของเราในกระทู้เองโอเคไหม? แต่มันคงไม่ง่ายที่จะอธิบายกับตระกูลชู…” มู่หรงเสวี่ยจำได้ว่าประสบการณ์ชีวิตของพี่ชูไม่เหมือนคนทั่วๆไป เดาได้ว่าแฟนสาวหรือครอบครัวเขาคงจะต้องมีคำถามมากมายแน่ๆ นี่ทำให้เธอนึกได้ว่าตัวเองหุนหันมากเกินไปและพี่ชูก็เป็นคนดีมากที่ไม่ปฏิเสธอะไรเลย
“ประกาศไปเลย ไม่เป็นไรหรอก ตระกูลชูไม่สนใจเรื่องของฉันหรอก…” ฮ่าฮ่า! เขาจะรังเกียจได้ยังไงในเมื่อเขาเองที่อยากจะประกาศให้โลกรู้อยู่แล้ว?!
“พี่ชู ฉันมาคิดดูแล้วฉันว่าช่างมันดีกว่า นี่เป็นเพราะฉันไม่คิดให้รอบคอบเอง…” ถึงแม้จะมีปัญหาแต่พี่ชูก็คงไม่พูดออกมาหรอก ยิ่งเธอคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร เธอก็ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นเท่านั้น
ชูอี้เสิ่นนิ่งไป นี่มันสายไปแล้วจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นได้ยังไง?! “มีเรื่องอะไรเหรอเสี่ยวเสวี่ย นี่หน้าตาฉันดูเหมือนคนที่มีปัญหาหรือไงและถ้าฉันไม่แกล้งเป็นแฟนเธอ ฉันคิดว่าเรื่องที่มหาลัยมีแต่จะยิ่งบานปลายนะ…”
“เรื่องที่มหาลัยเดี๋ยวฉันหาทางอื่นเอง…”
ยังไงเธอก็ยังอยากที่จะล้มเลิกเรื่องความคิดนี้อยู่ดีแต่เขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสที่พระเจ้ามอบมาให้เด็ดขาด ไม่งั้นเขาคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต “ไม่ ฉันตกลงเรื่องนั้นไปแล้ว ถ้าเธอลังเลก็ไม่ต้องมานับฉันเป็นเพื่อน”
“พี่ชู…โอเคค่ะ! แต่ถ้าพี่มีปัญหาอะไร ต้องบอกฉันเลยนะ อย่างน้อยฉันจะได้ช่วยแก้ไขได้ ฉันโอเคที่จะไปอธิบายเรื่องนี้กับตระกูลชู…ยังไงซะฉันก็เป็นคนเอาปัญหามาให้พี่…” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าพร้อมทั้งพูดออกมา
“ถ้าเป็นแบบนั้น ทุกวันฉันจะไปรับเธอที่มหาลัยนะ” ชูอี้เสิ่นเริ่มที่จะนึกภาพชีวิตในอนาคตที่มีความสุขของพวกเขาทั้งคู่และโยนคำว่า “แกล้ง” ทิ้งไปในทะเลลึก
“หา?! ไม่ต้อง นั่นมันรบกวนเกินไป…” พวกเขาแค่แกล้งไม่ได้จำเป็นที่จะต้องทำจริง
อย่างไรก็ตามชูอี้เสิ่นพูดอย่างเคร่งขรึม “ถ้าเราไม่ทำแบบนี้แล้วคนอื่นจะเชื่อได้ยังไงว่าเราเป็นแฟนกัน…”
“แต่เราไม่ใช่แฟนกันจริงๆ นี่จะเป็นการรบกวนพี่ชูมากเกินไป” มู่หรงเสวี่ยส่ายหน้า
“แต่เราต้องทำให้คนอื่นคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง พอแล้ว รีบกินเข้าไม่งั้นอาหารจะเย็นซะหมด”
โดยไม่คาดคิดคนทั้งสองนั่งคุยกันอยู่นานจนไม่ได้แตะอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะเลย โชคดีที่อากาศค่อนข้างอุ่นอาหารเลยยังไม่เย็นเท่าไร
สำหรับชูอี้เสิ่น วันนี้เป็นวันที่เขามีความสุขที่สุดอย่างไม่ต้องคิดเลย แม้แต่หลังจากที่เขาเดินออกมาจากวิลล่าของ มู่หรงเสวี่ยก็ยังอดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงและหัวเราะกิกกักอยู่คนเดียวด้วยซ้ำ โชคดีที่เขาไม่ได้อยู่ที่บริษัท ไม่งั้นเขาคงทำให้พนักงานในบริษัทรู้สึกกลัวแน่ๆ
เช้าวันต่อมา คุณฮวงก็ติดต่อมู่หรงเสวี่ยมาพร้อมทั้งส่งวิดีโอมาให้เธอในเมล์บ็อกด้วย
มู่หรงเสวี่ยกล่าวขอบคุณ คุณฮวงซ้ำไปซ้ำมาและคิดอยู่ในใจว่าวันหยุดครั้งหน้าเธอจะต้องหาของไปตอบแทนคุณฮวงซะหน่อยแล้ว
มู่หรงเสวี่ยเปิดวิดีโอ หลังจากที่นั่งดูอยู่นานเธอก็อดไม่ได้ที่จะมีน้ำตาเอ่อล้นอยู่ที่หางตา เธอไม่คิดเลยจริงๆว่าอาจารย์และนักเรียนที่โรงเรียนจะดีกับเธอมากขนาดนี้ เธอรู้สึกตื้นตันไปกับรอยยิ้มและคำพูดอบอุ่นจากในคลิปวิดีโอจริงๆ