บทที่ 149 การฝึกทหารใหม่

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 149
การฝึกทหารใหม่

วันต่อมา กระทู้เรื่องความจริงข่าวลือของมู่หรงเสวี่ยถูกแพร่กระจายไปทั่วมหาลัย

ที่ด้านบนเป็นรูปจริงของทั้งสามภาพและยังมีวิดีโอข้อความจากเหล่าอาจารย์และนักเรียนที่จังหวัด A อยู่ด้านล่างด้วย

เริ่มแรกเลยจะเป็นการพูดของเหล่าอาจารย์ของโรงเรียนมัธยมในจังหวัด A และมีเหล่านักเรียนที่ถือป้ายเขียนว่า :พวกเรารักมู่หรงเสวี่ย! มู่หรงเสวี่ยเป็นเทพีของพวกเรา!

“มู่หรงเสวี่ยเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยมมากๆ ครูดีใจมากๆที่ได้สอนนักเรียนแบบนี้”

“เธอเป็นความภาคภูมิใจของจังหวัด A และเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราเหล่าอาจารย์ทุกคน”

“มู่หรงเสวี่ยเป็นดาวเด่นของจังหวัด A ด้วยรูปร่างและสติปัญหาที่เป็นเลิศ”

“ฉันอาจารย์ฮวง เป็นครูประจำชั้นของมู่หรงเสวี่ย ฉันขอยืนยันได้เลยว่ารูปเหล่านั้นของมู่หรงเสวี่ยเป็นการกลั่นแกล้งกัน นักเรียนของฉันเป็นเด็กดีมาก ฉันหวังว่าพวกเธอทุกคนในมหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งเมืองหลวงจะปฏิบัติกับคนของเราอย่างให้เกียรติ ขอบคุณมาก!”

“…”
แล้วที่ด้านล่างของโพสต์ก็ยังมีคะแนนผลการเรียนของทุกวิชาของมู่หรงเสวี่ยที่ได้เต็มทุกวิชาอยู่ด้วย สุดท้ายในประกาศบอกว่ามู่หรงเสวี่ยและชูอี้เสิ่นเป็นเพื่อนกัน กรุณาอย่าพูดว่า มู่หรงเสวี่ยเข้าไปที่สหภาพนักศึกษาเพื่อที่จะตามจีบประธานนักศึกษาหลิวฮัวลี่และอื่นๆอีก

ตลอดวันนี้ทั้งวันทั้งมหาลัยต่างก็วุ่นวายไปหมด ทุกอย่างที่อัปโหลดขึ้นมาต่างก็เป็นหลักฐานที่หนักแน่น โดยเฉพาะภาพวิดีโอซึ่งนักเรียนทุกคนดูจะรักมู่หรงเสวี่ยและต่างก็พูดถึงในด้านดี ทำให้ใครก็ไม่รู้ที่เป็นคนปล่อยเรื่องโกหกของมู่หรงเสวี่ยว่าใช้อำนาจในทางที่ผิดต่างก็ถูกด่ายับไปเลย

ในวันนั้นตอนที่มู่หรงเสวี่ยกำลังเดินอยู่ที่ถนนก็มีนักศึกษา 2-3 คนที่รีบวิ่งเขามาและเอ่ยขอโทษเธอ เห็นได้ชัดว่าเรื่องมันจบไปแล้วแต่เพราะเหตุการณ์นี้ชื่อเสียงของมู่หรงเสวี่ยเลยยิ่งดังขึ้นไปอีกและเพราะคำพูดของอาจารย์ฮวงที่บอกว่ากรุณาปฏิบัติกับคนของเราด้วยความให้เกียรติด้วย ประโยคนี้กลายเป็นประโยคติดปากของเหล่านักศึกษา มีนักศึกษาหลายคนที่กลายมาภักดีกับมู่หรงเสวี่ยเพราะพวกเขาเขียนในกระทู้ไปเยอะ

ภาพลักษณ์ของมู่หรงเสวี่ยในสายตาของทุกคนค่อยๆดีขึ้นอย่างช้าๆ เธอได้รับการโหวตให้เป็นดอกไม้งามแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์อย่างเป็นเอกฉันท์ ความสวย, ความฉลาดและนิสัยของเธอเป็นภาพลักษณ์ของเทพีในสายตาของนักศึกษาหนุ่มๆไปแล้ว
หลงเหมยจิ่งมองไปที่มู่หรงเสวี่ยที่ยังเปล่งประกายอยู่ไกลๆ เธอมีใบหน้าที่บอบบางและท่าทางสบายๆ เธอยิ้มให้เหล่านักศึกษาที่เข้ามาขอโทษ ความสวยนี้ทำให้เธอต้องอิจฉา เธอไม่คิดเลยว่าตัวเองจะถูกตอบโต้ เธอคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ เธอคิดว่าจะทำให้มู่หรงเสวี่ยถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ได้และกลายเป็นว่ากลับยิ่งเพิ่มคะแนนให้เธอซะงั้น แล้วเธอยังบอกอีกด้วยว่าชูอี้เสิ่นเป็นแฟนของเธอ มันจะเป็นไปได้ยังไง?! ชูอี้เสิ่นคือคนที่แม้แต่ครอบครัวของเธอเองก็ยังอยากที่จะได้ เธอเคยเจอเขาครั้งหนึ่งในงานปาร์ตี้ ผู้ชายที่ดีพร้อมขนาดนั้นจะมาชอบเด็กสาวแบบนี้ได้ยังไง

แต่ในรูปชูอี้เสิ่นจูบเธอที่หน้าผากซึ่งอย่างน้อยก็ช่วยพิสูจน์ได้ถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันของคนทั้งสอง อย่างไรก็ตามถ้าพวกเขาเป็นแฟนกันจริงๆ แล้วทำไมถึงไม่เคยเห็นข่าวว่าชูอี้เสิ่นมีแฟนในเมืองหลวงเลย อาจจะเป็นมู่หรงเสวี่ยแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อที่จะกำจัดโพสต์ก็ได้ บางทีเธออาจจะเป็นแค่หนึ่งในผู้หญิงที่ชูอี้เสิ่นแค่เล่นๆด้วยก็ได้

หลงเหมยจิ่งกัดฟันแน่นด้วยความเกลียด
หลังจากนั้นสักพักก็มีกระทู้ใหม่ “เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าที่ว่าคุณชายชูและมู่หรงเสวี่ยเป็นแฟนกัน?” และไม่นานก็มีโพสต์อีกมากมายตามมาแต่คราวนี้ไม่มีใครสงสัยในตัวมู่หรงเสวี่ยอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนที่โพสต์ต์ครั้งนี้เป็นคนสุดท้าย ก็น่าจะบอกได้ว่าเธอก็แค่อิจฉามู่หรงเสวี่ยเท่านั้น

ในตอนบ่าย ทุกสายตาก็จ้องไปที่รถสปอร์ตสีแดงที่มาจอดที่หน้าประตูของมหาวิทยาลัยการแพทย์ซึ่งดึงดูดสายตาของเหล่านักศึกษาได้เป็นจำนวนมาก

จนกระทั่งมู่หรงเสวี่ยค่อยๆเดินไปที่ประตู ชูอี้เสิ่นลงมาจากรถในมือถือกุหลาบช่อใหญ่พร้อมทั้งเดินตรงเข้ามา “เสี่ยวเสวี่ย นี่สำหรับเธอ ฉันมารับเธอกลับบ้านนะ!”

ใบหน้าที่หล่อเหลาและท่าทางดูดีของชูอี้เสิ่นทำให้บรรดาสาวๆและหนุ่มๆที่อยู่รายล้อมถึงกับกรี๊ดออกมา มู่หรงเสวี่ยรับดอกไม้มาถือและกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูเขา “พี่ชู พี่ทำเวอร์เกินไปแล้วนะคะ”

ชูอี้เสิ่นจับไหล่เธอและกระซิบตอบ “ก็เราเป็นแฟนกันไม่ใช่หรือไง?”

แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าในสายตาของคนอื่นท่าทางนี้ช่างเต็มไปด้วยความรักจริงๆ!!!

สุดท้ายก่อนที่จะขึ้นรถไป ชูอี้เสิ่นก็เผยรอยยิ้มและหันไปพูดกับฝูงชนที่มองอยู่อย่างตื่นเต้น “ฉันขอประกาศเลยนะว่า มู่หรงเสวี่ยกับฉันเป็นคู่รักกัน พวกเธอไม่ควรที่จะรังแกเธอแค่เพราะเธอเป็นเด็กใหม่ ขอบคุณที่ใจดีกับแฟนของฉันในมหาลัยนี้ด้วยนะ” แล้วทั้งสองก็ออกไป

กระทู้เรื่องความสงสัยในความรักของมู่หรงกับชูอี้เสิ่นก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ราวกับถูกตบเข้าที่หน้าอย่างจัง ทันใดนั้นกระทู้ก็จมหายไปในทันที

หลังจากนั้นก็มีบางคนโพสต์ลงในกระทู้ว่า: พวกเราจะใจดีกับมู่หรง! ไม่ต้องห่วงนะ!
โพสต์นี้กลายเป็นกระทู้บนสุด ที่ตามมาก็เป็นโพสต์จากเหล่าบรรดานักศึกษาการแพทย์มากมายที่ว่า: เทพี พวกเราจะปกป้องเธอเอง!

แม้แต่มู่หรงเสวี่ยเองก็ไม่คิดว่าผลมันจะออกมาดีขนาดนี้ ไม่นานสุดท้ายเรื่องพวกนี้ก็คลี่คลาย น่าเสียดายที่เธอหาไม่เจอว่าใครเป็นคนที่เล็งเป้าเธอ เธอเข้าไปที่สหภาพนักศึกษาเพื่อเช็กที่อยู่ IP เธอพบว่ากระทู้ถูกโพสต์โดยคอมพิวเตอร์สาธารณะนอกสหภาพนักศึกษา จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัว เธอไม่ชอบความรู้สึกของการถูกคุกคามจากในที่มืดเลยแต่ตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้ก็มีเพียงแค่ปล่อยมันไป

เธอหันหัวไปมองที่พี่ชูที่ดูเหมือนจะกำลังอารมณ์ดี เธอพูดออกมาเสียงเบา “ขอบคุณนะคะพี่ชู…”

“ขอบคุณเรื่องอะไร?! ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องขอบคุณฉัน?! ไม่จำเป็นต้องขอบคุณกับเรื่องอะไรแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่ฉันอยากจะทำ…” แรกเริ่มก็เพื่อแกล้งให้คนอื่นเห็นแต่ก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปจนตลอดชีวิต
ที่อีกฝั่ง ชางกวนโม่ที่อยู่ในห้องทำงานท่านประธานกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาซึ่งเป็นอย่างเดียวที่ยังเหลืออยู่เพราะรอบๆตัวเขามีข้าวของกระจัดกระจายไปทั่ว

เธอเปิดตัวว่ากำลังคบกับคนอื่นอยู่ได้ยังไง?! ส่วนเขายังติดอยู่ในหลุมโคลนจนถอนตัวไม่ขึ้นอยู่เลย นอกจากนี้ยังมีอีกคนที่ในหัวใจรู้สึกไม่ค่อยจะดีเท่าไร เขานั่งอยู่ที่โซฟาและอ่านรายงานสถานการณ์ของมู่หรงเสวี่ยในช่วงนี้ที่หลงอี้พึ่งเอามาให้เขา สีหน้าของเขาเข้มขึ้นและไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไร ผ่านไปนานเมื่อหลงอี้คิดว่าตัวเองจะต้องตายแน่ๆ ฮวงฟูอี้ก็โบกมือให้เขาออกไป

พี่สาว ลืมน้องชายคนที่คอยเดินตามไปแล้วเหรอ
ที่ท้ายกระทู้ของมู่หรงเสวี่ย เป็นประกาศเรื่องวันที่ของการฝึกทหารใหม่

“ทั้งหมดนี้คือของใช้จำเป็นที่นักศึกษาจะต้องเตรียมไป มารวมกันที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยตอนบ่ายโมงเพื่อที่จะเดินทางไปพื้นที่ภูเขาของกองทัพ” อาจารย์แจ้งข่าวกับนักศึกษาใหม่บนหน้ากระดาน
ทันใดนั้นก็เกิดความวุ่นวาย แต่ก่อนจะฝึกกันในโรงเรียนทหาร ทำไมอยู่ดีๆปีนี้ถึงเปลี่ยนได้ล่ะ?!

“อาจารย์ล้อกันเล่นหรือเปล่าเนี่ย? ก็เห็นๆอยู่ว่าทุกปีเราจะฝึกกันในมหาลัย ทำไมปีนี้ต้องเปลี่ยนไปที่ภูเขาด้วยล่ะ?”

“ใช่ เราไม่ไปหรอกนะ!”
“โอ้ พระเจ้า แค่ฝึกทหารที่มหาลัยก็แย่พออยู่แล้วแต่นี่ยังต้องไปที่ภูเขาชานคาลาอีก!”

“ไม่สำคัญหรอกว่าพวกนักศึกษาจะต่อต้านกันมากแค่ไหน มันไม่มีประโยชน์หรอก นี่เป็นประกาศของทางมหาวิทยาลัย”

“อยากจะย้ายมาอยู่กองทัพฉันไหมล่ะ?” เธอไม่ได้กลัวเรื่องการฝึกทหาร เธอถอนหายใจอย่างขมขื่น การฝึกที่พวกเขาเคยเจอมามันดีกว่าการฝึกทหาร 100 เท่า เธอเพียงแค่เสียดายขนมและคงทำได้เพียงแค่ต้องขนไปเพิ่มอีก ที่รกร้างแบบกองทัพไม่มีอะไรอร่อยเลยสักอย่าง

“เดาว่าคงมีพวกลูกคุณหนูและลูกท่านหลานเธอมากมายอยู่ในกลุ่มเด็กปีหนึ่งที่มหาลัยแน่ๆ งั้นฉันจะต้องแย่แน่ๆ แถมเรายังต้องถูกโยนเข้าไปที่ภูเขาในเขตกองทัพอีกต่างหาก เดาว่าถ้าจะให้ยกเลิกการฝึกก็คงจะต้องใช้จดหมายอนุญาตจากตระกูลของเมืองหลวงเท่านั้นแหละ และก็ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่อยากให้ลูกโตขึ้นงั้นทำใจเถอะ” พี่ใหญ่เริ่มที่จะอธิบายอย่างช้าๆ

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้รู้สึกอะไรมาก ในชีวิตที่แล้วของเธอ เธอไม่เคยเข้ารับการฝึกทหารเพราะเสี่ยวเข่อลี่โน้มน้าวเธอให้ใช่เส้นสายของครอบครัวเพื่อที่จะเลี่ยงการฝึกหนักของทหาร ในชีวิตที่แล้วเธอไม่ได้มาเรียนที่เมืองหลวงแต่อยู่ที่จังหวัด A เธอตามฟางฉีฮัวมาที่เมืองหลวง พูดสั้นๆคือความประทับใจเดียวของเธอในเมืองหลวงก็มีเพียงแค่ฟางฉีฮัวเท่านั้น ที่วิลล่าของตระกูลฟางเองก็มีห้องใต้ดินด้วยเหมือนกัน ใบหน้าเจ้าเล่ห์ของฟางฉีฮัวและ หวู่เหมยลี่และแน่นอนเสี่ยวเข่อลี่ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดว่าเธอเป็นคนที่ไว้ใจได้

ตอนนี้อยู่ดีๆเธอก็ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะไปร่วมการฝึกทหารครั้งนี้ เธออยากที่จะลองชีวิตที่เธอไม่เคยเจอในชีวิตที่แล้ว
เวลาบ่ายโมง ที่ประตูของมหาวิทยาลัยการแพทย์ เด็กปีหนึ่งทั้งหมดก็มายืนรอกันที่ประตูท่ามกลางแสงแดดเปรี้ยง

ไม่นานรถบัสของมหาลัยก็มาถึง มู่หรงเสวี่ยและกลุ่มเพื่อนทั้งห้าขึ้นไปที่รถคันเดียวกัน รถบัสขับไปตลอดทางเพื่อไปที่ชานเมือง ทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างกลายเป็นแปลกตาขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็มีเพียงป่าหนาแน่นอยู่ทั้งสองข้างถนนและไม่มีตึกใดให้มองเห็นได้เลย

หลังจากที่ขับไปหลายชั่วโมง ในที่สุดพวกเธอก็มาถึงพื้นที่ที่เรียกว่าภูเขาทหาร ในเวลานี้เด็กนักศึกษาปีหนึ่งเป็นพันคนกำลังยืนกันอยู่ในพื้นที่ฝึกของเขตทหารท่ามกลางแสงแดดร้อนที่แผดเผา

เหล่าเด็กปีหนึ่งที่เพิ่งลงมาจากรถต่างก็ยังบ่นกันเรื่องระยะทางที่อยู่ห่างไกล, แสงแดดที่ร้อนแรงและผิวที่เริ่มไหม้ โดยไม่สนใจสีหน้าเข้มของครูฝึกที่เพิ่งเดินเข้ามา

“เงียบ!” คำสั่งของครูฝึกที่ดังมาจากโทรโข่ง
ตอนนี้เหล่านักศึกษาต่างก็มองไปที่ครูฝึกทหารหลายนายที่กำลังยืนอยู่บนเวทีด้วยสีหน้าเย็นชาและไร้ซึ่งอารมณ์

“ดูสิ ครูฝึกสองคนนั้นหล่อมากเลย!”
“ไหน ไหน?!!” เด็กสาวรอบๆตัวเธอต่างก็เดินเข้ามา พยายามที่จะหาว่าครูฝึกคนไหนหล่อที่สุด

“คนที่สามจากขวาสุดไง เห็นไหม โอ้พระเจ้า หล่อมากเลย”

“จริงด้วย แต่ปกติพวกครูฝึกจะต้องดำๆกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมพวกเขาไม่ดำกันเลยล่ะ”

“ขอให้พวกเขาเป็นคนสอนเราเถอะ…”
“…” แต่คำพูดของครูฝึกก็ไม่ได้ทำให้เสียงพูดคุยเงียบลงเลย กลับตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้สาวๆยิ่งพูดคุยกันมากกว่าเดิมอีก มู่หรงเสวี่ยเองก็เห็นครูฝึกคนที่สองด้วยเหมือนกัน แต่เธอไม่คิดว่าเขาหล่อขนาดนั้นก็เพียงแค่หล่อแบบทั่วๆไป

เป็นเพราะมู่หรงเสวี่ยที่เคยเห็นความหล่อราวกับเทพบุตรของฮวงฟูอี้มาแล้วจึงมีมาตรฐานที่สูงกว่าปกติเป็นเรื่องธรรมดา

เมื่อครูฝึกเห็นว่าทุกคนไม่ทำตามคำสั่งจึงพูดออกมาว่า “ทุกคนเงียบ!”

ครั้งนี้ทุกคนก็เริ่มที่จะเสียงเบาลง
เมื่อครูฝึกเห็นว่าในที่สุดทุกคนก็เริ่มที่จะเงียบเสียงลงแล้วจึงพูดออกมาว่า “แม้ว่าการฝึกทหารครั้งนี้จะค่อนข้างกะทันหัน นี่จะเป็นการฝึกวินัยและความสามารถในการจัดการของทุกคน ในอาทิตย์ที่จะถึงนี้จะไม่มีใครได้รับสิทธิพิเศษ ทุกคนจะต้องอยู่ในหอพักของเขตทหาร หลังจากนั้นครูฝึกที่อยู่บนเวทีจะรับผิดชอบในการนำทุกคน อาจารย์ของมหาลัยจะไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ พวกท่านจะเพียงแค่คอยช่วยกำกับดูแลและรอดูผลลัพธ์การฝึกทหารที่สวยงามเท่านั้น”

หลังจากนั้นครูฝึกก็ก้าวลงมาจากเวทีและจัดแบ่งชั้นสำหรับเด็กปีหนึ่งที่อยู่ด้านล่าง ถึงแม้พวกเขาจะต่างก็เป็นเด็กปีหนึ่งและอยู่ชั้นเดียวกันแต่พวกเขากลับไม่คุ้นเคยกันเลย นักศึกษาที่ถูกแบ่งกลุ่มต่างก็ไม่ได้อยู่ในชั้นเดียวกัน โดยพื้นฐานแล้วนักศึกษาจากหลายชั้นจะถูกจับมาอยู่รวมกัน

โชคดีที่มู่หรงเสวี่ยและเพื่อนทั้งห้าได้อยู่ในชั้นและทีมเดียวกัน มู่หรงเสวี่ยเห็นว่าสีหน้าของพี่สี่ซีดลงอย่างมากตอนที่เธอได้เห็นครูฝึก อย่างไรก็ตามเธอคิดว่าเป็นเพราะเมื่อกี้เธอพักผ่อนไม่เพียงพอ

“เป็นอะไรเหรอพี่สี่?” มู่หรงเสวี่ยถามเสียงเบา
พี่สี่ส่ายหน้าและกัดริมฝีปาก ถัดมาคือพี่สามที่นั่งครุ่นคิดอยู่ มู่หรงเสวี่ยเองก็อยากที่จะถามด้วยเหมือนกันแต่เขาแตะที่มือของเธอเพื่อบ่งบอกว่าอย่าเพิ่งถาม

ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะรู้สึกสับสน แต่ก็หยุดที่จะถาม ในเมื่อพี่สามบอกเธอว่าอย่าเพิ่งถาม งั้นเขาก็คงจะมีเหตุผลและเธอก็ไม่อยากที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ช่างกันเถอะเดี๋ยวเธอค่อยถามหลังจากที่ประชุมเสร็จแล้ว เธอค่อนข้างเป็นห่วงเพราะสีหน้าเธอดูแย่มากๆ นอกจากมู่หรงเสวี่ยแล้วก็ยังมีอีกสี่คนที่เป็นห่วงด้วยเหมือนกัน แต่ไม่มีใครถามเลยเพราะพวกเขารู้ว่าทำไมพี่สี่ถึงเป็นแบบนี้ นี่เป็นความเจ็บปวดแสนนานที่อยู่ในใจของเธอ
ครูฝึกหน้าตาดีบางคนก็ถูกจัดให้มาอยู่ในกลุ่มของพวกเธอ เขามองเหล่านักศึกษาที่อยู่ด้านล่างด้วยสายตาเย็นชาและไม่รู้ว่ามู่หรงเสวี่ยคิดไปเองหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าครูฝึกมองพี่สี่อยู่นานกว่าปกติแต่ท่าทางของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร

ครูฝึกคนนี้พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ในอีกอาทิตย์ข้างหน้า ฉันจะฝึกพวกเธอ ฉันชื่อโม่จุนชาง ต่อไปพวกเธอเรียกฉันว่าคุณโม่ก็ได้ ทีนี้เรียงแถวแล้วเดินไปข้างหน้าเพื่อรับชุดเครื่องแบบและกลับมาที่นี่”

มู่หรงเสวี่ยเห็นได้ชัดว่าร่างกายของพี่สี่สั่นเทิ้ม พี่สี่รู้จักครูฝึกโม่คนนี้หรือเปล่า แต่นามสกุลของเขาคือโม่ เธอไม่รู้ว่าเขาเกี่ยวอะไรกับพี่โม่หรือเปล่านะ?!!!

มู่หรงรู้สึกสงสัยอย่างมากแต่ก็เดินตามทีมไปเพื่อรับชุดเครื่องแบบ

นักศึกษาทุกคนเดินไปรับชุดและกลับมาที่สนามฝึกเหมือนเดิม แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกขี้เกียจและนักศึกษาหลายคนต่างก็พูดคุยและหัวเราะกันอยู่
มู่หรงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของครูฝึกโม่เริ่มที่จะเข้มขึ้นเรื่อยๆและเขาก็พูดออกมาด้วยเสียงเย็นชา “ทุกคนเงียบ!” เสียงดังและชัดเจนมากจนไปกระทบหูของเหล่านักศึกษาที่อยู่ด้านล่างและทันใดนั้นทุกคนก็เงียบกริบ

ครูฝึกโม่ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าอะไร เขายังพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “นี่เป็นกองทัพ ตั้งแต่วินาทีที่พวกเธอสวมชุดทหาร พวกเธอก็เป็นทหารเกณฑ์ใหม่ ฉันจะฝึกพวกเธอตามความต้องการของกองทัพ นอกจากนี้ในสายตาของฉันระหว่างผู้หญิงและผู้ชายไม่มีความแตกต่างกัน ผู้หญิงและผู้ชายเท่าเทียมกัน!!! ถ้าพวกเธอฝ่าฝืนระเบียบวินัย ทั้งชายและหญิงจะต้องถูกลงโทษ! เข้าใจฉันไหม?”