บทที่ 350 หน้าแตกไปหมดแล้วไหมเนี่ย

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

การลงมือเดินหน้าของแก๊งS.P.Lนั้นก็เป็นไปตามที่เย่เทียนคาด แต่ก็แปลกใจไม่เบาเช่นกัน

ถึงอย่างไร เขาก็เป็นคนทำลายแผนชั่วในการแย่งยามาจากตระกูลเฉินของแก๊งS.P.L และขุดคุ้ยเจอว่าแก๊งS.P.Lเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งมังกร และเป็นหนึ่งในคนที่ฆ่าสามหัวหน้าแก๊งของพวกเขา!

นี่มันเป็นการดูแคลนมากเกินไป ถ้าเกิดแก๊งS.P.Lไม่หาเรื่องสู้อีกครั้ง จากนี้พวกเขาคงจะไม่สามารถชูคอในวงการทหารได้อีก

เย่เทียนในวันนี้แม้จะบอกว่าไม่กลัวอะไร แต่กลับไม่นึกถึงเฉินหวั่นชิงและความปลอดภัยของตระกูลเฉินไม่ได้เลย!

ใครจะรู้ว่าตอนที่แก๊งบ้านั่นหาตัวเองไม่เจอ จะไปแก้แค้นกับตระกูลเฉินแทนล่ะ?

“ดูเหมือนจะต้องรีบจบเรื่องในจ๊กกลางแล้วล่ะ!”

เย่เทียนพึมพำ แต่กลับพบว่ามีข้อความสิบกว่าข้อความที่ยังไม่อ่านปรากฏขึ้นบนโทรศัพท์

ส่วนมากเป็นสายที่ซูเหมยโทรมา แล้วก็มีข้อความจากเหลียงเหวินห้าว ฮั่วเยี่ยนจื่อและเฉินหวั่นชิงแทรกมาด้วย

ข้อความในนั้นส่วนมากก็เป็นเหมือนกัน ซูเหมยกับเฉินหวั่นชิงกำลังถามว่าเมื่อคืนไปไหน แถมยังไม่รับโทรศัพท์อีก

ข้อความของเหลียงเหวินห้าวกับฮั่วเยี่ยนจื่อนั้นทำให้น่าหงุดหงิด เหมืองหินทิพย์เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ งานประมูลเหมืองก็เลื่อนออกไป เปลี่ยนจากคืนนี้เป็นคืนพรุ่งนี้

กระนั้น เย่เทียนกลับเห็นด้วยเล็กน้อย เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่เล็กเลย บวกกับทหารที่ประจำการนั้นตายหมด การเลื่อนงานประมูลออกไปก็ไม่แปลก

แต่ทว่า ก็ยังให้เวลาว่างเขาไปพลางอีกด้วย ตอนแรกเขากังวลว่าจะไปร่วมงานประมูลคืนนี้ทันหรือเปล่าอยู่เลย

เมื่อบอกกับคนอื่นๆ แล้วว่าตัวเองปลอดภัยดี ก่อนจะกุเรื่องโกหกไปส่งๆ เย่เทียนถึงได้เดินเข้าห้องอาบน้ำ ก่อนจะรีบล้างหน้าล้างตาให้สะอาด

เมื่อเย่เทียนออกมาจากห้องอาบน้ำแล้ว ก็เป็นเวลาบ่ายสามกว่าแล้ว เลยกินโจ๊กสักชาม ก่อนจะทิ้งกระดาษไว้ แล้วก็เอาต้นวิสทีเรียสามก้านออกไปด้วย

การดูดหินทิพย์นั้นมีขีดจำกัด การฝึกด้วยอาวุธนั้นก็ยังเหลือที่ แต่ถ้าอยากจะฝึกทั้งสองอย่างมันกลับไม่เพียงพอ

ต้นวิสทีเรียนี้นอกจากใช้ในการฝึกแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก กลับมีพิษด้วยซ้ำ ทิ้งเอาไว้ให้ตี๋ต้าจื้อจัดการยังดีกว่า ยังไงก็ถือว่าเป็นการซื้อใจไม่ให้เหรอ?

เมื่อออกไปก็หาคุณตาแก่ข้างต้นไม้เพื่อถามทาง เย่เทียนก็ตรงไปที่บ้านของหยูฝาน

แม้จะบอกว่าป้าหยูดีขึ้นด้วยเพราะการรักษาของเย่เทียน แต่กระดูกก็ยังอ่อนแรงอยู่ หยูฝานกลับไม่กล้าออกมา

แน่นอน ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเมื่อเย่เทียนหายไปอย่างไม่แน่ชัด หยูฝานจะกล้าจากไปไหนได้อย่างไร

“เถ้าแก่เย่ เมื่อวานคุณไปไหนมา?ทำไมไม่บอกกันหน่อย?ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะไปแจ้งความดีไหม คุณทำให้ฉันตกใจหมดเลย!”

เมื่อเห็นเย่เทียนกลับมา หยูฝานก็รีบเข้าไปต้อนรับ ก่อนจะพูดพลางบ่นออกมา

“เมื่อวานบังเอิญได้เจอเพื่อนที่มาเก็บหินแถวนี้พอดี ฉันเห็นว่าตีหนึ่งแล้วคุณยังไม่กลับมาสักที เลยไปดูสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะพูดลากไปดื่มในเมืองน่ะ”

เย่เทียนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกุเรื่องโกหกขึ้น ตอนที่เตรียมจะบอกลา ด้านนอกก็กลับมีเสียงตะโกนดังขึ้น

“ป้าหยูฝาน!หยูฝาน!พวกคุณทั้งสองคนออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”

“เสี่ยวฝาน คุณอยู่คุยกับเถ้าแก่เย่หน่อยเถอะ เดี๋ยวแม่ออกไปดู”

ป้าหยูฝานที่ไม่พูดแทรกตั้งแต่แรกเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะรีบเดินออกไป

เพียงแต่ว่ายังไม่ทันรอให้เย่เทียนกับหยูฝานคุยอะไรกัน ก็มีเสียงโวยวายหน้าประตูบ้าน

“เถ้าแก่เย่ คุณนั่งลงก่อนเถอะ ฉันออกไปดูข้างนอกก่อน”

คนอย่างหยูฝานจะนั่งอยู่ได้อย่างไร ก่อนจะบอกเย่เทียนอย่างเร่งรีบ แล้วก็รีบเดินออกไป

ตอนแรกเย่เทียนนั้นนั่งอย่างสงบ แต่เพียงไม่นาน เสียงด่าของหยูฝานก็ดังขึ้น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

เย่เทียนงุนงงในใจ ก่อนจะนั่งไม่ติดแล้ว พลางลุกขึ้นออกจากห้องไป

ก็เห็นเพียงหน้าบ้านมีหญิงแก่ตัวอวบมายืนอัดกันที่หน้าประตู มือทั้งสองกอดอก ก่อนจะด่าสองแม่ลูกไม่หยุด

“ป้าหยูฝาน หยูฝาน พวกคุณทั้งสองคนไม่มีเมตตาเลยนะ ตอนแรกที่พวกคุณสองคนเก็บเกี่ยวได้ไม่ดี ใครเป็นคนให้ข้าวพวกคุณกัน?”

“ตอนนี้พวกคุณมีเงินแล้ว ฉันมาขอยืมเงินแค่ห้าหมื่น พวกคุณไม่ยอมให้ยืม คุณธรรมในใจมันหายไปไหนหมด?!”

ไม่เพียงแค่หญิงวัยกลางคน แต่ด้านหลังก็ยังมีชายหญิงอีกด้วย ทั้งหมดนั้นมีท่าทีโกรธไม่เบา

“นั่นสิๆ ฉันแค่จะมายืมพวกคุณสองหมื่นเอง พวกคุณไม่ยอมให้ยืมเลย ยังกล้ามาเรียกว่าญาติอีกเหรอ?!”

“มีเงินแล้วก็ไม่รู้จักญาติจนๆ อย่างพวกเราแล้วล่ะสิ?”

มีแต่คนด่ามากมาย เหมือนกับว่าถ้าไม่ให้พวกเรายืม พวกเราก็จะไม่จบเรื่องอย่างนั้นเลย

เกรงว่าขนาดคนโง่ยังดูออกเลยว่า พวกเขาไม่ได้มายืมเงิน แต่มาแย่งเงินไปต่างหากล่ะ!

ถ้าเอาเงินให้พวกเขายืมจริงๆ เกรงว่าจะไม่ได้คืนเลยน่ะสิ!

เย่เทียนเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เมื่อคืนเขาให้เงินหยูฝานเอาไว้ล้านหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่ารู้ได้อย่างไร ถึงได้มาเอาเงินอย่างในวันนี้

อันที่จริง เย่เทียนก็คิดไม่ผิด หยูฝานเป็นลูกกตัญญู หลังจากที่กลับมาแล้วก็บอกเรื่องที่ได้เงินล้านกับแม่

วันนี้ตอนเช้า คนในหมูบ้านก็รู้แล้วว่าครอบครัวนี้รวยขึ้นมา ไม่แปลกที่จะมีคนมาถามป้าหยูฝานด้วยความสงสัย

ป้าหยูฝานนั้นไม่ใช่คนที่จะเก็บซ่อนเรื่องราว เมื่อถูกถามเข้ามากๆ ก็บอกเรื่องที่หยูฝานมีเงินเป็นล้านออกมา ถึงจะหนีจากพวกเขาออกมาได้หวุดหวิด

ตอนนั้นคนในหมู่บ้านไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากอิจฉา เที่ยงนี้กลับไปเชิญกันไปกันมา ก่อนจะมาหาตามๆ กัน

อิจฉาตาร้อนกันหมดแล้ว!

เห็นท่าทีของพวกเขาที่เที่ยวธรรมนั้น หยูฝานก็โกรธจนตัวสั่น ดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะยื่นมือออกมาชี้ไปที่หญิงวัยกลางคนที่ด่าขึ้นมาก่อน แล้วก็ตะโกนออกมา

“คุณยังกล้ามาพูดเรื่องนี้อีกเหรอ!เมื่อปีนั้นเก็บเกี่ยวได้ไม่ดี ฉันยอมรับเพราะคุณให้เราได้มีข้างกิน แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”

“จบเรื่องแล้วคุณก็ฉวยโอกาสให้ฉันคืนเพิ่มอีกครึ่งหนึ่ง เห็นแก่ได้จริงๆ เลยนะ!”

หยูฝานชี้ไปที่ญาติที่อยู่หลังหญิงวัยกลางคนอีกครั้ง ก่อนจะโกรธจนมือสั่น

“ส่วนพวกคุณ อาทิตย์ก่อนแม่ฉันป่วย ฉันมายืมเงินพวกคุณทุกคน ขอร้องพวกคุณ แล้วมีใครให้ฉันยืมเงินบ้างไหม?”

“มีแต่คนบอกว่าไม่มีเงิน กลัวขนหน้าแข้งจะร่วงกันหรือไง!”

“ฉันไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่มีอารยะ แต่เรื่องเหตุผลต่างๆ ฉันก็ยังแยกได้เป็นอย่างดี!”

“เอาล่ะ ตอนนี้ฉันมีเงินแล้ว พวกคุณก็มายืมเงินพวกเรา พวกคุณลองดูจิตใจของตัวเองหน่อยเถอะ ว่าพวกคุณยังเป็นคนอยู่ไหม?”

“พวกคุณยังจะให้ไว้หน้าอยู่ไหม!”

คนกลุ่มหนึ่งที่ติดอยู่ตรงประตูเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็มีสีหน้าประหม่าเกิดขึ้นไปตามๆ กัน

ถึงอย่างไร ไม่ว่าเรื่องนี้หาเหตุผลร้อยแปดอย่างไรพวกเขาก็ทำไม่ถูกเท่าไหร่

เพียงแต่ว่า สถานการณ์แบบนี้มันอยู่ไม่นานนัก จากนั้นก็มีชายคนหนึ่งลุกพรวดขึ้นมา

“หยูฝาน คุณพูดกับพวกเราแบบนี้ได้อย่างไร?ฉันเป็นลุงคุณนะ!”

“ตอนนี้คุณมีเงินแล้ว ก็ไม่ชายตามองพวกเราแล้วใช่ไหม?แม้แต่ลุงก็ไม่รู้จักแล้วใช่หรือเปล่า?!”

ในตอนนั้น ผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า ใบหน้ายิ่งดูไม่น่าใส่ใจขนาดนั้นได้อย่างไรเนี่ย!