ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 385 บุญคุณและความแค้น

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอเหม่อมองไปไกล จมลงสู่ห้วงความคิด

ซือคงจิงมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความสงสัย ชายหนุ่มพลันดึงสติกลับมา แล้วกล่าวกับนางว่า “ต่อจากนี้ข้าจะไปยังน่านน้ำเมืองมหานที

“สนามรบที่พวกอาจารย์สู้กับราชันปีศาจอัคคี ข้าย่อมเข้าใกล้ไม่ได้ แต่ว่าข้าจะทำความเข้าใจปีศาจอัคคีตัวอื่นดู”

ชายหนุ่มมองอีกฝ่าย “เจ้าจะกลับไปบนแผ่นดิน หรือจะร่วมทางกับข้าง”

นางมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม “ถึงแม้ข้าจะมีพลังฝึกปรือต่ำต้อย แต่ข้าก็กล้าสู้กับปีศาจอัคคีระดับปรมาจารย์ดูสักตั้ง ที่ออกจากสำนักครั้งนี้ เพราะข้าอยากจะเคี่ยวกรำตัวเอง ศิษย์พี่เยี่ยนไม่ต้องห่วง”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ดี เจ้าอยากอยู่ย่อมได้ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ยิ่งทำให้เจ้าแกร่งขึ้น”

“แต่ว่าการสู้กับปีศาจอัคคีส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่ได้กระทบแค่เมืองใดเมืองหนึ่ง การเข่นฆ่าระหว่างคนหนึ่งหรือสองคนแทบจะใกล้เคียงกับสงคราม หากเจ้าไปเจอสถานการณ์เช่นนี้ ทางที่ดีอย่าทำอะไรคนเดียว มิฉะนั้นอาจจะก่อให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย ผู้อื่นโดนลูกหลงไปด้วย

“อาจารย์ลุงฟู่ ผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งทะเลตะวันออกในปัจจุบัน น่าจะเคลื่อนไหวกับพวกผู้อาวุโสม่อ เมื่อไปถึงทางเมืองมหานที ให้เจ้าทำตามที่อาจารย์ลุงฟู่บอก

“อาจารย์ลุงฟู่คิดว่าสงครามเคี่ยวกรำคนได้เช่นกัน เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์”

ซือคงจิงย่อมรู้จักอาจารย์ของตนดี ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า “เจ้าค่ะ ข้าทราบดี”

ทั้งสองคนโดยสารเรือบินเหยียบคลื่นมุ่งหน้าไปทางตะวันออก

ระหว่างทาง ซือคงจิงขอคำชี้แนะเกี่ยวกับปัญหาด้านวรยุทธ์กับเยี่ยนจ้าวเกอตลอดเวลา

ถึงแม้ว่านางจะนับถือคุณูปการอันมากมายของเขา แต่ในสายตาของนาง ก็ยังคงให้ความสำคัญเรื่องวรยุทธ์ที่สุด

หากไม่พูดถึงผลสำเร็จเฉกเช่นปาฏิหาริย์เหล่านั้น เยี่ยนจ้าวเกอมีพลังฝึกปรือถึงระดับนี้ในตอนที่มีอายุใกล้เคียงกับตน ก็ถือเป็นหนึ่งในเรื่องอัศจรรย์เช่นกัน

ซือคงจิงมีนิสัยเย็นชา ไปมาหาสู่กับผู้คนน้อย แต่ว่าในหลายปีมานี้ นางค่อยๆ คุ้ยเคยกับเยี่ยนจ้าวเกอ ทั้งยังให้ความนับถืออีกฝ่าย ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาจึงค่อนข้างปล่อยตัว มีปัญหาด้านวรยุทธ์อะไรก็จะขอคำชี้แนะจากเขาเสมอ

เยี่ยนจ้าวเกอเองก็เต็มใจชี้แนะศิษย์น้องร่วมสำนัก ที่มีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ยอดเยี่ยมผู้นี้เช่นกัน

แม้จะไม่ตั้งใจขุดคุ้ย แต่เขาก็ยิ่งสนใจความลับของซือคงจิงมากขึ้นเรื่อยๆ อยากจะดูว่าสตรีเช่นนี้จะไปถึงระดับไหนในอนาคต

จากการไต่สวนโอวหยางฉี เยี่ยนจ้าวเกอทราบว่าเขากับฉางนิ่งมีเส้นทางชีวิตคล้ายซือคงจิงยิ่งนัก

ตอนที่ฝึกฝนอยู่ในระดับยุทธ์หลอมกาย ถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นเช่นกัน แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ในขอบเขตที่คนธรรมดารับได้

แต่หลังจากเลื่อนเป็นระดับปรมาจารย์ กลับเติบโตอย่างฉับพลัน คล้ายกับเปลี่ยนกระดูกผลัดขนก็ไม่ปาน

พรสวรรค์ที่โดดเด่นในตอนแรกล้ำเลิศยิ่งขึ้น เริ่มเหนือกว่าบุคคลอัจฉริยะทั่วไปในระดับบดขยี้

ตอนแรกไม่มีเค้าลาง ต่อมายิ่งไม่ทราบเหตุผล

เฉินฉี อาจารย์ของโอวหยางฉีและฉางนิ่งมิได้เกรงใจเหมือนเยี่ยนจ้าวเกอ

เฉินฉีเคยตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของพวกโอวหยางฉีมาก่อน

สุดท้าย นอกจากสัญลักษณ์อันแปลกประหลาดที่คนทั้งสองทำให้เกิดขึ้น ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด

เมือคิดถึงสัญลักษณ์แปลกประหลาดนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ครุ่นคิดอีกครั้ง

ทั้งสองคนเดินทางไปทางตะวันออกด้วยกัน อาหู่ที่ได้รับข่าวจากเยี่ยนจ้าวเกอและเมืองทะเลมรกต ก็พาพ่านพ่านมาสมทบกับพวกเขา

“คุณชาย ท่านไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” หลังจากพบกัน อาหู่เห็นเยี่ยนจ้าวเกอไร้บาดแผล ก็ถอนใจอย่างผ่อนคลาย จากนั้นก็ถามอย่างประหลาดใจ “เมืองทะเลมรกตสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์ออกมาจริงๆ หรือขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “ถูกต้อง เป็นกระบี่เล่มหนึ่ง ชื่อกระบี่สัตยาทะเลมรกต เข้ากันกับท่ากระบี่ทะเลมรกตไร้รูปร่าง ที่เป็นวรยุทธ์ขั้นสูงของเมืองทะเลมรกตยิ่งนัก ท่ากระบี่ซึ่งใช้โดยกระบี่สัตยาทะเลมรกตยิ่งมีอานุภาพเพิ่มขึ้น ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง”

เขาเลือกประเด็นสำคัญพูดกับอาหู่

แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะอธิบายอย่างง่ายๆ มิได้อวดโอ่อันใด แต่อาหู่ได้ยินดังนั้นก็แยกเขี้ยวขึ้น หัวเราะฮ่าๆ “คุณชาย ครั้งนี้ท่านยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

“ท่านสุดยอดจริงๆ!” อาหู่พูดพลางชูนิ้วโป้ง

แต่ว่าหลังจากชูนิ้วโป้งแล้ว อาหู่ก็ลังเลเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง “แต่ว่าคุณชาย ครั้งนี้เมืองทะเลมรกตติดหนี้ท่าน อีกทั้งยังติดหนี้เขากว่างเฉิงมากมายนัก

“ถึงจะกล่าวว่าการเผชิญหน้ากับปีศาจอัคคีต้องร่วมแรงร่วมใจ สมควรช่วยเหลือกันและกัน แต่ถ้าครั้งนี้ไม่มีท่านกับท่านเจ้าสำนักคนเก่า เมืองทะเลมรกตแม้จะมีเจ้าเมืองซ่งอู๋เลี่ยงอยู่ ก็ต้องถูกปีศาจอัคคีทำลายสิ้น หนึ่งในหกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่คงจะหายไปจากมหาอำนาจแปดพิภพ”

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าขึ้นมองอาหู่ “พูดต่อสิ”

อาหู่เกาศีรษะ “คุณชาย ข้าไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลอะไรมากนัก แต่เคยได้ยินคำพูดเก่าแก่ว่าไว้ว่า มือตวงข้าวเป็นบุญคุณ ถังตวงข้าวเป็นความแค้น[1]

“เอ่อ อาจจะไม่ตรงความหมายมากนัก ข้าหมายถึง บุญคุณกลายเป็นความแค้น…”

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยกังวลเล็กน้อย

ชายหนุ่มพลันยิ้มบาง “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า แต่ว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวล”

เยี่ยนจ้าวเกอหันกลับไปมองเมืองทะเลมรกตที่อยู่ด้านหลัง ที่นั่นทะเลกับท้องฟ้าเชื่อมต่อ แบ่งสัดส่วนเท่ากัน มองไม่เห็นเกาะมังกรตะวันออกและเมืองทะเลมรกตแล้ว

“ลองเชื่อว่าทั่วทั้งเมืองทะเลมรกตมีศักดิ์ศรีและขีดจำกัดอย่างน้อยที่สุดดูก่อน ต่อให้ไม่มี…” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเหอะๆ “…ต่อให้ไม่มี ขอแค่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ บุญคุณนี้ไม่มีทางกลายเป็นความแค้นแน่”

อาหู่ได้ยินดังนั้น ก็เผยสีหน้าครุ่นคิดขึ้น

เมืองทะเลมรกตกับเขากว่างเฉิงมีความสัมพันธ์กันแบบใดยังไม่ต้องพูดถึง แต่ระหว่างพวกเขากับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กลับเป็นคู่อริกันมาหลายปีแล้ว

ในสงครามครั้งหายนะของเขากว่างเฉิง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เหยียบย่ำสำนักเขากว่างเฉิงอย่างเป็นทางการ ส่วนเขากว่างเฉิงก็ทำลายมาตรสุริยันวัดสวรรค์ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย จึงเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดดังเช่นเมืองทะเลมรกตกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ในปัจจุบัน แม้จะผ่านมานานถึงเพียงนั้น คู่อริที่โด่งดังที่สุดในมหาอำนาจแปดพิภพ ก็คือเมืองทะเลมรกตกับสำนักสุริยันศักดิสิทธิ์ ทั้งคู่เป็นดังน้ำกับไฟ ความแค้นของทั้งสองฝ่ายอยู่ในขั้นที่มิอาจบรรเทาลงได้อีกแล้ว

ในอดีต ช่วงเวลาที่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์ม่วงจางเชา อาจารย์ของหวงกวงเลี่ยแสงแสนยานุภาพไปทั่วหล้า เป็นช่วงเวลาที่เมืองทะเลมรกตลำบากที่สุดตั้งแต่เคยมีมา

ซือคงจิงนั่งมองทิศทางของเมืองทะเลมรกตอยู่ด้านข้างเงียบๆ

เยี่ยนจ้าวเกอถาม “มีเบาะแสล่าสุดหรือไม่”

อาหู่ตอบ “เจ้าตำหนักอัสนีสวรรค์ เฉินลี่ กับหวงกวงเลี่ยแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไปถึงทะเลชั้นนอกของทะเลตะวันออกก่อนแล้ว พวกเขาเข้าควบคุมสถานการณ์พร้อมกับปราชญ์ภาพวาดผู้อาวุโสม่อและเมิ่งหวานที่ใช้มงกุฎแห่งหยิน สกัดปีศาจอัคคีไว้ที่จุดตัดทะเลชั้นนอกกับน่านน้ำของเมืองมหานที”

“เจ้าสำนักฉู่แห่งเขาไร้พรมแดนเอาขวานจามสวรรค์ไปที่ริมทะเล คอยคุมสถานการณ์ที่ภาคตะวันออกของวารีพิภพ”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าเล็กน้อย ‘หวงกวงเลี่ย ผู้อาวุโสม่อ ท่านอาจารย์กับเสื้อคลุมนภา ซ่งอู๋เลี่ยงกับกระบี่สัตยาทะเลมรกต

‘ผนวกกับผู้คุมหออันแห่งหอคลื่นโหม มงกุฎแห่งหยินกับเฉินลี่แห่งตำหนักอัสนีสวรรค์…อืม อย่างน้อยก็ยับยั้งการโจมตีระลอกนี้ของปีศาจอัคคีไว้ได้ นอกเสียจากจะการเปลี่ยนแปลงอื่นอีก’

ชายหนุ่มควานหาน้ำแข็งย้อยเก้าแท่งของตนเองออกมา ‘ถ้าสภาพแวดล้อมเป็นใจ ข้าลองดูสักครั้งได้’

……………………………………….

[1] มือตวงข้าวเป็นบุญคุณ ถังตวงข้าวเป็นความแค้น สุภาษิตจีน หากช่วยเหลือผู้อื่นในยามยากพอประมาณจะกลายเป็นบุญคุณ แต่หากช่วยมากเกินไปอีกฝ่ายก็จะพึ่งพา เมื่อหยุดช่วยเหลืออีกฝ่ายก็จะโกรธแค้น