ตอนที่ 262 ผู้มาเยือน / ตอนที่ 263 เป็นอะไรกับเขา

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

ตอนที่ 262 ผู้มาเยือน 

 

 

 

 

 

เฉียวซือมู่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ในใจเต็มไปด้วยความร้อนรน 

 

 

ทำอย่างไรดี? เธอควรทำอย่างไรดี? 

 

 

ในเวลาที่เธอไร้ที่พึ่งที่สุดเช่นนี้ จู่ๆ รถคันหนึ่งขับมาจอดลงข้างกายเธอ พ่อบ้านยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างรถฝั่งที่นั่งคนขับ “คุณเฉียว รีบขึ้นรถเถอะครับ” 

 

 

เธอได้สติ รีบเปิดประตูก้าวขึ้นรถทันที 

 

 

สองมือของพ่อบ้านจับพวงมาลัยรถอย่างมั่นคง ใบหน้าเคร่งเครียดของเขากำลังจับจ้องเส้นทางตรงหน้าอย่างมีสมาธิ ส่วนเฉียวซือมู่เอาแต่ร้องไห้น้ำตาไหลนองหน้า ไม่แม้แต่จะเช็ดน้ำตาออกเสียบ้าง ท่าทางหมดสภาพจนดูน่าสงสาร 

 

 

พ่อบ้านหยิบกระดาษเช็ดหน้าส่งให้เธอ “เช็ดหน่อยนะครับ” 

 

 

ตอนนี้สติสัมปชัญญะของเธอยังกลับมาไม่ครบถ้วน เธอรับมันมาด้วยท่าทางเหม่อลอยแล้วเช็ดน้ำตาราวหุ่นยนต์ที่ปฏิบัติตามตามคำสั่ง 

 

 

เธอเช็ดน้ำตาได้แค่ครึ่งเดียวแล้วเอ่ยขึ้น “ฉันผิดต่อเขา เรื่องนี้เป็นความผิดของฉันคนเดียว ฉันไม่ควรให้เขากลับบ้าน ไม่ควรไม่รับสายเขา ฉัน… ฉันมันสมควรตาย… ตอนนี้ฉันควรทำยังไงดี?” 

 

 

เธอฝังหน้าลงกับฝ่ามือที่ยังถือกระดาษเช็ดหน้า เริ่มร้องไห้อย่างห้ามน้ำตาไม่ไหว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกผิด “จิ้นหยวน ฉันขอโทษ… ขอโทษ…” 

 

 

พ่อบ้านทอดถอนใจอยู่ในอก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ครับ นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ” 

 

 

เธอส่ายศีรษะโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้น 

 

 

พ่อบ้านเอ่ยถามอย่างใจเย็น “หรือว่าคุณรู้จักชายคนนั้น?” 

 

 

เธอชายตาขึ้นมองเขาอย่างสะเทือนอารมณ์ “ไม่ ฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนคนนั้นเลยสักนิด” 

 

 

“ถ้างั้นก็ถูกแล้ว แล้วทำไมคุณถึงดึงดันโทษตัวเองว่าที่คุณชายจิ้นบาดเจ็บเกี่ยวกับคุณล่ะครับ?” 

 

 

เธอชะงักไปชั่วครู่ “แต่ว่าเป้าหมายของคนคนนั้นเป็นฉัน…” 

 

 

“แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการที่เขาแทงคุณชายจิ้นจนบาดเจ็บมันจะเกี่ยวข้องกับคุณนี่ครับ” 

 

 

“แต่ว่า… แต่ว่า…” 

 

 

สมองเธอสับสนวุ่นวายไปหมด รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่ก็ดูเหมือนจะมีเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่เหมือนกัน เธอจึงได้แต่นิ่งอึ้ง 

 

 

พ่อบ้านถอนหายใจเบาๆ “คุณเฉียว ผมเชื่อว่าคุณชายจิ้นจะต้องไม่อยากเห็นคุณทุกข์ทรมานแบบนี้แน่ๆ ครับ” 

 

 

“เหรอคะ?” เธอเอ่ยอย่างอึ้งๆ 

 

 

“ครับ เขาไม่ต้องการเห็นคุณเป็นแบบนี้อย่างแน่นอน” เขาเอ่ยตอบอย่างใจเย็นแล้วจอดรถ “เราถึงโรงพยาบาลแล้วครับ” 

 

 

หลังลงจากรถ เฉียวซือมู่เดินโงนเงนมึนงงอยู่หลังพ่อบ้าน เห็นเขาคุยกับหมอชั่วครู่ จากนั้นพาเธอไปขึ้นลิฟท์ 

 

 

พ่อบ้านเหลือบมองท่าทางเธอแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ เขายื่นกระดาษเช็ดหน้าให้เธอใหม่ “เช็ดเสียหน่อยนะครับ” 

 

 

เธอรับมันมา เอ่ยขอบคุณเสียงอู้อี้ “ขอบคุณค่ะ” 

 

 

ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์ดูแลรูปลักษณ์ของตัวเอง เธอเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ จากนั้นสางผมให้เรียบร้อย 

 

 

ทั้งสองไปถึงหน้าห้องผ่าตัด เธอเห็นดวงไฟสีแดงแสบตาหน้าห้องแล้วเข่าอ่อนจนเกือบทรุดลงกับพื้น โชคดีที่พ่อบ้านมือไวรีบรับตัวเธอเอาไว้ได้ทัน “ระวังครับ ผมพาคุณไปนั่งตรงนั้นนะครับ” 

 

 

เธอพยักหน้าอย่างอ่อนแรง ไม่รู้ว่าเธอตัวเองถูกพาไปนั่งลงบนเก้าอี้ยาวได้อย่างไร เธอได้แต่ส่ายศีรษะ จ้องประตูห้องผ่าตัดที่ถูกปิดสนิทตาเขม็ง ในหัวคิดวนเวียนแต่ว่าถ้าเกิดเขาเป็นอะไรไปแล้วเธอจะทำอย่างไร? 

 

 

ความรู้สึกไร้ที่พึ่งแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกโอบล้อมด้วยความหวาดกลัวจนหาทางออกไม่เจอ 

 

 

พ่อบ้านอยากจะพูดปลอบใจเธอหลายครั้ง แต่กลับพบว่าตัวเองก็หาเหตุผลไปปลอบใจเธอไม่ได้เหมือนกัน เขาจึงได้แต่ถอนหายใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดไปด้วย 

 

 

ถ้าจะหาคนผิดสักคน เขานี่แหละที่ผิดมากที่สุด ตอนที่จับตัวคนร้ายได้เขาชะล่าใจมากเกินไปจนไม่ได้ค้นตัวคนร้าย จนทำให้คุณชายได้รับบาดเจ็บสาหัส จะว่าไปแล้ว เขาคงหนีไม่พ้นต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 263 เป็นอะไรกับเขา  

 

 

 

 

 

พ่อบ้านยิ้มขมขื่น เขามองเฉียวซือมู่ที่กำลังร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจแล้วหันมองไปยังประตูห้องผ่าตัด เริ่มครุ่นคิดว่าควรจะชดใช้ให้กับความผิดของตัวเองอย่างไรดี… 

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เฉียวซือมู่ที่กำลังร้องไห้น้ำตานองหน้าจนมองอะไรไม่ชัดเจนเห็นหลินจื้อเฉิงวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเธอด้วยความร้อนใจ “พี่ใหญ่เป็นอะไรไปครับ?” 

 

 

เธอเอาแต่ส่ายศีรษะ พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว 

 

 

พ่อบ้านเป็นคนเข้าไปรับหน้าแทน เขาพาหลินจื้อเฉิงไปคุยกันเงียบๆ อีกทาง ตอนแรกน้ำเสียงของหลินจื้อเฉิงโกรธมาก แต่ไม่รู้ว่าพ่อบ้านพูดอะไรบ้าง ภายหลังน้ำเสียงเขาจึงค่อยๆ เบาลง 

 

 

เธอไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจพวกเขา สายตาจับจ้องอยู่หน้าห้องผ่าตัดเท่านั้น แต่เธอเห็นเพียงนางพยาบาลที่เข้าๆ ออกๆ แต่กลับไม่เห็นมีใครมาบอกกล่าวให้รู้ว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง 

 

 

ขณะที่เธอกำลังร้อนใจจนจะเป็นบ้านั้น ในที่สุดนายแพทย์ท่าทางเหนื่อยอ่อนก็เดินออกมาจากห้องผ่าตัดพอดี 

 

 

เธอรีบวิ่งถลาเข้าไปหานายแพทย์คนนั้นทันที เธอจับแขนเสื้อของเขาเอาไว้แล้วเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เขาเป็นยังไงบ้างคะ? เขาไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมคะ?” 

 

 

นายแพทย์คนนั้นมุ่นหัวคิ้วมองเธอ “คุณเป็นอะไรกับคนไข้เหรอครับ?” 

 

 

“ฉัน… ฉันเป็นแฟนเขา… เขา…” เธอลังเลเล็กน้อย เลือกใช้คำว่าแฟนแทน 

 

 

คุณหมอส่ายศีรษะ เธอเห็นท่าทางของเขาแล้วหัวใจเย็นวาบทันที ตัวสั่นไปทั้งร่าง เอ่ยถามเสียงสั่นเครือด้วยความสิ้นหวัง “หรือว่าเขา… หรือว่าเขา…” 

 

 

คุณหมอมุ่นหัวคิ้ว “หรือว่าอะไรครับ? คนไข้โชคดีที่ถูกแทงไกลหัวใจมาก และไม่ถูกเส้นเลือดใหญ่ด้วย ก็เลยไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไร ไม่มีอันตรายถึงชีวิตครับ” 

 

 

เธอฟังแล้วถอนหายใจโล่งอกเฮือกใหญ่ รู้สึกดีใจมาก ปากสั่นเทาเอ่ยถามขึ้นอีก “แล้วที่คุณหมอส่ายหัวเมื่อกี้นี้คือ…” 

 

 

ไม่มีอะไรแล้วส่ายศีรษะทำไม เธอตกใจจนเกือบตายแล้วไหมล่ะ 

 

 

คุณหมอเอ่ย “ผมแค่ทอดถอนใจที่คราวนี้คนไข้โชคดีมาก ถ้าเป็นเคสก่อนหน้านี้ล่ะก็… เฮ้อ…” คุณหมอไม่ได้พูดต่อ หันไปเอ่ยกับเธอใหม่ “คนไข้ไม่ได้เป็นอะไรมาก ให้เฝ้าดูอาการในห้องไอ.ซี.ยู.อีกไม่กี่วัน รอให้คนไข้ฟื้นก็ไม่เป็นไรแล้วครับ” 

 

 

“ค่ะ ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” เธอรีบขอบคุณเป็นพัลวัน 

 

 

กระทั่งถึงตอนนี้สีหน้าของหลินจื้อเฉิงยังคงดูแย่มากเหมือนเดิม แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ทั้งสามปรึกษากันว่าต่อจากนี้ควรจะทำอย่างไรต่อ หลินจื้อเฉิงจะเป็นคนดูแลงานที่บริษัทแทนเขา ส่วนพ่อบ้านจะกลับไปดูแลทุกอย่างในบ้านเหมือนเดิม เนื่องจากจิ้นหยวนไม่ต้องการให้คนในครอบครัวรู้เรื่องนี้ ดังนั้น หน้าที่ดูแลจิ้นหยวนจึงตกเป็นของเฉียวซือมู่ไปโดยปริยาย 

 

 

เธออยากทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว จึงตกลงรับปากทันที 

 

 

พ่อบ้านครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วตัดสินใจจ้างพยาบาลพิเศษเพิ่มเพื่อช่วยเธอแบ่งเบาภาระ 

 

 

จิ้นหยวนถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด เธอสังเกตเห็นว่านอกจากสีหน้าที่เผือดซีดแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากปกติ ดูเหมือนเขาแค่หลับไปเท่านั้น 

 

 

เธอมองดูเขาด้วยความเจ็บปวดหัวใจ เธอรู้ว่าที่เขาเป็นแบบนี้เพราะเสียเลือดมาก มันทำให้เธอหวนนึกถึงภาพจิ้นหยวนที่มีเลือดสีแดงฉานท่วมตัวถูกหามขึ้นรถพยาบาลทันที นึกๆ แล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมาอีก 

 

 

พ่อบ้านเอ่ยขึ้น “ถ้าคุณยังร้องไห้อยู่แบบนี้ เดี๋ยวคงต้องแอดมิทเพิ่มอีกคนหรอกครับ” 

 

 

คำพูดของเขากระตุ้นเธอได้ดีมาก ร่างกายที่กำลังอ่อนแรงกระเด้งตัวยืนตรงทันที 

 

 

ใช่แล้ว เธอจะล้มไม่ได้ จิ้นหยวนยังนอนสลบอยู่ในนั้น เธอจะทิ้งเขาไม่ได้ เพราะเขาต้องการเธอ 

 

 

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คำพูดของพ่อบ้านก็มีอิทธิพลต่อเธอมาก เธอไม่ร้องไห้อีกแล้ว หากแต่ตั้งตาตั้งตาดูแลจิ้นหยวนอย่างดีที่สุด จนกระทั่งหลายวันให้หลัง จิ้นหยวนใกล้จะฟื้นแล้ว จู่ๆ ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาที่โรงพยาบาล