ถังซียิ้มให้เขา “ฉันรู้ว่าคุณมีคนในองค์การหลงเซี่ยว ที่ไม่เคยมีใครในบริษัทเห็นใบหน้าที่แท้จริง ฉันก็เลยคิดว่าคุณต้องช่วยหาทางให้ฉันกลับไปที่เมืองหลวงในฐานะถังซีได้อย่างแน่นอน จริงไหมคะ”
เฉียวเหลียงมองถังซีอย่างประหลาดใจ นิ่วหน้าถามเธอว่า “นี่คุณกำลังคิดจะสวมหน้ากากผิวมนุษย์ งั้นเหรอ”
ถังซียิ้มอย่างมีเลศนัย หลิ่วตาให้เฉียวเหลียงราวจะถามว่า ‘ไม่ได้เหรอคะ’
เฉียวเหลียวเอานิ้วจิ้มหน้าผากถังซี กล่าวอย่างอ่อนใจว่า “คิดว่าจะเล่นเป็นสายลับหรือยังไง หน้ากากผิวหนังจะทำให้มีอาการแพ้ได้ เจ้าหน้าที่หลงเซี่ยวต้องพยายามสรรหาหน้ากากที่เหมาะกับตัวเอง สายลับแต่ละคนมีหน้ากากเฉพาะของตัว และหน้ากากผิวหนังก็ไม่ได้ผลิตกันง่ายๆ …”
“แต่คุณก็พอมีอยู่ ใช่ไหมล่ะ” ถังซีขัดขึ้น มองเฉียวเหลียงตรงๆ พลางยิ้มน้อยๆ “คุณต้องมีหน้ากากที่เหมาะกับฉันแน่นอน ใช่ไหมคะ”
เฉียวเหลียงนิ่งอึ้ง จ้องตาถังซีนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนในที่สุด…
ถังซีมองตามเฉียวเหลียงซึ่งเปิดประตูห้องทำงานและเดินออกไป เธอรีบตามเขาไป เฉียวเหลียงหยุดชะงักหลังจากเดินไปได้สองสามก้าว เขาหันกลับมามองถังซี ขมวดคิ้วถามว่า “คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
ถังซียิ้ม จับมือเขาแล้วกระซิบว่า “เพราะฉันรู้ว่าคุณรักฉันไงล่ะ”
เฉียวเหลียงลดสายตาลงมองที่มือเธอ เขาเงียบไปอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงต่ำเบาๆ ว่า “แต่หน้ากากนั้นอาจไม่เหมาะกับคุณก็ได้”
ถังซียิ้ม “ให้ฉันลองก่อน ถ้าใช้ได้ ก็ให้ฉันไปเมืองหลวงกับคุณ ฉันคิดว่าจะเป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดได้”
“คุณปู่ของคุณรอคุณอยู่” เฉียวเหลียงปรายตามองถังซี “สิ่งที่ควรทำที่สุดคือใช้เวลากับคุณปู่ให้มากที่สุด คุยกับท่าน ให้กำลังใจคนแก่ที่เฝ้ารอคอยการกลับมาของหลานสาว”
ถังซีส่ายศีรษะ เฉียวเหลียงกล่าวขึ้นอย่างอ่อนใจ “ผมไม่อยากให้คุณได้รับอันตราย”
“เฉียวเหลียง ฉันจะไม่เป็นอะไร” ถังซีประคองใบหน้าเขาไว้ กล่าวอย่างปลอบโยนว่า “ฉันจะกลับไปเพื่อแก้ไขบางอย่าง กลับไปพบกับคนบางคน ฉันจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ อย่าเป็นห่วงฉันจนเกินไป ไม่มีใครทำร้ายฉันได้”
เฉียวเหลียงกำหมัดแน่น ถังซีรู้สึกถึงความไม่ปกติของเขาได้ เขาดูแปลกไปเมื่อเธอบอกว่าจะกลับไปที่เมืองหลวง เธอบอกได้ทันทีว่าเขาไม่ต้องการให้เธอกลับไปเมืองหลวง ดูเขาประสาทเสียเมื่อรู้ว่าเธอต้องการจะกลับไป เธอรู้สึกได้ชัดเจน แม้เขาจะพยายามปกปิดอารมณ์ไว้ ถังซีเอื้อมมือไปกุมมือเขา มองใบหน้าซีดเผือดของเขา ยื่นริมฝีปากเล็กน้อย ถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า”
“ถังซี” เฉียวเหลียงจ้องตาถังซีนิ่ง
ถังซีผงกศีรษะรับ “คะ ว่าไง”
นิ่งเงียบกันไปครู่ใหญ่ก่อนที่เฉียวเหลียงจะปล่อยมือเธอ แล้วหันหลังเดินกลับไปทางห้องทำงาน “ช่างเถอะ”
ถังซีรีบตามไป จับมือเขาไว้อีก ถามขึ้นด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “เฉียวเหลียง คุณมีอะไรไม่สบายใจ”
เงียบไปอีกครู่หนึ่ง เฉียวเหลียงจึงมองกลับมาที่ถังซี แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ไม่มีอะไร ผมแค่เป็นห่วงคุณ”
“ไม่จริง คุณกำลังโกหก ปิดบังอะไรฉันอยู่แน่” สีหน้าถังซีเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชา “คุณกำลังกังวลว่าฉันจะไม่กลับมาที่นี่ เมื่อได้กลับไปที่เมืองหลวงใช่ไหม ในสายตาคุณ ฉันเป็นผู้หญิงประเภทที่จะทอดทิ้งคนที่เธอรักได้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ”
“นี่คุณพูดอะไรของคุณ” เฉียวเหลียงดุเธอ “ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ห่วงเรื่องนี้!”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่อยากให้ฉันไปเมืองหลวง!” ถังซีจ้องเฉียวเหลียงด้วยสายตาเย็นชา คลายมือที่จับมือเขาไว้ หายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงจริงจังว่า “เราไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว อายุเกือบจะสามสิบ เราไม่…”
“คุณอายุแค่ยี่สิบสาม อย่ามาทำเป็นผู้ใหญ่เกินตัวกับผม!”
“ถ้าอย่างนั้นก็…” ถังซีระเบิดหัวเราะเสียงดังออกมาทันที เธอเงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียงซึ่งตกตะลึงกับเสียงหัวเราะของเธอ เธอกล่าวพลางหัวเราะว่า “ไม่ใช่เด็กกันแล้ว แต่คุณกำลังเถียงเหมือนเด็กๆ เลยตอนนี้” เธอหยุดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อไป “บอกฉันมาสิว่าทำไมถึงไม่อยากให้ฉันกลับไป”
เฉียวเหลียงมองดูถังซีซึ่งเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวโกรธสลับไปมา ถอนหายใจแล้วตอบว่า “คุณก็รู้ว่าคุณประสบอุบัติเหตุได้ยังไง ผมก็รู้ ในเมื่อพวกมันเคยฆ่าคุณได้ครั้งหนึ่ง มันก็ย่อมทำได้อีก ผมไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตราย”
เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ถังซีก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แต่ขณะเดียวกันก็อดอ่อนใจไม่ได้กับการต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องเพียงแค่นี้ เธอรู้ดีว่าเขาเป็นห่วง แต่ทำไมถึงบอกกันตรงๆ ไม่ได้ กลับต้องมาทะเลาะถกเถียงกัน
เมื่อนึกถึงนิสัยพิกลในการแสดงความห่วงใยของเขาแล้ว ถังซีก็รู้สึกเหนื่อยใจ แต่เธอคงไม่สามารถทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงเขาได้ เธอเงยขึ้นมองเฉียวเหลียง “แล้วคุณจะปล่อยให้ฉันได้รับอันตรายเหรอ”
“ไม่อย่างแน่นอน” เฉียวเหลียงนิ่วหน้า
ถังซียิ้มหวานอย่างพึงพอใจ “งั้นก็อย่าคิดอะไรให้วุ่นวายไปเลยค่ะ เซียวโหรวอาจจะแก้ไขปัญหาบางอย่างไม่ได้ แต่ถังซีทำได้แน่นอนในทันทีที่เธอปรากฏตัว เฉียวเหลียงคะ ฉันไม่อยากให้อดีตของเรามีผลกระทบต่ออนาคตที่เราจะมีร่วมกัน”
เฉียวเหลียงขมวดคิ้วมองถังซี “คุณหมายความว่ายังไง”
“อดีตของคุณผูกติดอยู่กับถังซี ถ้าคุณเริ่มความสัมพันธ์อย่างจริงจังกับเซียวโหรวหลังจากถังซีตายเพียงไม่นาน อนาคตของคุณกับเซียวโหรวจะเป็นยังไง ผู้คนจะมองคุณแบบไหน ฉันคิดว่าคุณควรรู้ดี ดังนั้นถังซีจึงต้องปรากฏตัว แทนที่จะกลายเป็นคนที่ตายไปแล้ว”
“ผม…”
“ฉันรู้ค่ะว่าคุณไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง แต่ฉันสน” ถังซีมองตาเฉียวเหลียง “ฉันสนใจ เหมือนกับที่ฉันสนใจว่ามีผู้หญิงอื่นมาหลงรักคุณ ฉันใส่ใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณ และฉันใส่ใจความรู้สึกของคุณมาก เพราะฉะนั้นในครั้งนี้ได้โปรดอย่าพยายามทำอะไรแทนฉัน ให้ฉันจัดการกับพวกเขาด้วยตัวเอง คุณแค่คอยดูอยู่ในเงามืด ปล่อยให้ฉันจัดการกับเรื่องพวกนี้เอง ขอแค่คุณใช้เวลาร่วมกับเซียวโหรวอย่างมีความสุข อยู่ห่างๆ จากเรื่องยุ่งยากทั้งหลายของเอ็มไพร์กรุป ได้ไหมคะ”
ในที่สุดเฉียวเหลียงก็เข้าใจในสิ่งที่เธอพยายามจะบอก เขานิ่วหน้ามองเธอ ถามเสียงเย็นชาว่า “คุณต้องการให้ผมแยกทางกับถังซีโดยเด็ดขาด อย่างนั้นหรือ”
“ถึงยังไงถังซีก็ตายไปแล้ว คนที่อยู่กับคุณในตอนนี้ก็คือเซียวโหรว ทำไมคุณไม่ลืมถังซีไปเสียละคะ”
เฉียวเหลียงยืนกำหมัดแน่นอีกพักใหญ่ กว่าจะผลักประตูห้องทำงานให้เปิดออก และก้าวเข้าไปข้างใน ถังซีเดินตามเข้าไป เซียวจิ่งซึ่งกำลังอ่านเอกสารอยู่ในห้องเพลินๆ สะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงทั้งสองถกเถียงกัน เขารีบเอนกายลงพิงพนักเก้าอี้ แสร้งทำเป็นอ่านเอกสารอย่างตั้งใจ แต่เมื่อเห็นทั้งคู่ยืนนิ่งเงียบอยู่กลางห้อง เซียวจิ่งก็ถึงกับมึนงง! ทำไมพวกนายไม่ทะเลาะกันให้เสร็จก่อนในห้องทำงานฉัน!
“อะแฮ่ม…” เซียวจิ่งทำเสียงกระแอมในลำคอและลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นฉันกลับไปอ่านเอกสารพวกนี้ในห้องทำงานฉันดีกว่านะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่อ่านอยู่ที่นี่แหละ” ถังซีมองหน้าเซียวจิ่ง แล้วยิ้มให้ “พี่นั่งฟังเราคุยกันไปด้วย จะได้ช่วยตัดสินว่าใครเป็นคนถูกในเรื่องนี้”