ตอนที่ 310 อาการป่วยที่จู่โจมอย่างกะทันหัน

ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง

​​​​​​​เซียวจิ่งหัวเราะอยู่ในลำคอ ขณะมองดูคนทั้งสอง “พี่คิดว่าพี่ไม่น่าจะตัดสินได้ อีกอย่างเฉียวเหลียงคงไม่เชื่อพี่หรอก”

 

 

ก่อนจะทันได้พูดจบ เซียวจิ่งก็รู้สึกเหมือนมีสายตาคมกริบราวมีดสั้นทิ่มมาที่หน้าเขา เขารีบหยุดพูด มองคนทั้งสอง แล้วกล่าวอย่างไม่ค่อยสบายใจว่า “คุยกันต่อเถอะ พี่ต้องไปแล้ว”

 

 

“เธออยากกลับไปเมืองหลวง นายเห็นด้วยงั้นเหรอ” เฉียวเหลียงถามขึ้นฉับพลันด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

 

เซียวจิ่งตอบสวนทันที “ไม่เห็นด้วยแน่นอน!”

 

 

เมื่อได้ยินอย่างนี้ถังซีก็รีบอธิบาย “ฉันต้องกลับมาอย่างแน่นอน ฉันไปที่นั่นเพื่อไปจัดการกับปัญหาบางเรื่อง ที่มีเพียงถังซีเท่านั้นจึงจะจัดการได้” หลังจากอธิบายให้เซียวจิ่งรับรู้แล้ว เธอก็มองสบตาเขา “คราวนี้พี่คิดว่าฉันควรกลับไปไหม”

 

 

เซียวจิ่งผงกศีรษะ “ควรไป”

 

 

เฉียวเหลียงส่งสายตาเย็นเยือกให้เซียวจิ่ง อีกฝ่ายถอยหลังกรูดด้วยท่าทางกลัวๆ ถังซีเดินเข้าไปหาเฉียวเหลียง เงยหน้าขึ้นมองเขา “อย่ามองพี่ชายฉันแบบนั้น! คุณใจแคบมาก เฉียวเหลียง!”

 

 

“ผมเนี่ยนะ ใจแคบ” เฉียวเหลียงรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่กระตุกแรงอย่างเจ็บปวด เขาไม่อยากเชื่อ! ทุกอย่างที่เขาทำลงไป ก็ทำเพื่อผู้หญิงคนนี้เป็นอันดับแรกเสมอ แต่เธอกลับต่อว่าเขาว่าใจแคบ!

 

 

ถังซีหน้านิ่วเมื่อเห็นเฉียวเหลียงมีสีหน้าเจ็บปวดด้วยความเสียใจอย่างมาก แต่ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอรู้ดีว่าเธอไม่อาจยอมแพ้ได้ในตอนนี้ ถ้าหากยอม เธอก็จะไม่มีทางได้ไปเมืองหลวง

 

 

เฉียวเหลียงทำเสียงขึ้นจมูก และยิ้มสมเพชตัวเอง “ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณมองเห็นผมเป็นคนแบบนั้น”

 

 

ถังซีรู้สึกปวดร้าวหัวใจอย่างแรง เธอกับเขาผ่านอะไรมาด้วยกันมากมายเหลือเกิน และยังเกือบต้องพรากจากกันไปชั่วชีวิต ทำไมถึงต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องเพียงเท่านี้ ราวกับเป็นคู่รักอ่อนต่อโลก นี่เขาจะไม่พยายามเข้าใจเธอบ้างสักนิดเลยหรือ เธอเพียงแค่ต้องการสะสางปัญหาค้างคาทั้งหลายด้วยกำลังของเธอเอง แทนที่จะเอาแต่หลบอยู่ข้างหลังเขา เพียงแค่นี้เขาก็ยังไม่ยอมเข้าใจอีกหรือ

 

 

เขาเป็นถึงนายใหญ่ของหลงเซี่ยว หากเธอเป็นแค่สาวน้อยจากตระกูลร่ำรวย แต่ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็นเลย เธอจะยืนอยู่เคียงข้างเขาได้อย่างไรกัน

 

 

ถ้าเธอยังไม่สามารถแม้จะแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง เธอก็ไม่มีคุณค่าเหมาะสมจะอยู่เคียงข้างเขา! เธอขอให้เขาช่วยสืบหาว่าเป็นฉินซินหยิ่งหรือไม่ที่สั่งให้คนแอบติดตามคุณปู่ เพราะเธอต้องการจัดการกับคนพวกนั้นด้วยตัวเอง ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจเธอเลย!

 

 

เธอปรารถนาจะได้ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชายที่เธอรัก แบบเดียวกับเหวินนิ่ง!

 

 

เธอสืบประวัติเหวินนิ่งดูแล้ว พบว่าหญิงสาวเป็นสตรีที่น่าชื่นชม มีความกล้าที่จะรักและกล้าที่จะเกลียด สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่อย่างมั่นใจไปกับลู่หลี ถังซีอยากเป็นเหมือนเหวินนิ่ง ที่สามารถอยู่เคียงข้างชายที่เธอรักได้ในทุกสถานการณ์ เธอไม่ต้องการเป็นผู้หญิงอ่อนแอที่เอาแต่หลบอยู่ข้างหลัง ทำได้เพียงคอยเป็นห่วงคนรักในยามที่มีเหตุร้าย

 

 

“เฉียวเหลียง ฉันรักคุณ” ถังซีมองตาเฉียวเหลียง “ฉันจึงต้องการทำตัวให้มีคุณค่าเหมาะสมที่จะยืนอยู่เคียงข้างคุณ เข้าใจฉันไหม”

 

 

เฉียวเหลียงรับไม่ได้ที่ถูกถังซีเรียกว่า ‘คนใจแคบ’ เขาจึงไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะรับฟังคำพูดของเธอ ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะเข้าใจใดๆ ในสิ่งที่เธอกล่าว เขาคำรามเบาๆ “ผมมีคุณค่าพอจะเป็นผู้ชายของคุณด้วยหรือ คนใจแคบอย่างผมมีค่าพอจะได้รับความรักจากคุณหรือ ผมดีพอที่จะกล้าเก็บคุณไว้เคียงข้างกายอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ถ้างั้นคุณจะบอกเลิกฉันหรือไง!” สีหน้าถังซีเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะมองหน้าเฉียวเหลียง

 

 

ทันใดนั้นรอบกายเฉียวเหลียงก็เหมือนมีความกดอากาศหนาแน่นขึ้นอย่างมาก รังสีอำมหิตแผ่กระจาย

 

 

เซียวจิ่งมองเฉียวเหลียง จำได้ดีว่าเฉียวเหลียงมีอาการอย่างไรเมื่อได้ยินข่าวการเสียชีวิตของถังซี เขารีบคว้ามือถังซี ส่วนถังซีก็เพิ่งนึกได้ว่าเธอล้ำเส้นเกินไปแล้ว และกำลังจะอธิบายเพิ่มเติม ขณะเดียวกันนั้น เฉียวเหลียงก็ถีบโต๊ะน้ำชาพลิกคว่ำ กระจกหน้าโต๊ะแตกกระจาย แล้วหันขวับไปชกบานกระจกหน้าต่างแบบฝรั่งเศส กระจกกันกระสุนไม่ได้รับความเสียหาย แต่มือเฉียวเหลียงมีเลือดไหลอาบ ทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ…

 

 

ถังซีตกตะลึงนิ่งงัน ทำอะไรไม่ถูก เซียวจิ่งรีบเข้าไปกอดร่างเฉียวเหลียงที่กำลังอาละวาดไว้แน่น ตะโกนบอกถังซีว่า “อย่าพูดยั่วโทสะเขาอีก! เขายังไม่หายดี เขาต้องคลั่งแน่ ถ้าเธอยังพูดอะไรแบบนั้นต่อไปอีก!”

 

 

ถังซีตื่นตระหนกเมื่อได้ยินสิ่งที่เซียวจิ่งบอก หัวใจเธอปวดแปลบราวกับโดนมีดแทง เธออยากวิ่งเข้าไปกอดเฉียวเหลียง แต่อีกฝ่ายกำลังคุ้มคลั่ง จำเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ ดวงตาเขาแดงก่ำ และกำลังดิ้นรนอย่างสุดกำลัง เซียวจิ่งกอดเฉียวเหลียงไว้แน่นด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ปากก็ร้องเตือนถังซีไม่ให้เข้ามาใกล้ และตะโกนให้สติเฉียวเหลียง “เฉียวเหลียง ใจเย็นๆ! ซีซีแค่พูดเล่น! ดูสิ มองดูดีๆ นี่ใคร นี่ถังซีไง ถังซี! มองดูเธอให้ดี!”

 

 

เฉียวเหลียงค่อยสงบลงเมื่อได้ยินชื่อถังซี ถังซีถือโอกาสวิ่งเข้าไปกอดเขาไว้แน่น “เฉียวเหลียง ฉันผิดไปแล้ว! อย่าเป็นแบบนี้เลย! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น! ฉันไม่ได้อยากเลิกกับคุณ! ฉันจะเลิกกับคุณได้ยังไงกัน! ใจเย็นๆ นะคะ! ฉันไม่มีวันเลิกกับคุณ! ขอให้คุณมั่นใจได้ว่าฉันจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป! อย่าโกรธอีกเลยนะ ได้โปรดเถอะ!”

 

 

เฉียวเหลียงดิ้นอีกและหมดสติไป ถังซีร้องกรี๊ด โชคดีที่เซียวจิ่งรับตัวเฉียวเหลียงไว้ได้ทันก่อนจะล้มลงกระแทกพื้น เขาแบกเฉียวเหลียงเข้าไปในส่วนห้องพักผ่อนในห้องทำงาน ถังซีทำแผลที่มือให้เฉียวเหลียง เสร็จแล้วจึงเดินออกมาจากห้อง หลังจากเงียบไปพักใหญ่เซียวจิ่งก็เม้มริมฝีปาก ก่อนจะกล่าวขึ้น “ถึงเขาจะบอกว่าสบายดีแล้ว แต่ตกกลางคืนก็ยังคงนอนไม่หลับ เขาอยู่ทำงานดึกแทบทุกคืน ถึงจะกลับถึงบ้านแล้ว ก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี พวกเราเป็นห่วงกันมาก จนต้องใส่ยานอนหลับในกาแฟหรือน้ำดื่ม ให้เขาหลับได้”

 

 

“ทำไมพี่ไม่เคยบอกฉันเลยเรื่องนี้” ถังซีเหงื่อซึมเปียกไปทั้งตัว ถึงเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาไม่กี่นาที หากยาวนานราวศตวรรษในความรู้สึกของเธอ เธอไม่เคยคาดฝันว่าเฉียวเหลียงผู้เปรียบประหนึ่งเทพบุตรในสายตาคนทั่วไปจะมีสภาพเช่นนี้! หากเธอไม่ได้ยั่วโทสะเขาอย่างในวันนี้ พวกเซียวจิ่งจะปิดบังเธอเรื่องอาการป่วยของเฉียวเหลียงไปอีกนานแค่ไหน

 

 

“เฉียวเหลียงไม่ยอมให้เราบอกเธอเรื่องนี้ เพราะเขาไม่ต้องการให้เธอเป็นห่วง” เซียวจิ่งอดเหลือบมองไปทางห้องพักผ่อนในห้องทำงานไม่ได้ เขาเม้มปากก่อนจะกล่าวว่า “เธอก็รู้ว่าเธออยู่กับเขาตลอดเวลาไม่ได้ แต่เขาก็นอนไม่หลับเวลาที่เธอไม่ได้อยู่ด้วย เขาเลยขอให้เก็บเรื่องอาการป่วยนี้ไว้ไม่ให้เธอรู้ พวกเราเคยขอให้เขาไปปรึกษาจิตแพทย์ แต่คนหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างเฉียวเหลียงไม่มีทางยอม เขาได้แต่อดทนต่อไป แต่พี่เกรงว่าเขาจะทนต่อไปได้อีกไม่นาน”

 

 

เฉียวเหลียงจับได้ว่าพวกเขาทำอะไรกับกาแฟและน้ำดื่มที่นำมาให้เขาดื่ม จึงระมัดระวังตัวมาก และปฏิเสธเครื่องดื่มทุกชนิดที่พวกเขายกมาให้ เซียวจิ่งจึงได้แต่พยายามชักจูงให้เฉียวเหลียงกลับบ้านและพยายามนอนให้หลับ การใช้ชีวิตอยู่โดยต้องพึ่งพาบางคนหรือบางสิ่ง ไม่ใช่ชีวิตที่ปกติเลย