บทที่ 739 : อ่างเก็บน้ำมี่หยิวน!
รถตู้ของเหล่ากุ่ยขับไปตามถนนด้วยความเร็วสูง..
หลิงหยุนนั่งอยู่ในรถแต่สายตากลับจ้องมองผ่านกระจกหน้าต่างขึ้นไปบนท้องฟ้า และได้แต่ภาวนาอยู่ในใจขอไม่ให้ฝนตกลงมาในวันนี้
แม้จะภาวนาเช่นนั้น..แต่หลิงหยุนก็มั่นใจว่าถึงอย่างไรวันนี้ฝนก็ต้องตกหนักอย่างแน่นอน
“นายน้อยสี่..คืนนี้ข้าจะไปกับท่านด้วย!”
เหล่ากุ่ยที่นั่งนิ่งมานานได้หันหลังไปพูดกับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงต่อรองเขารู้ว่าหลิงหยุนนั้นได้เตรียมการที่จะไปช่วยเกาเฉินเฉินในคืนนี้
“แต่ตระกูลหลิงต้องการคนคุ้มครอง..”หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจพร้อมตอบกลับไป
หากหลิงหยุนหาเกาเฉินเฉินพบและสามารถช่วยนางออกมาได้สำเร็จโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูก็ดีไป แต่หากต้องเผชิญหน้ากับเฉินเจี้ยนกุ่ย ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับแวมไพร์ได้!
และเฉินเจี้ยนกุ่ยที่กระเหี้ยนกระหืออยากจะพัฒนาร่างของตนเองด้วยการดื่มเลือดของเกาเฉินเฉินนั้นนางจึงเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าของมัน และแน่นอนว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยคงไม่ยอมให้เขาช่วยนางออกมาได้ง่ายๆอย่างแน่นอน
“หลังจากการต่อสู้เมื่อคืนนี้ ทั้งปักกิ่งก็สั่นสะเทือนไปหมด เวลานี้ทุกคนต่างก็พพากันคาดเดาว่าจอมยุทธคนใหนที่เข้ามาช่วยปกป้องตระกูลหลิงไว้ ในช่วงเวลาสั้นๆแค่นี้ ตระกูลเฉินไม่กล้าลงมือซ้ำอีกเป็นแน่!”
เหล่ากุ่ยยังพูดให้หลิงหยุนมั่นใจอีกว่า..“เวลานี้นายผู้เฒ่าก็อยู่ในระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-8 แล้ว อีกทั้งตระกูลหลงเองก็คอยสนับสนุนตระกูลหลิงอยู่ ส่วนตระกูลเย่เองก็ไม่สนใจอะไร และไม่คิดยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ เช่นนี้แล้วต่อให้ตระกูลเฉินกำแหงเพียงใด ก็คงไม่กล้าส่งจอมยุทธที่เก่งกาจทั้งสามคนของตนมาแน่..”
ความหมายของเหล่ากุ่ยนั้นหลิงหยุนเข้าใจดี..ตราบใดที่ตระกูลเฉินไม่ส่งจอมยุทธผู้สูงส่งทั้งสามคนในตระกูลมา หลิงลี่ก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย และหากมีใครกล้าบุกมา ก็คงต้องตายสถานเดียว!
“นายน้อยสี่..ข้าเองก็คุ้นเคยกับเส้นทางในเมืองหลวงมากกว่าท่าน และหากท่านต้องต่อสู้กับพวกมัน ใครจะเป็นคนปกป้องเกาเฉินเฉินเล่า”
“ยิ่งไปกว่านั้น..นายผู้เฒ่าก็จะต้องกังวลใจและเป็นห่วงหากท่านบุกไปที่นั่นเพียงคนเดียว!”
ในที่สุดเหล่ากุ่ยก็ต้องพูดความจริงออกมาว่าหลิงลี่และเขาล้วนเป็นห่วง เกรงว่าเมื่อหลิงหยุนตกอยู่ในอันตรายจะไม่มีคนคอยช่วยเหลือ!
เวลานี้..บุคคลที่สำคัญที่สุดในตระกูลหลิงก็คงไม่พ้นหลิงหยุน!
“เอาล่ะ..ถ้าเช่นนั้นหลังทานอาหารเย็นแล้ว ท่านกับเพียร์ซก็ออกไปช่วยเกาเฉินเฉินพร้อมกับข้าในคืนนี้!” ในที่สุดหลิงหยุนก็ตกลงให้เหล่ากุ่ยไปด้วย
เหล่ากุ่ยส่งหลิงหยุนกลับไปที่บ้านส่วนตัวเขาก็กลับไปที่บ้านตระกูลหลิง..
ทันทีที่หลิงหยุนกลับถึงบ้านเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่กระจายออกมาจากกระสอบสมุนไพรที่ถังเมิ่งสั่งให้คนยกเข้าไป
หลิงหยุนหันไปมองจึงพบว่ากระสอบสมุนไพรนั้นตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้านและมีสมาชิกแก๊งมังกรเขียวนั่งเฝ้าอยู่ หลิงหยุนจึงเอ่ยถามขึ้นมาทันที
“ถังเมิ่งจัดการพาพวกนายไปทานข้าวเที่ยงแล้วหรือยัง”
“พี่หยุน..พวกเราทุกคนกินกันเรียบร้อยแล้ว แต่พี่ถังดูเหมือนมีเรื่องจะคุยกับพี่..”
หลิงหยุนถามขึ้นอย่าประหลาดใจ“ถังเมิ่งมีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยกับข้า”
สมาชิกแก๊งมังกรเขียวตอบกลับพร้อมกับเกาศรีษะ“ได้ยินว่าเป็นเรื่องบริษัทขนส่ง ฉันได้ยินมาว่าพี่ถังจะซื้อบริษัทขนส่ง..”
หลิงหยุนนั้นเข้าใจความคิดของถังเมิ่งได้ทันทีถังเมิ่งคงคิดว่าหลิงหยุนจะต้องอาศัยอยู่ในปักกิ่งนาน และคงต้องมีการขนส่งอยู่บ่อยครั้ง เขาจึงคิดจะซื้อบริษัทขนส่ง และถึงเวลานั้นหากต้องการจัดส่งอะไรให้หลิงหยุนอีก ก็จะเป็นเรื่องที่ทำได้สะดวกง่ายดายมากขึ้น..
“พวกเจ้าสองคนไปหาหินหรืออิฐมาให้ข้า..”
หลิงหยุนเดินไปเปิดห้องเก็บของในบ้านจากนั้นจึงนำหินไปวางเป็นค่ายกลหลุมพลังอยู่ภายในห้อง แล้วจึงสั่งให้คนของแก๊งมังกรเขียวช่วยกันย้ายสมุนไพรเข้าไปเก็บไว้ด้านในเพื่อป้องกันไม่ให้พลังชีวิตเล็ดรอดออกมาได้อีก
หลังจากขนย้ายเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนก็จัดการปิดประตูห้องเก็บของ และเรียกเงินออกมาปึกหนึ่งส่งให้คนของแก๊งมังกรเขียวทั้งสองคน
“พวกเจ้าสองคนไปจัดการเปิดโรงแรมนอนพักผ่อนแล้วก็เอาเงินหนึ่งหมื่นหยวนนี้ไปหาอะไรกินกัน..”
สมาชิกแก๊งมังกรเขียวทั้งสองคนถึงกับตกใจและไม่กล้าที่จะรับเงินของหลิงหยุน!
“พี่หยุน..พวกเรารับไว้ไม่ได้ พี่เป็นหัวหน้าของลูกพี่เรา พวกเราทำงานให้กับพี่ไม่ได้หวังเงินทอง หากพี่ถังรู้ต้องฆ่าพวกเราแน่ๆ!”
หลิงหยุนนั้นได้แต่งตั้งให้ถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋เป็นที่ปรึกษาและพี่ใหญ่ของแก๊งมังกรเขียว แม้ว่าตี้เสี่ยวอู๋จะไม่สนใจกับตำแหน่งนี้มากนัก แต่ถังเมิ่งกลับตรงข้าม..
ถังเมิ่งให้อาปิงคัดเลือกพี่น้องแก๊งมังกรเขียวยี่สิบแปดคนมาทำงานให้กับตนเองและในการเดินทางมาปักกิ่งครั้งนี้ ถังเมิ่งก็ได้ให้ห้าในยี่สิบแปดคนเดินทางมากับเขาด้วย ให้ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดและคนขับรถให้กับตนเอง ดูถังเมิ่งจะมีความสุขอย่างมาก
“ถังเมิ่ง..เจ้าเด็กนี่มีความสุขได้มากกว่าข้าจริงๆ!”
“เอาเถอะ..แล้วข้าจะบอกกับถังเมิ่งเอง”
ไม่มีของฟรีในโลก!หลิงหยุนเข้าใจคำพูดนี้ดี กฎระเบียบเข้มงวดเพียงใด ก็สู้ผลประโยชน์ที่เพียงพอไม่ได้
หลังจากที่คนของแก๊งมังกรเขียวออกไปแล้วหลิงหยุนก็จัดการโทรหาถังเมิ่ง และสั่งให้เขารีบกลับมาบ้านโดยเร็ว หลังจากนั้นหลิงหยุนก็เดินลงไปยังห้องใต้ดิน
เมื่อเดินผ่านค่ายกลเขาวงกตเข้าไปหลิงหยุนก็พบกับเกาเทียนหลงที่กำลังนั่งนิ่งอยู่ในห้อง..
สองวันที่ผ่านมานี้นอกเหนือจากต้องดูแลคนในครอบครัวของตนเองแล้ว เกาเทียนหลงเองก็มุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะพัฒนากำลังภายในของตนเองให้ก้าวหน้าโดยเร็วที่สุด
เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนเข้ามาเกาเทียนหลงจึงรีบลุกขึ้นทันที
“ทุกคนเป็นอย่างไรกันบ้าง”
หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้สำรวจไปทั่วบริเวณก็พบว่าสมาชิกตระกูลเกาล้วนหลับกันหมดแล้ว
“สองวันมานี้พวกเขาดีขึ้นกว่าก่อนมากท่านปู่และท่านพ่อของข้าดูเหมือนจะจงรักภักดีต่อเฉินเจี้ยนกุ่ยน้อยลงเรื่อยๆ”
“หลิงหยุน..ข้าต้องขอบคุณที่เจ้ามอบศิลาก้อนนี้ให้ใช้รักษาทุกคน!” เกาเทียนหลงร้องบอกหลิงหยุนพร้อมกับชี้นิ้วไปทางศิลาเกลาใจที่เกาจิ้นสงถือไว้
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี..”หลิงหยุนพยักหน้าและถามเกาเทียนหลงว่า “แล้วเลือดเหลือเพียงพอหรือไม่”
เกาเทียนหลงขมวดคิ้วเล็กน้อย“พวกเขาต่างก็ปฏิเสธที่จะดื่มเลือด ทุกคนดูมีสติกันมากขึ้น มีเพียงเวลากลางคืนที่ไม่สามารถหักห้ามตัวเองได้เท่านั้น แต่ก็จะดื่มกันเพียงแค่เล็กน้อย เลือดที่เหลือจึงน่าจะยังใช้ไปได้อีกนาน..”
หลิงหยุนถามเกาเทียนหลงอีกสองสามเรื่องและเมื่อมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาจึงได้บอกกับเกาเทียนหลงว่า
“คืนนี้ข้าจะไปช่วยเฉินเฉิน..”
เกาเทียนหลงได้ยินถึงกับตื่นเต้นดีใจอย่างมาก“จริงรึ! นี่เจ้ารู้ที่ซ่อนของน้องสาวข้าแล้วงั้นรึ?”
หลิงหยุนตอบอย่างมั่นใจ“แม้จะยังไม่รู้ แต่ก็เหมือนกับรู้นั่นล่ะ! ข้าได้โปรยหมื่นลี้ล่าวิญญาณลงบนร่างของเฉินเจี้ยนกุ่ย และจะตามรอยของมันไป!”
“เจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไรหรือไม่”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า“ไม่ต้อง.. เจ้าทำหน้าที่ดูแลคนในครอบครัวของเจ้าให้ดี เวลานี้ข้าได้เลือดของเฉินเจี้ยนกุ่ยมาแล้ว สองวันมานี้ข้ากำลังศึกษาหาวิธีที่จะใช้เลือดของมันให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าอย่างไร.. ข้าก็จะต้องทำลายเลือดของมันในตัวทุกคนให้จงได้!”
“อ่อ..ข้ามีข่าวดีจะบอกเจ้าด้วย!”
หลิงหยุนได้เล่าให้เกาเทียนหลงฟังว่าเขาได้สังหารยอดฝีมือตระกูลเฉินไปเป็นร้อยคน และนินจากอีกหลายคน เกาเทียนหลงได้ยินถึงกับเลือดในกายสูบฉีดขึ้นมาทันที!
“น้องของผู้นำตระกูลเฉินที่ชื่อเฉินไห่คุนก็ถูกข้าสังหารเมื่อคืนตระกูลเฉินพ่ายแพ้ให้กับข้ายับเยิน!”
“อะไรนะ!เฉินไห่คุนถูกเจ้าฆ่าตายงั้นรึ?!” เกาเทียนหลงถึงกับตกใจ
หลิงหยุนพูดกับเกาเทียนหลงอย่างไม่สนใจอะไรนัก“ที่ตระกูลเกาต้องพบกับหายนะเช่นนี้ เป็นเพราะคนในตระกูลไม่สนใจฝึกฝนวรยุทธ แต่กลับไปใช้วิธีอื่นแทน! เจ้าเองก็อย่าหมกมุ่นฝึกฝนจนลมปราณแตกซ่านล่ะ..”
หลิงหยุนเป็นห่วงว่าเกาเทียนหลงจะหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนจนลมปราณแตกซ่านและกลายเป็นมารไป
“หากถึงเวลากินเจ้าก็ต้องกินเมื่อถึงเวลาพักเจ้าก็ต้องพัก ข้าจะมอบยันต์ชำระใจให้เจ้าไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน”
หลังจากพูดคุยกับเกาเทียนหลงแล้วหลิงหยุนก็เดินออกมาจากห้องใต้ดินไปจากนั้นก็ขับรถแลนด์โรเวอร์ของตนเองออกไปจากบ้านทันที
หลิงหยุนขับรถแลนด์โรเวอร์ไปตามถนนวงแหวนที่ห้าตรงไปยังคฤหาสน์ชานเมืองด้านใต้ของตระกูลเฉินเมื่อคืนเพื่อต้องการช่วยลุงสอง หลิงหยุนจึงต้องหยุดการช่วยเกาเฉินเฉินไว้ชั่วคราวก่อน
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นขับรถผ่านหน้าคฤหาสน์ตระกูลเฉินไปและแน่นอนว่าเขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของหมื่นลี้ล่าวิญญาณ หลิงหยุนยิ้มอย่างผู้ชนะ และรีบเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปักกิ่งทันที
หลิงหยุนขับรถไปตามร่องรอยของหมื่นลี้ล่าวิญญาณรถของเขาขับตามถนนวงแหวนที่หก จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของถนนวงแหวนที่หกข้ามเขตชุนยี่ และในที่สุดก็ถึงเมืองเหวยโหยวซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปักกิ่ง..
“เฉินเจี้ยนกุ่ยมันเอาตัวเกาเฉินเฉินไปซ่อนไว้ที่ใหนกันแน่”
หลิงหยุนได้แต่พึมพำออกมาแต่ก็ยังคงขับรถไล่ล่าไปตามร่องรอยของหมื่นลี้ล่าวิญญาณไม่หยุด และวกกลับเข้าไปที่อ่างเก็บน้ำมี่หยิวน
“อ่างเก็บน้ำมี่หยิวนงั้นรึ!”
หลังจากขับต่อไปอีกราวครึ่งชั่วโมงหลิงหยุนก็ไปถึงอ่างเก็บน้ำมี่หยิวน เขาขับไปตามถนนที่มุ่งหน้าไปทางป่าลึกด้านเหนือ
เวลานั้นเกือบจะสี่โมงครึ่งแล้วท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มและมีเมฆหนา เมฆลอยต่ำคล้ายจะมีฝนตกลงมาได้ทุกเมื่อ
ถนนหนทางก็เริ่มขับได้ยากขึ้นหลิงหยุนจึงต้องหาที่จอดดรถไว้ในที่ที่มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น และไม่มีผู้คนผ่านไปมา!
หลิงหยุนเดินเข้าไปในป่าลึกมากขึ้นเรื่อยๆและยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ ร่องรอยของหมื่นลี้ล่าวิญญาณก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และนั่นบ่งบอกว่าน่าจะเป็นสถานที่ที่เฉินเจี้ยนกุ่ยอาศัยอยู่
“ใช่แน่แล้ว..มันต้องซ่อนเฉินเฉินไว้ในถ้ำแน่ๆ!”
หลิงหยุนร้องออกมาระหว่างที่เดินสำรวจไปตามภูเขาที่อยู่รอบอ่างเก็บน้ำมี่หยิวน..
บทที่ 740 : เกาเฉินเฉิน!
เวลานี้หลิงหยุนได้เข้าไปในเขตของเขาหยุนซาน..
ท่ามกลางป่ารกและภูเขาที่ยากจะเข้าถึงหลิงหยุนใช้วิชาเคลื่อนที่ขั้นสูงสุดวิ่งผ่านภูเขาและแม่น้ำไป เขาวิ่งตรงไปยังอ่างเก็บน้ำมี่หยิวนที่กินพื้นที่จากทิศตะวันออกไปจรดด้านทิศตะวันตก
ในความเป็นจริงรอบๆอ่างเก็บน้ำมี่หยวินก็จะมีถนนไฮเวย์เส้นใหญ่ล้อมรอบอยู่ แต่เฉินเจี้ยนกุ่ยนั้นใช้วิธีเดินทางมาที่นี่ด้วยการบินมาบนท้องฟ้า จึงไม่จำเป็นต้องบินผ่านถนนเส้นนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดได้พบเห็น เฉินเจี้ยนกุ่ยนับว่าเป็นผู้ที่ระมัดระวังตัวอย่างมากคนหนึ่ง
เฉินเจี้ยนกุ่ยบินมาทางท้องฟ้าแต่หลิงหยุนต้องวิ่งฝ่าภูเขาและป่ารกด้วยสองเท้าจึงค่อนข้างลำบากกว่ามาก
แต่ถึงแม้จะต้องวิ่งผ่านภูเขาขึ้นๆลงๆหลิงหยุนก็ได้ผ่านไปในบริเวณที่มีทิวทัศน์งดงามของเขาหยุนซาน ก่อนจะข้ามแม่น้ำไป่เหอไปยังภูเขาที่ไม่มีชื่อ แล้วจึงหยุดพัก..
“คงคิดว่าตัวเองบินได้สินะ!”หลิงหยุนร้องออกมาอย่างโมโห
หลิงหยุนสัมผัสกลิ่นอายของหมื่นลี้ล่าวิญญาณได้เขาจึงเดินสำรวจรอบๆอ่างเก็บน้ำหนึ่งรอบ แล้วจึงเดินไปสำรวจทางด้านทิศตะวันตกซ้ำอีกครั้ง
ระหว่างที่สำรวจไปนั้นหลิงหยุนก็เรียกน้ำเต้าวิเศษออกมา และจัดการดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปเพื่อเพิ่มพลังชีวิต
หลิงหยุนจำเป็นต้องหาที่ซ่อนของเกาเฉินเฉินให้พบก่อนที่ฝนจะกระหน่ำลงมาไม่เช่นนั้นแล้วสายฝนที่ตกลงมาก็จะชะล้างเอาร่องรอยของหมื่นลี้ไล่วิญญาณที่ติดตามเฉินเจี้ยนกุ่ยมาออกไปจนหมด และท่ามกลางป่าทึบเช่นนี้ คงยากยิ่งนักที่หลิงหยุนจะหาเกาเฉินเฉินพบได้
ตลอดเส้นทางที่สำรวจมานั้นหลิงหยุนได้ผ่านภูเขาสูงต่ำลูกแล้วลูกเล่าถึงเจ็ดแปดลูก แต่ในที่ก็ได้พบกับภูเขาที่สูงตระหง่านลูกหนึ่งอยู่ตรงหน้า และดูเหมือนว่าจะมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลอยู่ที่หนึ่งพันเมตร เรียกได้ว่ายอดเขานั้นสูงเสียดฟ้าเลยทีเดียว
ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงและช่วงที่เรียนอยู่ในเมืองจิงฉู เขาเองก็ให้ความสนใจตั้งแต่ก่อนที่จะมาปักกิ่งแล้ว
“ดูท่าเฉินเจี้ยนกุ่ยมันจะซ่อนเกาเฉินเฉินไว้ในเขาลูกนี้สินะ..”
และนี่คือเขาหยุนเมิ่ง!
หลิงหยุนหันไปมองอ่างเก็บน้ำมี่หยิวนที่อยู่ห่างไกลออกไปจากจุดที่เขายืนอยู่นั้น หากเดินตัดเป็นเส้นตรง อ่างเก็บน้ำก็จะอยู่ห่างไปเพียงแค่เจ็ดกิโลเมตรเท่านั้น
หลิงหยุนเดินผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่าไปเป็นระยะทางกว่าเจ็ดสิบกิโลเมตรและยิ่งเข้าไปในป่าลึกมากเท่าไหร่ หลิงหยุนก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่หลากหลาย และด้วยสภาพร่างกายที่เข้าสู่ดาราคุ้มกายขั้นที่สองแล้ว ร่างของเขาจึงดูดซับเอาพลังชีวิตเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
“ใช่แล้ว..ต้องอยู่ในเขาลูกนี้แน่ๆ!”
ร่างของหลิงหยุนพุ่งตรงไปทางภูเขาหยุนเมิ่งที่อยู่ตรงหน้าทันที..
ภูเขาลูกนี้ยังไม่ถูกพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของประเทศจีนเหมือนกับเขามังกรในเมืองจิงฉูและบนเขาลูกนี้ก็มีหน้าผาที่อันตรายอยู่มากมาย!
หลิงหยุนใช้วิชาเคลื่อนที่ที่มีความเร็วน่าอัศจรรย์พุ่งเข้าไปในป่าหนาทึบทันทีและเพียงไม่นานก็เข้าไปถึงเขาหยุนเมิ่งที่อยู่ในป่าลึก
หน้าผานับร้อยและน้ำตกไหลซู่ลงมานั้น ช่างเป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงามตระการตายิ่งนัก..
และทันทีที่มาถึงบริเวณนี้กลิ่นอายของหมื่นลี้ล่าวิญญาณก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยนั้นเข้าออกสถานที่แห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง
หลิงหยุนยังไม่รีบร้อนบุกเข้าไปทันทีเขาซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินสำรวจไปทางด้านซ้ายและด้านขวาที่ห่างออกไป แต่ยิ่งออกไปไกลเท่าไหร่ กลิ่นอายของหมื่นลี้ล่าวิญญาณก็ยิ่งเจือจางมากขึ้นเรื่อยๆ
“ดูท่าจะเป็นถ้ำที่ซ่อนอยู่ที่ใหนสักแห่งแต่ไม่รู้ว่าถ้ำใหนนี่สิ..”
หลิงหยุนระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้นเขาเหลือบเห็นที่แห่งหนึ่งซึ่งดูแล้วสามารถซ่อนตัวไม่ให้เฉินเจี้ยนกุ่ยที่บินอยู่บนฟ้าเห็นได้ จึงเข้าไปหลบซ่อนอยู่ที่นั่น หลิงหยุนนั่งลงขัดสมาธิ และเริ่มทำการดูดซับพลังชีวิตเข้าไปในร่างกายเพื่อเป็นการเพิ่มกำลังให้กับตนเอง
“พลังชีวิตในหุบเขาแห่งนี้ช่างรุนแรงนัก..”หลิงหยุนถึงกับตกใจเมื่อเริ่มทำการดูดซับเข้าไป
ภูเขาหยุนเมิ่งแห่งนี้ได้รับฉายาว่าเป็นเขาหวงซานน้อยมันตั้งอยู่บริเวณที่ตัดระหว่างเมืองมี่หยิวนกับอำเภอเว่ยโหยวในปักกิ่ง..
เทือกเขาแห่งนี้นั้น..ภูเขาที่สูงก็สูงเสียดฟ้า ที่ต่ำก็ต่ำจนลึกลงไปเป็นหุบเขา พื้นที่บริเวณนี้จึงมีความสูงต่ำกันอย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีน้ำตกขนาดใหญ่ มีต้นไม้ดอกไม้เต็มพื้นที่ไปหมด ทำให้ที่แห่งนี้มีทัศนียภาพที่งดงามยิ่งนัก อีกทั้งยังมีพลังชีวิตที่เข้มข้นอีกด้วย
หลิงหยุนเดาว่าเขาหยุนเมิ่งแห่งนี้คงจะไม่มีผู้ใดเข้ามามากนักไม่เช่นนั้นพลังชีวิตคงจะไม่เข้มข้นเช่นนี้
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม เมฆก็เริ่มก่อตัวหนาขึ้น และราตรีก็กำลังคืบคลานเข้ามา
“เฉินเจี้ยนกุ่ย..เจ้าคงใกล้จะกลับมาแล้วสินะ!”
หลิงหยุนลุกขึ้นยืนทันทีและตรงเข้าไปในป่าทึบที่ห่างออกไปราวหนึ่งกิโลเมตร แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาถังเมิ่ง
“ถังเมิ่ง..คืนนี้ฉันมีธุระต้องทำ อาจจะกลับดึกมาก นายกลับไปพักผ่อนได้เลย แต่จำไว้ว่าอย่าพักที่บ้านหลังนั้น ให้ไปหาโรงแรมข้างนอกพักแทน!”
หลิงหยุนเป็นห่วงถังเมิ่งและกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับเขา หากคนของตระกูลเกาออกมาจากห้องใต้ดินแล้วไปกัดถังเมิ่งเข้า ถึงเวลานั้นต่อให้หลิงหยุนนึกเสียใจก็คงจะสายไปแล้ว
หลิงหยุนต้องการกลับไปปลุกเสกยันต์ก่อนแต่ก็คงจะดึกมากเกินไป หลิงหยุนจึงได้โทรหาเหล่ากุ่ย และสั่งให้เขาออกมาพร้อมกับเพียร์ซทันทีหลังจากที่รับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว
“เหล่ากุ่ย..ข้าอยู่ที่เขาหยุนเมิ่ง ถ้าท่านมาถึงแล้วก็โทรหาข้าด้วย!”
หลิงหยุนบอกสถานที่นัดพบให้กับเหล่ากุ่ยรู้จากนั้นก็เปลี่ยนจากเสียงเรียกเข้ามาเป็นระบบสั่นแทน แล้วจึงเดินสำรวจหาที่ที่จะสามารถมองเห็นหน้าผาในบริเวณนี้ได้ทั้งหมด เมื่อพบแล้วหลิงหยุนก็เปิดจิตหยั่งรู้ขั้นสุดไว้ และเริ่มการรอคอยอย่างอดทน
………..
ตรงข้ามหลิงหยุนนั้นมีหน้าผาที่อยู่เหนือพื้นดินขึ้นไปราวสองร้อยเมตรและมีถ้ำลึกอยู่ด้านใน
ภายในถ้ำนั้นค่อนข้างโอ่โถงกว้างและสูงราวสองเมตร แต่ด้านในกลับมืดสนิท และทอดลึกเข้าไป ลักษณะของมันนั้นดูไม่ต่างจากปากขนาดใหญ่ของยักษ์ที่กำลังอ้ารอกินมนุษย์อยู่
ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ทางเดินก็ยิ่งแคบลงเรื่อยๆ แต่หลังจากผ่านช่วงที่แคบที่สุดไปแล้ว ด้านในกลับเป็นที่โล่งกว้างซึ่งเห็นชัดเจนว่าไม่ใช่ถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นถ้ำที่เพิ่งถูกขุดขึ้นมาใหม่
ภายในถ้ำที่ขุดขึ้นใหม่นี้นอกจากจะมืดสนิทแล้วยังมีพื้นที่ที่ใหญ่โตกว้างขวางกว่าด้านนอกมาก พื้นที่ทั้งหมดโดยรวมนั้นมากกว่าสองร้อยตารางเมตร จากพื้นจรดเพดานถ้ำนั้นสูงราวสี่หรือห้าเมตรได้ และตรงกลางมีโลงศพสีดำขนาดใหญ่ตั้งอยู่
และเวลานี้..เฉินเจี้ยนกุ่ยก็กำลังนอนหลับใหลอยู่ในโลงศพที่มีฝาปิดสนิท
หลิงหยุนแทบไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักก็สามารถหาที่ซ่อนตัวของเฉินเจี้ยนกุ่ยพบ และที่หน้าผาบนเขาหยุนเมิ่งแห่งนี้ก็คือที่ซ่อนตัวของมันนั่นเอง
ภายในถ้ำ..มีประตูหินขนาดใหญ่แยกถ้ำแห่งนี้ออกเป็นสองส่วน ด้านหลังประตูหินทั้งสองบานนั้นคือห้องขนาดใหญ่..
ห้องหนึ่งมีร่างไร้วิญญาณของเด็กสาวมากมายซากศพส่วนใหญ่ก็เริ่มเน่าเปื่อยแล้ว เฉินเจี้ยนกุ่ยได้ดูดเลือดในตัวของเด็กสาวพวกนั้นจนหมด และมีวิธีรักษาซากศพเหล่านี้ไม่ให้ส่งกลิ่นเหม็นฉุนออกมาทั้งที่เริ่มเน่าเปื่อยแล้ว
ส่วนอีกห้องหนึ่ง..เป็นห้องที่สะอาดสะอ้าน และมีเตียงนอน มุ้ง โต๊ะ และเก้าอี้ รวมถึงน้ำดื่มและอาหาร เพียงแต่ไม่มีแสงสว่างเท่านั้น
และภายในห้องก็ยังมีหญิงสาวอยู่ผู้หนึ่งซึ่งก็คือเกาเฉินเฉินนั่นเอง..
หลังจากวันเทศกาลเชงเม้งผ่านพ้นไปเกาเฉินเฉินก็เดินทางกลับมาบ้านที่ปักกิ่งในช่วงต้นเดือนเมษายน เพื่อมาคุยเรื่องระหว่างเธอกับหลิงหยุน แต่กลับถูกเฉินเจี้ยนกุ่ยควบคุมตัวไว้ตั้งแต่นั้นมา จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสามเดือนแล้ว
เมื่อสองเดือนก่อนเกาเฉินเฉินถูกเฉินเจี้ยนกุ่ยกักขังไว้ภายในบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉิน แต่เมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็ถูกเฉินเจี้ยนกุ่ยพามาซ่อนตัวไว้ที่หน้าผาบนเขาหยุนเมิ่งแห่งนี้
ตลอดสามเดือนมานี้เกาเฉินเฉินรู้สึกราวกับตกนรกและเต็มไปด้วยฝันร้าย เธอคิดจะฆ่าตัวตายหลายต่อหลายครั้ง แต่แล้วก็สู้กัดฟันทนมีชีวิตอยู่ต่อไป
เฉินเจี้ยนกุ่ยไม่ได้หวาดกลัวว่าเกาเฉินเฉินจะฆ่าตัวตายเพราะมั่นใจว่านางจะไม่ทำเช่นนั้นแน่ นางคิดเรื่องที่ต้องการจะแก้แค้นให้กับคนตระกูลเกาอยู่ตลอดเวลา เพราะเฉินเจี้ยนกุ่ยได้บอกกับเกาเฉินเฉินว่า เวลานี้ตระกูลเกาเหลือเพียงแค่นางกับเกาเทียนหลงเพียงสองคนเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเฉินเจี้ยนกุ่ยก็ได้บอกกับเกาเฉินเฉินว่าเกาเทียนหลงพี่ชายของนางนั้นหนีรอดไปได้ และนั่นทำให้เกาเฉินเฉินมีความหวังขึ้นมา
เฉินเจี้ยนกุ่ยไม่สามารถควบคุมให้เกาเฉินไม่คิดเรื่องฆ่าตัวตายได้แต่เขาก็จะไม่ยอมให้เกาเฉินเฉินตายก่อนที่จะได้ดูดเลือดของนาง และทำให้นางตกเป็นบริวารของตนเองก่อน จึงได้แต่ต้องใช้วิธีบอกความจริงเรื่องนี้กับนางเพื่อให้นางมีความหวัง และอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
“หากเจ้าต้องการที่จะช่วยเหลือตระกูลเกาของเจ้าหรือต้องการรอคอยพี่ชายของเจ้า เจ้าก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป..”
หลังจากที่เข้าสู่ขั้นไวส์เคานต์เฉินเจี้ยนกุ่ยก็ได้ใช้เนตรปีศาจสะกดจิตเกาเฉินเฉิน และสั่งให้เกาเฉินเฉินเล่าเรื่องทุกอย่างที่นางรู้รวมถึงความลับของตระกูลเกาออกมา
แม้ว่าร่างของเกาเฉินเฉินจะมีพลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิอยู่แต่นางก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น และกำลังภายในของนางก็อยู่เพียงแค่ขั้นโฮ่วเทียน-2 ดังนั้นภายใต้การสะกดจิตด้วยเนตรปีศาจของเฉินเจี้ยนกุ่ย นางจึงเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้ออกมาจนหมด
เฉินเจี้ยนกุ่ยได้ล่วงรู้ความลับมากมายจากปากเกาเฉินเฉินแต่กลับไม่รู้เรื่องของหลิงหยุน เวลานี้เขารู้เพียงแค่ว่าหลิงหยุนนั้นเป็นเพื่อนร่วมห้องของเกาเฉินเฉิน และเป็นแฟนของนางเท่านนั้น ส่วนความลับที่เกี่ยวกับตัวหลิงหยุน โดยเฉพาะอย่ายิ่งเรื่องพู่กันจักรพรรดินั้น เกาเฉินเฉินกลับไม่แพร่งพรายออกมาเลยแม้แต่น้อยทั้งที่ถูกสะกดจิตด้วยเนตรปีศาจอยู่!
แม้ว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยจะมีเนตรปีศาจแต่เกาเฉินเฉินเองก็มีความรักที่มั่นคงต่อหลิงหยุนเช่นกัน..
นั่นเพราะในคืนเทศกลาเชงเม้งที่เกาเฉินเฉินได้เห็นภาพที่มีมังกรบินล้อมรอบร่างของหลิงหยุนนั้นหลิงหยุนได้เล่าให้ฟังว่าเป็นเพราะพลังอมตะที่ปลดปล่อยออกมาจากพู่กันจักรพรรดิ และได้กำชับว่าเรื่องนี้เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ของเขา และขอให้ทุกคนอย่าได้พูดเรื่องนี้ให้กับคนภายนอกล่วงรู้
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาประโยคที่หลิงหยุนย้ำในคืนนั้น เกาเฉินเฉินก็ได้จดจำและฝังลงไปในจิตใต้สำนึก การสะกดจิตของเฉินเจี้ยนกุ่ยจึงไม่สามารถทำให้นางพูดความลับเรื่องนี้ออกมาได้
ภายในห้องที่มืดมิดเกาเฉินเฉินเองก็ได้ปรับสภาพของดวงตาของตนเองให้เข้ากับความมืดได้แล้ว
“พี่ใหญ่..ท่านต้องหนีไปให้ได้ และต้องไปหาหลิงหยุน หากจะมีใครสักคนที่ช่วยตระกูลเกาของเราได้ คนคนนั้นก็จะต้องเป็นหลิงหยุนคนเดียวเท่านั้น!”
เกาเฉินเฉินไม่ร้องไห้ฟูมฟายถึงเวลานอนเธอก็นอนได้ และเฝ้าสวดมนต์ภาวนา..
“ข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อให้ต้องตกเป็นทาสของเฉินเจี้ยนกุ่ย ข้าก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อแก้แค้นให้กับท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ และคนที่ข้ารัก!”
ท่ามกลางความมืดมิด..เกาเฉินเฉินเฝ้าบอกกับตัวเองเช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วน เธอต้องสร้างความกล้าหาญขึ้นในจิตใจเพื่อให้ตนเองมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ และที่สำคัญเธอเชื่อมั่นว่าหลิงหยุนจะต้องมาช่วยเธอเหมือนที่ไปช่วยเฉิงเม่ยเฟิงอย่างแน่นอน!