บทที่ 460 หอคอยเวทมนตร์ของลูเซียน

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 460 หอคอยเวทมนตร์ของลูเซียน
ไม่กี่วันหลังจากนั้น

หอคอยสีเทาออกเงินสูงตระหง่านขึ้นไปถึงหมู่เมฆ ประกอบด้วยลายเส้นและเส้นโค้งดงามมากมาย เมื่อเทียบกับหอคอยเวทมนตร์ของจอมเวทระดับสูงคนอื่นๆ ที่ดูทึบทึมไม่มากก็น้อย หอคอยเวทมนตร์ของลูเซียนดูจะงดงามพอๆ กับท้องฟ้าที่มีดวงดาวดารดาษและแฝงไว้ด้วยรสนิยมที่เป็นเอกลักษณ์

“อื้ม… หอคอยเวทมนตร์ที่น่ามหัศจรรย์ของนักดนตรี” ร็อคออกความเห็น เขายังคงทำตัวค่อนข้างแปลก แม้ว่าเขาจะเป็นนักเวทระดับสามหลังจากผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางด้านโหราศาสตร์ ลูเซียนจำต้องสังเกตการณ์ดวงดาว ดังนั้นหอคอยสูงจึงสมเหตุสมผล ทว่า มันดูเหมือนว่าสีและรูปทรงของหอคอยนั้นแทบจะเป็นเอกลักษณ์และโดดเด่นสะดุดตาเกินไปจนดูไม่เข้ากับความใจเย็นเสมอต้นเสมอปลายของลูเซียน แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าลูเซียนยังเป็นนักดนตรีอีกด้วย แขกที่มาในวันนี้จึงยอมรับรูปแบบหอคอยได้

หลุยส์ชื่นชอบรูปแบบของหอคอยเวทมนตร์มากทีเดียว มันเข้ากับรสนิยมของนางมากกว่าหอคอยหรือปราสาทแบบดั้งเดิมที่ดูทึบทึม นางแย้มยิ้มขณะกล่าวกับลูเซียน “ท่านอีวานส์คะ ท่านมีรสนิยมอย่างยิ่งในเรื่องสถาปัตยกรรม จะถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งหากท่านจะสามารถออกความเห็นให้กับการสร้างบ้านใหม่ของข้าในอนาคต”

แม้ว่าลูเซียนจะเคยบอกนางหลายครั้งแล้วว่านางควรจะเรียกแค่ชื่อเขา แต่หลุยส์ก็ยังคงเรียกเขาอย่างเคารพนอบน้อมเช่นเดิม หลังจากกลายเป็นผู้ดำเนินรายการไนติงเกลของรายการวิทยุ หลุยส์ก็มีรายได้ค่อนข้างมากแม้จะเป็นเพียงนักเวทระดับสอง ดังนั้นนางจึงซื้อบ้านหลังใหญ่พร้อมสวนเล็กๆ ในอัลลินได้ ซึ่งเป็นที่ที่ราคาทรัพย์สินพุ่งสูงขึ้นทุกวัน

“เจ้าตั้งชื่อหอคอยหรือยัง อีวานส์” ซาแมนธาถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ตามปกติ

โดยปกติแล้ว นักเวทจะไม่เสียเวลากับการตั้งชื่อหอคอยเวทมนตร์สักเท่าไหร่ พวกเขามักจะเก็บชื่อไว้ตั้งมิติพิเศษมากกว่า แต่ลูเซียนหาใช่เพียงนักเวท แต่ยังเป็นศิลปินอีกด้วย

ลูเซียนยิ้มกริ่มขณะก้าวขึ้นบันได “ข้าเรียกมันว่า ‘บาเบล’”

“บาเบล…?” ลาซาร์และลูกศิษย์ของเขาทวนคำสองพยางค์นั้นด้วยความมึนงง พวกเขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย

เคกำลังจะถาม แต่ก็หยุดตัวเองไว้เมื่อเห็นรอยยิ้มลึกลับผุดขึ้นบนใบหน้าลูเซียน ด้วยรู้ดีว่านี่คงเป็นความลับเล็กๆ น้อยๆ ของลูเซียน

“ยินดีต้อนรับกลับมาขอรับ นายท่าน ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ข้ามีนามว่าพิน็อกคิโอ พิน็อกคิโอผู้ซื่อตรง ซื่อสัตย์ และกล้าหาญ” เสียงก้องกังวาลของชีวินรสายนเวทดังขึ้น

ลูเซียนชี้ไปยังประตูโลหะสีเทาเงินที่ค่อยๆ เปิดออกและบอกว่า “นี่คือพิน็อกคิโอ ผู้คุ้มกันคอหอย”

บรรดาแขกทักทายผู้คุ้มกันหอคอย แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้เลยสักนิดว่าชื่อนั้นหมายความว่าอะไร เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไป พวกเขาก็เข้ามายังโถงกว้างที่ตรงใจกลางมีรูปปั้นวงล้อขนาดใหญ่ที่สร้างจากโลหะ

“วงล้อแห่งประวัติศาสตร์ นี่คือชื่อของรูปปั้นนี้” ลูเซียนแนะนำ

ร็อคโพล่งเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ยว่า “ช่างทะเยอทะยาน ลูเซียน ทะเยอทะยานมาก! แต่ข้าแน่ใจว่าเจ้าไม่เคยขาดความทะเยอทะยานเลย อนาคตมหาจอมเวทผู้นำเสนอ ‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ ย่อมไม่มีทางขาดแคลนความทะเยอทะยาน ไม่ว่าจะเป็นศาสนจักรเหนือหรือใต้ พวกเขาย่อมถูกวงล้อแห่งประวัติศาสตร์เหยียบย่ำไม่เหลือชิ้นดี!”

“แม้จะเลี้ยวลดและหักเห แต่ประวัติศาสตร์ก็ยังคงก้าวต่อไปข้างหน้า” ลูเซียนกล่าวอย่างอารมณ์ดี

หอคอยเวทมนตร์บาเบลจะเป็นบ้านหลังแรกที่แท้จริงของเขาในโลกนี้ ภายในหอคอยเวทมนตร์ ลูเซียนย่อมสามารถคุ้มกันตนเองจากการโจมตีของผู้มีพลังระดับเก้าได้

ซาแมนธาพยักหน้านิดๆ “จิตใจเจ้ายังคงแจ่มใสดี ‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ ไม่ได้ทำให้เจ้าหยิ่งยโสโอหัง”

แม้ว่า ‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ ภาคผนวกพิเศษ ของวารสารอาร์คานาในเดือนนี้จะยังไม่ตีพิมพ์ออกมา แต่นักเวทส่วนใหญ่ที่มาในวันนี้ต่างก็มีเส้นสายพอตัว จึงได้อ่านงานเขียนที่จะเปลี่ยนแปลงยุคสมัยนี้ได้แล้ว

หลังจากได้อ่านรายงานฉบับนี้ นักเวทรุ่นใหม่ ซึ่งรวมถึงซาแมนธา ราเชล แลร์รี่ และยูลิสิส ต่างนึกชื่นชมลูเซียนอย่างยิ่ง แต่ก็รู้สึกค่อนข้างเครียด ก่อนที่ ‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ จะออกมา ลูเซียนก็ถือเป็นคู่แข่งชั้นแนวหน้าในหมู่คนรุ่นเดียวกันอยู่แล้ว และการไล่ตามเขาขึ้นไปก็คือเป้าหมายร่วมของเหล่าจอมเวทรุ่นเยาว์ เป้าหมายนี้แทบจะทำไม่ได้จริง แต่มันก็อยู่ตรงนั้น แต่ตอนนี้พวกเขาได้รู้แล้วว่าลูเซียนหาได้อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับพวกเขาแล้ว ลูเซียนควรจะอยู่ในกลุ่มของบุคคลระดับตำนาน ยืนเคียงข้างบุคคลชั้นนำอย่างดักลาส บรูค แฮททาเวย์ และเคาส์ ส่วนพวกเขานั้นรั้งท้ายเกินกว่าจะไล่ตามทัน

เรื่องนี้ทำให้เกิดความรู้สึกหมดหนทางในหมู่พวกเขา

“การดูถูกศัตรูก็เหมือนกับการดูถูกชีวิตตัวเอง” ลูเซียนมองซาแมนธาแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้ามิใช่คนมากสามารถอย่างที่ทุกคนคิด อย่างที่ข้าเคยบอก การศึกษาเรื่องอะตอมนั้นเป็นศาสตร์แขนงใหม่ที่แม้แต่การค้นพบที่เล็กน้อยที่สุดก็อาจนำไปสู่การค้นพบความลับที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นได้ ในขอบเขตการศึกษานี้ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญและไม่มีความแตกต่างใดๆ ระหว่างเรา เมื่อเงื่อนไขต่างๆ พร้อม เราก็สามารถค้นพบความมหัศจรรย์บางอย่างได้ทั้งหมด ข้าเพียงแต่ก้าวไปข้างหน้าก่อนหนึ่งก้าว และมันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครตามข้ามาทัน การเป็นคนหนุ่มและเปิดใจให้กว้างคือสิ่งสำคัญที่สุด”

ซาแมนธามองเข้าไปในดวงตาอันสงบนิ่งของลูเซียนและเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ ซึ่งมิใช่เพียงการถ่อมตัวตามมารยาท นางแย้มยิ้มจริงใจให้และตอบว่า “น่าเสียดาย… ข้าไม่เก่งทางด้านเวทธาตุ”

แขกคนที่เหลือ ทั้งแลร์รี่ เค และลาซาร์ ต่างพยักหน้าอย่างครุ่นคิด พวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่ลูเซียนเพิ่งพูดมานั้นเป็นความจริง

ลูเซียนชี้ไปบนท้องฟ้าพลางกล่าว “โลกมหัพภาคก็สำคัญไม่แพ้กัน”

“อาจารย์คะ เราขอไปเยี่ยมชมห้องทดลองของท่านได้หรือไม่” ก่อนที่ซาแมนธาจะได้ตอบอะไร ไฮดี้ก็ถามขึ้นอย่างอยากรู้

ลูเซียนพยักหน้าแล้วเดินนำพวกเขาขึ้นลิฟต์ลงไปยังชั้นใช้ดิน ระหว่างทาง พวกเขาเดินผ่านห้องพลังงานสำรอง ห้องเชื่อม และสวนเวทมนตร์ใต้ดิน ก่อนจะมาถึงห้องทดลองขนาดใหญ่

วงแหวนเวทและสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแปรธาตุส่วนใหญ่ในห้องทดลองแสนโอ่โถงนี้สามารถมองออกได้ง่ายๆ โดยเหล่าผู้มาเยี่ยมเยือน ทว่า พวกเขามิอาจรู้ได้เลยว่าโลหะที่แบ่งครึ่งออกเป็นสองอันบนวงแหวนดูดกลืนที่มีแรงแม่เหล็กสูงตรงกลางห้องทดลองนั้นคืออะไร

โลหะเงินแบ่งครึ่งทั้งสองชิ้นมีลวดลายเวทมนตร์สลักเอาไว้ ซึ่งดูคล้ายกับลวดลายของหอคอยเวทมนตร์

“นี่คือเครื่องไซโคลตรอนสำหรับเร่งอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า หากพวกเจ้าคนใดอยากได้ แผนภาพที่ข้าออกแบบไว้สามารถหาได้ที่เขตแลกเปลี่ยน” ลูเซียนแนะนำคร่าวๆ ถึงวิธีการทำงานของตัวเครื่อง ซึ่งเป็นวิธีการลับแสนชาญฉลาดในการล่อลวงสหาย

แม้ว่าทางสภาเวทมนตร์จะช่วยเหลือลูเซียนอย่างมากสำหรับการสร้างหอคอยเวทมนตร์ที่เกินงบประมาณไปไกล ด้วยการขายวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ให้ลูเซียนด้วยราคาที่ต่ำมาก แต่ลูเซียนก็ยังคงใช้เงินเก็บตลอดสามปีที่ผ่านมาไปจนหมดกับการพัฒนาหอคอยเวทมนตร์ให้มีมาตรฐานสูงกว่านั้นเพื่อเตรียมการสำหรับการยกระดับอีกในอนาคต ดังนั้นเขาจึงต้องการคะแนนอาร์คานามาเสริมอย่างมากในตอนนี้

ลูเซียนประทับใจไม่น้อยกับอัตราความเร็วในการก้าวหน้าของเขาเอง แม้ว่าเขาจะมีรายได้มากมายมหาศาลจากโครงการและรายงานทางวิชาการ เขาก็ยังไม่เข้าใกล้คำว่าร่ำรวยเลยสักนิดเมื่อเทียบกับนักเวทระดับสูงคนอื่นๆ ที่ใช้ชีวิตมานับร้อยปี จึงมีเวลามากพอจะสะสมทรัพย์สมบัติ ลูเซียนพบว่างบประมาณของตนมีอยู่จำกัดมาก โดยเฉพาะเมื่อเขามองหาวัตถุดิบที่ดีที่สุดสำหรับทุกอย่าง

“แล้วนั่นคืออะไรรึ” แลร์รี่ถาม พลางชี้ไปยังกล่องที่ปิดสนิทโดยมีตัวถ่ายทอดสัญญาณเชื่อมอยู่ด้านบน และยังมีวงแหวนเวทความร้อนกับพลังงานกลอยู่มากมาย

“นี่คือห้องหมอก เอาไว้ช่วยการทดลองในการเล่นแร่แปรธาตุ” ลูเซียนตอบ

“ห้องหมอกรึ มีไว้เพื่ออะไรกัน” เคถาม

“เวลาเปิดใช้งาน” ลูเซียนยิ้มแย้มขณะอธิบาย “มันจะถูกเติมเต็มด้วยไอน้ำอิ่มตัว เมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าแล่นผ่าน มันจะทำให้อิเล็กตรอนแตกตัวออกไป ทิ้งร่องรอยเป็นเส้นสายเหมือนหมอกของอนุภาคแก๊สที่ผ่านการแตกตัวโดยมีหน้าตาเหมือนกับหยดน้ำ ทำให้เราสังเกตการณ์และบันทึกเส้นทางของอนุภาคได้ดีขึ้น”

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน!” ยูลิสิสอุทาน เขาคือผู้เชี่ยวชาญทางด้านอุณหพลศาสตร์ผู้หนึ่ง การสังเกตการณ์อนุภาคในโลกอนุภาคนั้นเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการวิจัยของพวกเขา ในขณะที่นักเวทหลายคนยังคงพยายามพัฒนาเครื่องขยาย ลูเซียนกลับแก้ปัญหาด้วยการใช้ไอน้ำ

หลุยส์และไฮดี้เอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียง “เราขอดูได้ไหมคะ”

ลูเซียนพนักหน้าแล้วเปิดใช้งานห้องหมอก

ภายในกล่อง ร่องรอยหน้าตาเหมือนหมอกพลันปรากฏขึ้นบนพื้นหลังสีดำ ความงดงามของความโค้งของมันช่างชวนให้ตกตะลึง

ภายในห้องทดลองตกอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่

หลังจากเดินชมทั่วห้องทดลอง ลูเซียนก็พาแขกทั้งหมดไปยังห้องจัดงานเลี้ยง เมื่อนักเวทระดับสูงที่มีทั้งราเวนติ แกสตัน และอิซาเบลลามาถึง งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น

ท่ามกลางบรรยากาศรื่นเริง ลูเซียนได้แสดงบากาแตลสำหรับเปียโนแปดบทเพลง และเขายังเล่นไวโอลินอีกด้วย ทำให้แขกเหรื่อในที่นั้นตราตรึงใจไปตามๆ กัน

เมื่อส่วนของการแสดงจบลง แขกที่มาร่วมงานก็เริ่มพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ลูเซียนก็พลันรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมานิดๆ เขารู้ว่าตนเองคิดถึงสหายและครอบครัวในอัลโต้

ลูเซียนหาโอกาสแอบออกมาจากห้องจัดเลี้ยงและตรงไปยังระเบียง จากนั้นเขาจึงร่ายคาถา ‘เวทสื่อสารแม่เหล็กไฟฟ้า’

“ไง สายัณห์สวัสดิ์ ลูเซียน ยินดีด้วยที่หอคอยเวทมนตร์ของเจ้าสร้างเสร็จแล้ว” ไม่นานเสียงร่าเริงของนาตาชาดังขึ้น

ลูเซียนเองก็แย้มยิ้มกว้าง “สวัสดีตอนบ่าย ข้ากำลังฉลองเลย”

“น่าเสียดายที่ข้าไปที่นั่นไม่ได้ แต่ยังไงก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วยนะ ท่านเทวดาตกสวรรค์” นาตาชาเย้า “ท่านผู้ทรงศีลสูงสุดช่างสร้างสรรค์ในการตั้งชื่อพวกนี้จริงๆ”

ลูเซียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเพียงแต่ศึกษาอนุภาคในโลกอนุภาคเพื่อการวิจัยทางอาร์คานา แต่ข้าคิดว่าผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าแห่งสัจธรรมได้มอบพลังแห่งการรังสรรค์เป็นของขวัญแก่มนุษย์และธรรมชาติหลังจากที่โลกถูกสร้างขึ้น และตอนนี้พระเจ้าแห่งสัจธรรมก็เป็นเพียงผู้ชี้นำทางจิตวิญญาณเท่านั้น”

เพื่ออนาคตแสนหวาน ลูเซียนจึงพยายามเปลี่ยนความเชื่อทางศาสนาของนาตาชาไปทีละนิดๆ

“เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่า… พระเจ้าอยู่ในใจเรา และศาสนจักรก็โกหกเรามาตลอดเช่นนั้นหรือ” นาตาชาไม่ได้มีท่าทางยุ่งยากใจแต่อย่างใด ตราบใดที่ลูเซียนไม่ได้ชี้แนะในสิ่งที่เป็นการดูหมิ่น นางก็ไม่ว่าอะไร

ลูเซียนตอบอย่างแน่วแน่ “แน่นอน ท่านหญิงเมเรดิธเองก็เป็นคนดีใช่ไหมล่ะ”

นาตาชาหัวเราะขัน “เอาล่ะ นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ข้าจะสื่อเสียหน่อย ประเด็นคือ ในตอนที่ศาสนจักรเริ่มเรียกเจ้าว่าเทวดาตกสวรรค์ ข้าก็เริ่มนึกภาพเจ้าในชุดของเทวดา เจ้ารู้ใช่ไหม แบบในละครโอเปร่าน่ะ มันคงจะดียิ่งกว่านั้นหากเจ้ามีปีกติดหลังอยู่คู่หนึ่งด้วย”

“ข้าจำได้ว่าชุดของเทวดามักจะเป็นแบบไร้เพศนะ…” ลูเซียนรู้ดีว่านาตาชาคิดอะไรอยู่

นาตาชาระเบิดเสียงหัวเราะ แต่มิมีความรู้สึกผิดแฝงอยู่เลยสักนิด “ใช่… ใช่… ว่าแต่ว่า เหตุใดเวลาที่ข้าคุยกับท่านยายแฮททาเวย์ถึงได้ยินไม่ชัดเจนเหมือนเจ้ากันล่ะ”

“ดาวเทียมสื่อสารยังต้องพัฒนาอีกมาก หลายปีมานี้ท่านดักลาสก็พยายามแก้ไขเรื่องนี้อยู่” ลูเซียนตอบ

ด้วยเหตุนี้ แผนการเพิ่มจำนวนดาวฤกษ์เทียมจึงต้องล่าช้าไป

นาตาชากล่าวด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “แต่การพูดคุยระหว่างเรามัน… เจ้ารู้ว่าปัญหาคืออะไรใช่หรือไม่”

ลูเซียนหัวเราะแต่ไม่ตอบอะไร

นาตาชารู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุดถาม นางจึงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “มิติลึกลับถูกค้นพบแล้ว และอาจารย์ข้าก็ได้เดินทางติดตามพระสันตะปาปาไปที่นั่นด้วย ทุกครั้งที่ข้านึกถึงการสู้รบในที่แห่งนั้น เลือดในกายข้าก็แล่นพล่านและข้าก็รู้สึกตื่นเต้นเหนือคำบรรยาย แต่ข้ารู้ดีว่าข้ายังไม่พร้อม ถึงกระนั้น ท่านผู้ทรงศีลสูงสุดได้ขอให้อัศวินอาภาเป็นต้นไปให้เตรียมตัวพร้อมเป็นกำลังเสริม หากว่าเกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นกับมิตินั้น เราจะเข้าไปทันที

“หากวันนั้นมาถึง ข้าจะเป็นผู้นำเหล่าขุนนางแห่งออร์วาริตเข้าไปในมิตินั้น”

ยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนั้น ราชวงศ์ย่อมต้องส่งตัวแทนไปเป็นผู้นำ จึงไม่พ้นท่านดยุกหรือนาตาชา มิเช่นนั้นผู้อื่นอาจไม่เชื่อฟังคำสั่งอย่างเต็มใจ

“ข้าเองก็อยากไปเช่นกัน” ลูเซียนกล่าวอย่างแฝงนัย คำพูดที่เขาละไปคือ ‘กับเจ้า’

นาตาชาหัวเราะ “ไม่เอาน่า ไม่มีนักเวทระดับตำนานคนไหนคิดหาเรื่องข้าหรอก แต่เจ้าไม่เหมือนกัน ทั้งศาสนจักรต้องการให้เจ้าตาย เจ้าน่ะตัวก่อปัญหาชัดๆ!”

ทั้งสองสนทนากันได้ไม่นานนัก เพราะลูเซียนไม่สามารถทิ้งแขกเหรื่อไว้ตามลำพังได้ หลังจากที่นาตาชาเล่าว่าจอห์นกับครอบครัวเป็นอย่างไรบ้าง เขาก็จบการพูดคุยทางไกล

เมื่อหันกายกลับมา ลูเซียนก็เห็นว่าซาแมนธากำลังจ้องมองเขาอยู่ไม่ไกลโดยที่มือหนึ่งถือจานอยู่ บนจานนั้นเป็นปลานึ่ง อาหารที่ลูเซียนคิดค้นพัฒนาซึ่งแขกทุกคนชื่นชอบ

“ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แต่ข้าสามารถบอกได้จากสีหน้าเจ้า นอกเหนือจากเวทมนตร์และอาร์คานาศาสตร์แล้ว พื้นที่บางส่วนในใจเจ้ายังคงเก็บไว้เพื่อสตรีนางนั้น” ซาแมนธาถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง ก่อนจะหมุนกายจากไปอย่างไม่ลังเล

ในสภาเวทมนตร์ นักเวทส่วนมากจะเป็นโสด แม้ว่าพวกเขาจะแต่งงานเหมือนกับคนทั่วไป แต่อายุขัยยืนยาวก็ทำให้พวกเขาสูญเสียคนรักไป บ้างก็หมดความปรารถนา ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเหล่าเทพอสูร ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกกลับมาเป็นโสดอีกครั้ง น้อยนักที่จะมีคู่รักซึ่งมีพลังมากพอจะอยู่ด้วยกันไปนานๆ

ในหมู่นักเวททั้งหมด เหล่ามหาจอมเวทมีอัตราการแต่งงานต่ำที่สุด ดักลาส เฟอร์นันโด แฮททาเวย์ และเฮลเลนต่างครองตัวเป็นโสด ภรรยาของวิเซนเต มิรันดา เสียชีวิตไปนานมากแล้ว และลือกันว่าจวบจนทุกวันนี้ ความฝันสูงสุดของเขาก็คือการปลุกชีพภรรยาคืนกลับมาให้ได้อย่างแท้จริง ส่วนภรรยาของบรูคเสียชีวิตเพราะการลอบสังหารของศาสนจักร โอลิเวอร์คือมหาจอมเวทคนเดียวที่มีครอบครัวสุขสันต์

ภายในถ้ำใต้ดินของมิติภูเขารัตติกาล

ผู้เฒ่าออกัสตุส กำลังสวดภาวนาให้กับพระเจ้าแห่งไอน้ำอย่างตั้งอกตั้งใจ

หลายปีผ่านมาแล้ว และมิติภูเขารัตติกาลก็เริ่มอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าคนแคระยังคงเฝ้ารอการชี้แนะจากพระเจ้าของพวกเขา