บทที่ 1629 - เส้นลมปราณสวรรค์ที่ 11 และเส้นลมปราณโลกที่ 3

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1629 – เส้นลมปราณสวรรค์ที่ 11 และเส้นลมปราณโลกที่ 3

 

ชิงสุ่ยไม่ได้หยุดการกระทําของคนอื่น เขากําลังรอให้ผู้อาวุโสคนนั้นพูดให้จบและดูว่าเขากําลังจะทําไรต่อไป

 

“เจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดเจ้าถึงมีความขุ่นเคืองกับตระกูลจิว?” ชายชราผู้นั้นจ้องมองชิงสุ่ยอย่างใจเย็น

 

ชิงสุ่ยไม่ค่อยชอบความรู้สึกนี้เลยก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าไม่รู้อะไรเลย มาถึงก็พูดพล่ามแต่เรื่องไร้สาระ เจ้ามันผิดแต่ไม่รู้ตัวเลยสินะ ข้าแค่มาเดินเล่นกับภรรยาของข้า แล้วข้าไปขัดขว้างเจ้าฯไง?”

 

ในตอนแรก ชิงสุ่ยต้องการที่จะปิดปากเงียบและดูความเป็นกลางของผู้อาวุโส แต่ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสคนนี้จะเป็นคนพูดมากพูดจาโอ้อวด ชิงสุ่ยจึงเลือกไว้หน้า

 

“ข้าเห็นเจ้าทําร้ายคนตระกูลจิวของข้า ที่นี่คือเมืองซานหมู่ ไม่มีผู้ใดหน้าไหนกล้าโอหังกับตระกูลจิวของข้า” ชายชรายังคงระงับความโกรธและยังคงสงบนิ่ง

 

ชิงสุ่ยหัวเราะอย่างเหยียดหยามขณะที่เขามองดูชายชราพยายามกล่าวพรรณนา ” ข้าไม่รู้หรอกนะ ถ้าหากนี่คือความโอ้หังของตระกูลจิว มันคงเสียเวลาข้าที่ต้องมานั่งเสวนาเรื่องไร้สาระแบบ

 

ชายชราขมวดคิ้ว “เจ้ามันคนโง่เขลา มาดูกันว่าเจ้ามีความสามารถมากพอที่จะเปล่งวาจาเช่นนี้ได้หรือไม่”

 

ชิงสุ่ยระเบิดเสียงหัวเราะ “เป็นแค่ผู้ฝึกตนปราณบัญชาสวรรค์พินาศขั้น 3 กับ กล้าทําตัวข่มเหงผู้อื่นหรือว่าเมืองซานหรู่จะเป็นเพียงแค่เมืองที่มีพลังแค่นี้ ถ้าหากต้องการคําอธิบายมากกว่านี้ก็จงไปตามผู้อาวุโสของเจ้ามา”

 

ทันทีที่ชิงสุ่ยกล่าวเรื่องพลัง ชายชราก็ตกใจเพราะว่าคู่ต่อสู้ของเขามองเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาได้ทันทีนั่นก็หมายความว่าศัตรูต้องแข็งแกร่งกว่าเขาแน่ แต่เด็กที่อยู่เบื้องหน้าชายชรายังคงเป็นเพียงแค่เด็กอายุน้อย แต่ทําไมเขาถึงรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล

 

แต่ถึงกระนั้นจะชราก็ยังเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองและหวังว่าชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าจะไม่ได้แข็งแกร่งจริงๆ ๆเหล่าทวยเทพยอมรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของตนเองหลังจากลังเลชั่วครู่นึ่งเขาก็กล่าวคําท้าทายชิงสุ่ย “ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าแข็งแกร่งจริงหรือไม่ อย่าพูดพร่ําทําเพลงเลยเพราะมันไม่จําเป็น”

 

หลังจากกล่าวจบ มือของชายชราก็ชี้ไปทางชิงสุ่ย ฝ่ามือของชายชราเองก็เต็มไปด้วยพลังสวรรค์แห่งเต๋ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของชิงสุ่ยเลย

 

ชิงสุ่ยยื่นมือออกมาก่อนจะสะบัดเบาๆและเกิดแรงมหาศาลพุ่งอัดชายชราให้ถอยหลังไปถึง 10 เมตรแขนของชายชรากลายเป็นแขนที่ไร้ความรู้สึกทันที เขาแทบไม่อยากเชื่อในพลังที่ชิงสุ่ยแสดงออกมาเลย

 

“ไปบอกให้ผู้นําตระกูลจิวออกมาซะ เจ้ามันไม่รู้อะไรเลย ถ้าหากเจ้ายังปฏิเสธถ้าจะทําให้เจ้าพิการอย่างสมบูรณ์” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความโหดร้าย

 

สําหรับนักรบหรือผู้ฝึกตน พลังปราณมีความสําคัญยิ่งกว่าชีวิตตัวเองซะอีก ถ้าหากพวกเขาต้องสูญเสียพลังตามไปทั้งหมดจนกลายเป็นคนพิการ คนเหล่านั้นเลือกที่จะตายดีกว่า เพราะการที่เป็นคนไร้ประโยชน์คือการที่พวกเขาไม่สามารถทําอะไรได้เลยแม้แต่อย่างเดียว

 

เมื่อได้ยินคําขู่ของชิงสุ่ย แน่นอนว่าทุกคนต้องตกใจและไม่มีใครไม่หวาดกลัว

 

ชายชราอีกคนนึงรีบกล่าวอย่างสงบเสงี่ยมว่า “น้องชาย ตามข้าไปที่ตระกูลจิวเถิด แล้วข้าจะอธิบายกับเจ้าเอง”

 

ชิงสุยระเบิดเสียงหัวเราะ “ตั้งแต่ที่ข้าได้กล่าวออกไป ข้าไม่หวาดกลัวกลุ่มพวกเจ้าหรอกแต่ข้าจะไม่ทําอะไร และถ้าหากไม่มีใครในตระกูลจิวรับผิดชอบ ข้าจะเป็นคนทําให้พวกเจ้าทุกคนต้องพิการด้วยตัวเอง”

 

ชายชราแต่ละคนหุบปากเงียบ จากนั้นก็ค่อยๆลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและปล่อยดอกไม้ไฟออกมานี่คือสัญญาณพิเศษของตระกูลจิวที่ใช้ในการเลือกหาความช่วยเหลือ

 

ทันใดนั้น ผู้คนมากมายก็รีบมากันอย่างพร้อมเพียง ซึ่งกลุ่มคนที่มามีอย่างน้อย 30 คน มีทั้งเด็กผู้ใหญ่ปะปนกันไปโดยที่มีผู้ใหญ่มากกว่า

 

ดินแดนบัญชาสวรรค์พินาศขั้นสมบูรณ์ มีใครบางคนได้ผ่านการลงทัณฑ์สวรรค์พินาศ ชิงสุ่ยรู้ได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้จะต้องเป็นยอดยุทธแห่งตระกูลจิว

 

“น้องชาย ข้าวเหยียนเงิน ข้าขอรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นจากตระกูลจิว ถ้าหากมีรุ่นเยาว์ผู้ใดทําให้เจ้าต้องขุ่นเคือง ข้าขอโทษเจ้าจากใจจริง เนื่องจากสมาชิกของตระกูลเรามีจํานวนมากมายนะจึงทําให้ขาดการเอาใจใส่ ค่าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ และถ้าหากเจ้าต้องสูญเสียสิ่งใดไปเราจะรีบชดใช้ให้ทันที” ชายคนนั้นกล่าวอย่างนิ่มนวล

 

ชิงสุ่ยมองเห็นความชัดเจนในตัวชายคนนี้ทันที ตระกูลจิวรับรู้ได้ถึงความภายหลังจากกล่าวคําเพียงไม่กี่คํา ถ้าหากพวกเขามาที่นี่ด้วยไฟแห่งความเกรี้ยวโกรธและเกลียดชัง ชิงสุ่ยจะทําให้พวกเขาต้องคุกเข่าร้องขอชีวิต แต่พวกเขากลับยอมลดตัวและกล่าวคําขออภัยจากนั้นก็เสนอสิ่งของมีค่าแทนคําขอโทษ มันจึงไม่มีอะไรที่ชิงสุ่ยจะต้องทําให้วุ่นวาย

 

ในตอนแรก ชิงสุ่ยตั้งใจจะให้ผู้นําตระกูลจิวออกมากล่าวขอโทษและเลิกลากันไป แต่มันก็ผิดพลาดอย่างมาก เขาจึงแต่ถึงใจลืมความผิดเหล่านั้นไปให้หมดสิ้น

 

ชิงสุ่ยไม่ต้องการสร้างปัญหา เขาสามารถจบสิ้นปัญหาได้อย่างมีความสุขและรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใจกว้างมากขึ้น เขารู้สึกว่าการมีน้ําใจและเป็นสิ่งที่ดีแต่ต้องมีข้อยกเว้นคือคนที่ทําผิดซ้ําแล้วซ้ําเล่าก็ไม่ควรได้รับการอภัย

 

“ข้าไม่ต้องการสร้างปัญหาอีก ยิ่งคนของตระกูลเจ้าใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ พวกเจ้าต้องยิ่งยับยั้งชั่งใจตัวเองให้มากขึ้นเท่านั้น คําพูดของค่าไม่ได้กล่าวออกมาเพราะต้องการดูถูก แต่ข้ารู้ดีว่าหลายคนในตระกูลจิวยังไม่อาบยับยั้งคํายั่วยุ แต่พวกเจ้าจะใส่ใจหรือไม่มันก็ไม่เกี่ยวกับข้า ตราบใดที่เราเว้นระยะห่างระหว่างกันทุกอย่างก็จะดี”

 

หลังจากกล่าวจบ ชิงสุ่ยก็ดึงหญิงสาวทั้งสองและลอยจากไป หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเดินเล่นต่อและรีบมุ่งหน้าออกจากนอกเขตเมืองซานหรู

 

จิวเหยียนเงินขมวดคิ้วขณะที่เขามองดูชิงสุ่ยจากไป เขาอยากจะขอให้ชิงสุ่ยอยู่ต่อเพื่อสนทนาการมันคงไม่มีประโยชน์ เขาไม่รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ได้รับพลังแบบเดียวกับพวกเขาได้อย่างไรเพราะแม้แต่ลูกหลานของบรรพบุรุษเองก็ยังไม่มีใครโดดเด่นเท่านี้มาก่อน

 

จิวเหยียนเงินคือผู้นําตระกูลจิว ภายนอกอาจจะยังดูเด็ก แต่เขาก็ดูแลตระกูลนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บหนักมากมายตั้งแต่ยังเยาว์วัยจึงกระทบต่ออายุไขอย่างมาก แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติ

 

“พี่ใหญ่ พวกเราจะปล่อยเขาไปจริงๆเหรอ?” ชายชราที่มีผมสีขาวเหมือนหิมะกล่าวถาม

 

“ถ้าหากพวกเราไม่ปล่อยเขาไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าบอกได้เลยว่าเขาแข็งแกร่งกว่าข้า”จิวเหยียนเงินกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

 

ชายชราผู้นั้นถึงกับสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ จิวเหยียนเงินคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดและเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในห้าคนที่เคยผ่านพ้นการลงทัณฑ์แห่งสวรรค์มามากกว่า 10 ครั้ง แต่ถึงกระนั้นเขากลับกล่าวได้เต็มปากว่าเขานั้นอ่อนแอกว่าเด็กน้อยที่อยู่เบื้องหน้า

 

หลายคนก็หลายความคิดแต่ชายชราผู้นี้ไม่เหมือนผู้อื่น ไม่เพียงแต่เขาจะรู้สึกประหลาดใจในความแข็งแกร่งพอชิงสุ่ย แต่ยังรับรู้ได้ถึงความพยายามที่จะบอกกล่าวจากคําพูดของชิงสุ่ยคงมีไม่กี่คนที่สามารถยั่วยุสร้างความโกรธให้ตระกูลจิวได้ และก็มีไม่กี่คนที่สามารถจากไปเช่นเดียวกับสิ่งที่ชิงสุ่ยทําได้

 

ชิงสุ่ยออกจากเมืองซานหรูไปพร้อมกับหญิงสาวทั้งสองคน และกลับไปยังทะเลสาบเฟิงเหยียน

 

ตกเย็น ชิงสุ่ยไปที่ห้องของหญิงสาวทั้งสองคน ใจจริงแล้วเขาอยากจะให้หญิงสาวทั้งสองคนมาที่ห้องของเขาแทนแต่มันคงไม่ดีนัก ครึ่งหลังของช่วงดึกถูกใช้ไปในห้องของถานท้ายหยวน

 

เมื่อเห็นลักษณะความพึงพอใจที่ปรากฏบนใบหน้าของถานท่ายหยวน ซิงสุ่ยก็รู้สึกพึงพอใจเช่นกันและเนื่องจากเวลายังพอมีเหลือและเขายังไม่ง่วงนอน เขาจึงเข้าไปในดินแดนหยกยุพราชอมตะ

– – –

ความแข็งแกร่งของเขาได้ก้าวกระโดดไปอีกครั้ง หลังจากที่ได้กรุยเส้นลมปราณสวรรค์อีก1 เส้นและอีก 1 เส้นลมปราณโลก จึงทําให้ปัจจุบันความแข็งแกร่งของชิงสุ่ยอยู่ในระดับ 80,000 สุริยา และความแข็งแกร่งพื้นฐานนี้ทําให้เขารับรู้ถึงพลังในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งถ้าหากเขาเจอผู้ฝึกตนระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นอ่อนแอเขามั่นใจว่าเขาจะต้องแย่งชิงชนะมาได้

 

นอกจากนี้เขายังมีความแข็งแกร่งของถานท่ายหยวนและอวี่ สู่หยาน แม้ว่าทั้งสองจะอ่อนแอกว่าอีหวง หวี แต่ทั้งคู่ก็ยังคงก้าวหน้าพัฒนาต่อไป เนื่องจากการฝึกฝนควบคู่ไปกับเคล็ดวิชาทวิบ่มเพาะซึ่งก่อให้เกิดผลประโยชน์มากมาย ดังนั้นทั้งสองคนจึงน่าจะมีพลังอยู่ในระดับเท่าเที่ยมกันจิวเหยียนเงิน

 

ชิงสุ่ยช่วยเหลือหญิงสาวทั้งสองในการปรับปรุงฐานพลังและยังช่วยฝึกฝนทักษะย่างก้าวเก้าเทวา กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาต และทักษะอื่นๆอีกมากมาย จากนั้นก็ชี้แนะสิ่งที่พวกเธอขาดหายเพื่อให้การฝึกฝนพัฒนาขึ้นได้อย่างว่องไวมากกว่าเดิม

 

ชิงสุ่ยพักอยู่ที่นี่ประมาณ 3 วัน รักที่สุดเขาก็ฟันฝ่าอุปสรรคแห่งความสัมพันธ์ระหว่างเขากับถานท่ายหยวนไปได้ เมื่อถึงเวลากลับ เขาได้พาถานท่ายหยวนไปพบแม่ของเขาเพื่อบอกให้ทุกคนรับรู้ถึงการดํารงอยู่ของถานท่ายหยวน